webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

053

娱乐圈头条 หัวข้อข่าว แห่งวงการบันเทิง

ผู้แต่ง กว๋านเอ่อwr

ผู้แปล เติ้ง ลี่เฟิน

บทที่ 53 เหล้าคารวะ

ไต้เจียหัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง หล่อนก้มหน้าลง ผมยาวๆ นั่นตกลงมาบดบังแก้มของข้างของหล่อนเอาไว้ เหมือนว่าต้องการที่จะปกปิดสีหน้าและอารมณ์ของตัวเองในตอนนี้

สักครู่ใหญ่หล่อนถึงได้เงยหน้าขึ้นมา หล่อนรวบผมขึ้นไปไว้ด้านหลัง เผยหน้าที่แต่งมาจัดอีกครั้ง

“ทำไมเธอไม่ถามหน่อยล่ะ ว่าทำไมฉันถึงยอมตกลงที่จะเป็นตัวแสดงแทนจ้าวรั่วจวินนั่น?”

ปลายจมูกของหล่อนแดง เปลือกตาปิดลงเพื่อปิดบังแววตาของตัวเอง ดูก็รู้ว่าหล่อนไม่อยากให้เจียงเซ่อเห็นด้านอ่อนแอของตัวเอง

“เธอมีเหตุผลของเธอเอง” เจียงเซ่อเป่าลมลงบนน้ำชาเบาๆ ไต้เจียเองก็ยิ้มขึ้นมา

“เพราะว่าฉันต้องการเงินยังไงล่ะ”

“แล้วใครไม่ต้องการเงินกัน?”

คำพูดนั้นของเจียงเซ่อทำเอาหล่อนหลุดหัวเราะออกมา “นี่มันเป็นเรื่องจริงเลยนะ”

เธอวางนิ้วที่ทาสีดำเงาเอาไว้บนแก้วน้ำชา เลื่อนมันไปๆ มาๆ อยู่อย่างนั้น ท่าทางเธอดูลังเลกับอะไรบางอย่างอยู่ครู่ใหญ่ๆ ก่อนจะเตือนเจียงเซ่อขึ้นมา

“เธอต้องระวังเหยาเสียงเอาไว้นะ”

พอพูดถึงตรงนี้ขึ้นมา หล่อนก็กัดริมฝีปากตัวเอง “เขาเป็นคนของไท่เหอออดิโอคอร์ปอเรชั่น บริษัทที่ลงทุนหนังเรื่อง ‘ฝันที่เป็นจริง’ นี่ไงล่ะ ในวงการนี้เขาเป็นคนที่มีชื่อเสียงในด้านลบมากๆ” แล้วไต้เจียก็ยกมือปัดผมอย่างหงุดหงิดอีกรอบ “ที่ฉันพูดเรื่องนี้กับเธอขึ้นมา ไม่ใช่เพราฉันแค้นที่โดนเปลี่ยนบทหรอกนะ” เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง “แต่ครั้งนี้ที่ฉันโดนเปลี่ยนบทเนี่ย นอกจากที่ฉันไปล่วงเกินจ้าวรั่วจวินแล้ว ฉันยังไปทำตัวไม่ดีกับเหยาเสียงอีก เรื่องนี้ก็มีส่วนเกี่ยวข้องเหมือนกัน”

หล่อนพูดขึ้นมาว่าคนที่ชื่อ ‘เหยาเสียง’ เป็นโปรดิวเซอร์ของหนังเรื่อง ‘ฝันที่เป็นจริง’ เจียงเซ่อเองก็ไม่ได้เล่นบทที่สำคัญอะไรนักกับตัวหนัง และถ่ายแค่วันเดียวก็เสร็จแล้ว ส่วนคนที่ชื่อ ‘เหยาเสียง’ อะไรนั่นก็เจอกันแค่ครั้งเดียวในกองถ่าย

ตอนนั้นอยู่ที่สตูถ่ายหนัง เธอและไต้เจียกำลังพูดคุยกัน หลังจากนั้นก็มีผู้ชายมายื่นบุหรี่ให้เธอ

