娱乐圈头条 หัวข้อข่าว แห่งวงการบันเทิง
ผู้แต่ง กว๋านเอ่อwr
ผู้แปล เติ้ง ลี่เฟิน
บทที่ 52 เสียดสี
เจียงเซ่อก็ยังไม่รู้จริงๆ นักศึกษาในหอพักหลายคนก็ยังไม่ได้ซื้อคอมหรือโน้ตบุ๊กเอาไว้ มือถือของเธอเองก็เป็นมือถือรุ่นเก่า ใช้ได้แค่โทรเข้าโทรออกรับส่งข้อความธรรมดาเท่านั้นแหละ และเธอก็ไม่รู้จริงๆ ว่าในเน็ตมันเกิดอะไรขึ้น
พอตอนนี้ที่ยวี๋เสี่ยวตานพูดขึ้นมา เธอก็เพิ่งรู้ว่าตัวเองดังในเพจมหาวิทยาลัยไปแล้ว
“ในคอมเมนท์ที่คุยกันต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน ว่าเธอน่ะฆ่าสาวสวยโจวหยิงที่อยู่คณะศิลปกรรมศาสตร์เลยนะ”
ตอนนี้เปิดเรียนมาได้สองวันแล้ว ยวี๋เสี่ยวตานเป็นคนที่มีนิสัยร่าเริง เธอเลือกเรียนคณะวิศวกรรมโยธา ถึงผู้หญิงจะไม่ค่อยเยอะนัก แต่เธอก็มีเพื่อนผู้ชายอยู่ไม่น้อย
“ในเน็ตบอกว่ามหาวิทยาลัยจะมีการจัดอันดับสาวสวยด้วยนะ ช่วงนี้ก็เป็นข่าวดังเลยล่ะ” เธอแอบลอบมองเจียงเซ่อครู่หนึ่ง “พี่ๆ ในคณะวิศวกรรมโยธาเขาสร้างกลุ่มที่จะส่งเสริมเธอด้วยนะ”
ยวี๋เสี่ยวตานพูดออกมาไม่หยุดอย่างตื่นเต้น แต่เจียงเซ่อกลับคิดว่ามันน่าเบื่อเอามากๆ
เรื่องแบบนี้มันต้องเป็นที่สนใจของทางมหาวิทยาลัยแน่ๆ ในคณะมีทั้งอาจารย์ที่ชอบนักเรียนที่รักเรียนและสนใจการเรียนจริงๆ และแน่นอนก็ต้องมีอาจารย์ที่ไม่ชอบให้เด็กคณะสาขาอื่นมาเข้าฟังในคาบวิชาของตัวเองมากเกินไป
โดยเฉพาะห้องเรียนที่มีเด็กมานั่งเต็มจนล้นห้อง แต่กลับไม่ได้มีความสนใจที่จะเรียนในวิชาความรู้นี้จริงๆ แต่แค่มานั่งดูสาวสวยเท่านั้น นั่นยิ่งทำให้อาจารย์บางคนมองพวกคนที่มานั่งฟังบรรยายอย่างไม่พอใจ
แต่การที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเจียงเซ่อเลย และเรื่องพวกนี้ก็เป็นเรื่องที่ดูแก้ได้ยากจริงๆ
ข้างล่างตึกหอก็มักจะมีคนมาด้อมๆ มองๆ บ้าง บางทีเธอก็ออกไปนอนหอนอก นอกจากนี้แล้ว การที่ใช้ชีวิตในหอในปีหนึ่งเทอมหนึ่งนี้ เจียงเซ่อเองก็เริ่มรู้สึกชอบมันเหมือนกัน
พอเข้ากลางเดือนตุลาคม ทีมงานของหนังเรื่อง ‘ฝันที่เป็นจริง’ ก็โทรมาหาเธอ พวกเขาเชิญเธอไปร่วมงานเลี้ยงฉลองปิดกล้องนั่นเอง
หลังจากที่กู้เจียเอ่อถ่ายทำเสร็จ ฉากทุกฉากก็เข้าสู่ขั้นตอนตัดต่อเป็นเรื่องออกมา ทางกองถ่ายจะมีการจัดงานเลี้ยงปิดกล้องในวันศุกร์นี้ เชิญทั้งทีมงานทั้งหมดและนักแสดงก็ด้วย สถานที่คือโรงแรมหวนรุ่ยจี๋ในตี้ตู
และในขณะเดียวกัน เงินค่าตอบแทนในส่วนที่เหลือก็ถูกโอนเข้าบัญชีเธอเรียบร้อยแล้ว
บทบาทที่เจียงเซ่อเล่นใน ‘ฝันที่เป็นจริง’ ไม่ใช่บทที่สำคัญอะไรนัก แต่สุดท้ายก็โดนเชิญให้ไปร่วมงานเลี้ยงด้วย ยังไงก็ถือว่าไปหาลู่ทางแล้วกัน ไปดูว่าจะสามารถหาโอกาสที่จะออดิชั่นนักแสดงได้หรือไม่