ไต้เจียเองคงจะรู้อยู่แล้วว่าเหยาเสียงมีชื่อเสียงทางด้านไหน ตอนนั้นที่เหยาเสียงยื่นบุหรี่ให้หล่อนถึงได้ไม่รับมัน

“เขาน่ะเป็นคนใจคอคับแคบ ใครๆ ก็ไม่ชอบเขาทั้งนั้น” ไต้เจียยิ้มหัวเราะเย็นๆ ออกมา “จ้าวรั่วจวินอยากเปลี่ยนบท เขาก็จัดให้”

เจียงเซ่อตั้งใจฟัง แล้วไต้เจียก็เตือนเธออีกครั้งเกี่ยวด้านไม่ดีของ ‘เหยาเสียง’

“บุหรี่ของเขา เหล้าของเขา ล้วนแต่มีของแปลกปลอมอยู่ในนั้น ถ้าเกิดหลงกลล่ะก็หนีไม่รอดแน่ๆ” ไต้เจียยกชาที่เริ่มเย็นแล้วขึ้นมาจิบ “ถ้าอยากจะใช้ทางลัดเล็กๆ น้อยๆ ก็พอได้อยู่หรอก แค่กลัวว่าเธอจะตกหลุมพรางเขา ถ้าลงโคลนแล้วจะขึ้นได้ยากนะรู้ไหม”

“ฉันเข้าใจแล้ว”

ไต้เจียยังบ่นต่อ ให้เจียงเซ่อระวังอีกด้านของวงการบันเทิงไว้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอตกใจแต่อย่างใด

วงการบันเทิงก็เหมือนเป็นสังคมสังคมหนึ่ง ข้างในนี้มีคนนิสัยแตกต่างมากมาย

แต่เพราะทุกอย่างไม่ใช่ราบรื่นไปเสียหมด เจียงเซ่อถึงได้รู้สึกว่ามันน่าสนใจดี จะต้องทำอย่างไรถึงจะข้ามผ่านกับดักอันยั่วยวนนี้ไปได้ เพื่อที่จะสามารถบรรลุเป้าหมายที่มั่นคง ก็ยังต้องดูนิสัยและตัวเลือกของแต่ละคน

คงเป็นเพราะตอนนั้นไต้เจียเห็นเธอรับบุหรี่ของเหยาเสียงมา จึงบอกเรื่องนี้กับเธอเพื่อเป็นการเตือนเอาไว้

“เธอจะต้องระวังเอาไว้นะรู้ไหม งานเลี้ยงปิดกล้องคืนนี้ ยังไงเหยาเสียงก็ต้องมา” หล่อนยกกาน้ำชาสีใสขึ้นแล้วรินเต็มแก้วตัวเอง หล่อนหรี่ตาลง “ครั้งที่แล้วเขาคงพอใจในตัวเธอมาก หน้าตาเธอเป็นยังไงเธอก็คงรู้ตัวเองดีอยู่แล้ว อย่าไปตกอยู่ในกำมือของเขาเข้าล่ะ”

เจียงเซ่อพยักหน้า

“ฉันรู้”

หล่อนก็ไม่พูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก แล้วยกแก้วขึ้น

“เจอกันตั้งหลายรอบแล้ว นี่อาจจะเป็นโชคชะตาก็ได้นะ ชนแก้วหน่อยเป็นไง!”

แต่ก่อนเจียงเซ่อเองก็มีเพื่อนที่ไปมาหาสู่กัน แต่ก็ไม่เคยมีเพื่อนคนไหนที่ที่มีนิสัยดูคบได้จริงๆ อย่างไต้เจียเลย เจอหน้ากันไม่กี่ครั้ง แต่กลับรู้สึกว่าเด็กสาวคนนี้น่าสนใจมากๆ เธอจึงยกแก้วชาขึ้นไปชนกับแก้วหล่อน

ทั้งสองคนยังนั่งอยู่อีกสักพัก และยังได้พูดคุยกันเรื่องอื่นๆ ด้วย หลังจากนั้นก็แลกเบอร์กัน เวลาก็เดินมาถึงประมาณหกโมงครึ่ง

ทางทีมงานนัดกันเอาไว้หนึ่งทุ่ม ตอนนี้ก็คงถึงเวลาที่จะขึ้นไปได้แล้ว

ไต้เจียยกกระเป๋าขึ้นมาแล้วก็สะบัดผม

“ครั้งนี้เธอเลี้ยงก่อนแล้วกัน”

ทั้งสองได้สั่งขนมเล็กๆ น้อยๆ มาทาน และได้สั่งน้ำชาเพิ่มอีกที่ด้วย ทั้งหมดรวมกันเกือบหกร้อยหยวนเลยทีเดียว

เจียงเซ่อนำบัตรไปจ่ายเงิน ไต้เจียสังเกตสีหน้าเธอแล้ว เธอก็ไม่ได้มีสีหน้าไม่พอใจหรือไม่อยากทำ หล่อนจึงยิ้มมากขึ้น

พอมาถึงชั้นเจ็ดที่เป็นชั้นจัดงานเลี้ยงแล้ว พวกทีมงานบางส่วนเองก็เริ่มเดินเข้างานกันแล้ว

ผู้ช่วยหลี่อี้ที่เป็นคนแนะนำให้เธอไปเล่น ’99 Love letter’ เองก็มาแล้วเช่นกัน พอเขาเห็นว่าเจียงเซ่อกับไต้เจียมาแล้ว ตาของเขาก็ประกายขึ้นมาและรีบขอตัวจากคนข้างๆ แล้วเดินเข้ามา

“สองสาวสวยมากันเร็วจังเลยนะเนี่ย”

พอทีมงานผู้หญิงสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังได้ยินเขาพูดขึ้น พวกหล่อนก็ด่าขึ้นอย่างขำๆ “พวกฉันก็มาเร็วนะ หรือว่าพวกเราไม่สวยหรือไง?”

หลี่อี้หัวเราะด้วยใบหน้าทะเล้น ไต้เจียเองก็สังเกตได้ว่าหลี่อี้คงมีเรื่องอยากจะคุยกับเจียงเซ่อ จึงแกล้งออกปากขอตัวไปอีกจุดหนึ่งแล้วหยิบมือถือขึ้นมาเล่น

“ครั้งที่แล้วพี่ฉาวที่เป็นทีมงานของผู้กำกับจ้าวโทรมาหาฉัน บอกว่าผู้กำกับจ้าวชื่นชมเธอไม่ขาดปากเลย แถมยังให้เบอร์พี่ฉินกับเธอด้วย เห็นบอกว่าถ้าผู้กำกับจ้าวจะทำหนังใหม่ก็จะโทรหาเธอ” ถ้าเทียบลักษณะท่าทางที่หลี่อี้พูดกับเธอในตอนที่อยู่ในกอง ‘ฝันที่เป็นจริงแล้ว’ ตอนนี้เขาดูทำตัวดีขึ้นกว่าดิมตั้งเยอะ

คงเป็นเพราะเจียงเซ่อได้กลายเป็นที่โปรดปรานของผู้กำกับจ้าวไปแล้ว และตอนนี้เธอก็ไม่เหมือนมือใหม่เมื่อตอนนั้นแล้ว หลี่อี้ถึงได้ยิ้มประจบขนาดนี้

“ถ้าเกิดวันข้างหน้ามีโอกาสดีๆ ก็อย่าลืมฉันไปเสียล่ะ”

เจียงเซ่อเองก็ตอบกลับทันที “ได้เข้าร่วมถ่ายหนังของผู้กำกับจ้าว ฉันคงไม่ได้โอกาสแบบนี้ถ้าไม่มีพี่หลี่คอยแนะนำ บุญคุณครั้งนี้ฉันต้องตอบแทนแน่นอนค่ะ”

พอหลี่อี้ได้ยินอย่างนั้น ท่าทางของเขาก็ดูพอใจขึ้นมาก

พูดอะไรพอเป็นพิธีอีกเล็กน้อย แขกในงานก็เริ่มมากันเยอะแล้ว

นอกจากนางเอกอย่างจ้าวรั่วจวินที่ติดงานถ่ายอยู่ เมื่อเสร็จแล้วจะรีบมาร่วมงานแล้ว พระเอกอย่างหังยวี๋อีและผู้ช่วยเขาอีกสองคนก็เข้าไปนั่งในงานเรียบร้อย

ตอนนี้ชั้นเจ็ดทั้งชั้นกลายเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยง นอกจากทีมงานและนักแสดงในกองถ่ายแล้ว ก็ยังมีพวกโปรดิวเซอร์นักลงทุนในหนังเรื่องนี้มาเข้าร่วมด้วย พอเข้าไปก็พบว่าทั้งห้องจัดงานมีคนนั่งเต็มไปหมด

บทที่เจียงเซ่อเล่นในหนังไม่ได้สำคัญอะไรนัก ดังนั้นเธอจึงทำตัวสบายๆ ไม่รอให้ทีมงานมาจัดหาที่นั่งให้ เธอก็เลือกที่จะนั่งร่วมโต๊ะกับพวกทีมงานผู้หญิงด้วยกัน

พอทุกคนเห็นเธอนั่ง ก็รีบเรียกเธอทันที และรวมถึงไต้เจียที่โดนดึงให้ไปนั่งที่โต๊ะของนักแสดง เพราะอย่างน้อยหล่อนก็เป็นนักแสดงแทนของตัวนางเอก

พวกนักลงทุนและกู้เจียเอ่อพูดกล่าวบนเวทีเล็กน้อย สายตาของเจียงเซ่อเองก็คอยสอดส่องไปทั่วห้องจัดงานเลี้ยงแห่งนี้ และก็บังเอิญไปเจอกับเหยาเสียง

เขานั่งโต๊ะที่ติดกับเวที ท่าทางเหมือนอย่างที่ไต้เจียพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ เจียงเซ่อมองเขาแค่แป๊บเดียวก็ผละสายตาออก

ยังไม่ทันจะได้เริ่มรับประทานอาหาร ก็มีทีมงานคนหนึ่งเดินเข้ามาหาเจียงเซ่อเพื่อให้เธอไปดื่มเหล้าแสดงความเคารพ

เธอไม่ใช่นักแสดงหลักเสียหน่อย แล้วทำไมต้องมาดื่มเหล้าแสดงความเคารพอะไรนี่ด้วย?

ยังไงก็ตาม ทีมงานที่มาเรียกเธอให้ไปดื่มเหล้าแสดงความเคารพก็ชี้ไปที่โต๊ะโต๊ะหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป โต๊ะนั้นเต็มไปด้วยพวกนักลงทุนมากมาย มีตั้งสองสามโต๊ะ ถ้าให้ดื่มหมดนั้นคงเอาตัวเองกลับห้องไม่ได้แน่ๆ

เจียงเซ่อยิ้มแล้ววางตะเกียบลง จากนั้นก็หยิบกระดาษทิชชู่ขึ้นมาเช็ดปาก

“ฉันก็ไปได้เหรอคะ?”

คนที่มาเรียกเธอเป็นผู้หญิงอายุราวสี่สิบ เธอไว้ผมสั้น พอได้ยินเจียงเซ่อถามแบบนั้นก็ฝืนยิ้ม

“ในเมื่อเรียกเธอ ก็แน่นอนอยู่แล้วว่าเธอไปได้”

เจียงเซ่อถือแก้วเหล้าแล้วยืนขึ้น “คนที่นั่งอยู่ตรงนั้นต่างก็เป็นคนสำคัญ จะใช้น้ำอัดลมแทนไม่ได้นะ เดี๋ยวฉันไปรินเหล้ามาให้เธอ” เธอยืนกำชับเจียงเซ่อ แต่ยังไม่ทันได้พูดจบ เจียงเซ่อก็ถือแก้วชนเข้าที่ร่างของผู้หญิงคนนั้นเข้าเต็มๆ