ตอนนี้ในบัญชีของเธอยังพอมีเงินเหลืออยู่บ้าง แต่ไม่กี่วันมานี้ทางผู้ให้เช่าห้องได้โทรมาเตือนเธอว่าให้เตรียมจ่ายค่าห้องได้แล้ว
ถึงแม้ว่าตอนนั้นทางมหาวิทาลัยได้กำหนดไว้ว่าต้องอยู่หอใน แต่ภายในหนึ่งอาทิตย์เจียงเซ่อก็ออกไปนอนหอนอกแล้วตั้งหลายวัน
ห้องเช่าที่เช่าเอาไว้สามเดือนจ่ายหนึ่งครั้ง แต่ละครั้งก็ต้องจ่ายถึงเจ็ดพันกว่าหยวน ถึงแม้ว่าเงินค่าตอบแทนจะถูกโอนเข้าจนเงินเพิ่มขึ้นมาแล้ว แต่ยังไงก็คงไม่พอใช้แน่ๆ
และเพื่อที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยง เธอก็ไปเดินดูร้านค้าแถวมหาลัยและได้ชุดกระโปรงลายดอกไม้มาหนึ่งตัว ส่วนเสื้อตัวนอกใส่เป็นเสื้อไหมพรมสีแดงสด ผมของเธอถูกปล่อยออก พอออกมาจากห้องน้ำแล้ว รูมเมทอย่างยวี๋เสี่ยวตานและคนอื่นๆต่างก็ตะลึงงันไปทันที
“เซ่อเซ่อจะออกไปเดทกับแฟนเหรอ?”
เธอยังไม่ได้แต่งหน้าเลยด้วยซ้ำ มีเพียงแค่ใบหน้าที่ขาวใส แต่ก็เป็นแบบนี้ละนะ วันปกติธรรมดาเธอก็ไม่ได้ใส่กระโปรงเลยด้วยซ้ำ และมันก็สามารถให้เฉาซวงและคนอื่นๆ ต่างตกตะลึงในความสวยของเธอ
เจียงเซ่อส่ายหน้า เธอหยิบลิปมันเปลี่ยนสีขึ้นมาทาสองสามที “วันนี้มีงานเลี้ยงน่ะ ก่อนหน้านี้มีคนโทรมาบอกให้ไปเข้าร่วม” เธอคิดอะไรอีกนิดหน่อย “วันนี้เป็นวันศุกร์ ตอนดึกฉันคงจะกลับบ้านเลย ไม่ต้องปลดล็อคประตูไว้ให้ฉันนะ”
มหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งอยู่ห่างจากตัวเมืองไปถึงสิบป้ายรถเมล์ เจียงเซ่อออกมาค่อนข้างเร็ว เพื่อป้องกันช่วงเวลารถติด ตอนที่ขึ้นรถมาก็มีคนไม่มากนัด ตอนที่ไปถึงโรงแรมก็เพิ่งจะห้าโมงครึ่งเท่านั้น
เจียงเซ่อเข้ามาในโรงแรม แต่เธอไม่ได้รีบร้อนที่จะขึ้นไปข้างบน เธอคิดว่าจะนั่งอยู่ที่โถงข้างล่างก่อน
ข้างในโรงแรมนั้น นอกจากจะมีพนักงานกดลิฟต์ที่ยืนอยู่ ก็มีพวกดอกไม้กระถางจัดเรียงเอาไว้ในโซนที่สามารถเข้าไปนั่งดื่มชาพักผ่อนได้
ช่วงตอนเย็นในวันศุกร์แบบนี้คนค่อนข้างเยอะ พอเจียงเซ่อเข้ามาในโรงแรมแล้ว พวกคนที่นั่งอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมามอง
เธอมองไปรอบๆ พอกำลังจะหาที่นั่งก็มีใครบางคนลุกขึ้นมาจากที่นั่งแล้วกวักมือเรียกเธอ
“ทางนี้”
เธอหันหน้ากลับไปมอง และสายตาก็พลันเห็นไต้เจียที่ไม่ได้เจอกันนาน
“ ‘ฝันที่เป็นจริง’ เชิญเธอมาเหรอ?”
พอเจียงเซ่อเดินเข้าไป ไต้เจียก็ยิ้มถามเธอ
หล่อนแต่งตัวออกมาได้เซ็กซี่มาก ท่อนบนเป็นเสื้อคอลึกรัดรูปสีแดง ท่อนล่างสวมกระโปรงขนแกะ ทำให้ได้เห็นรูปร่างที่อรชรอ้อนแอ้นและเนินอกที่อวบอิ่มได้อย่างชัดเจน
หน้าอกเธอแหวกลึกมาก ทำให้เห็นเป็นร่องเนินอกได้อย่างชัดเจน และมันก็ดึงดูดคนที่นั่งรอบๆ ให้หันมามองกันใหญ่
หล่อนพูดถึง ‘ฝันที่เป็นจริงขึ้นมา’ สีหน้าหล่อนเองก็ไม่ค่อยดีนัก ราวกับว่าเรื่องที่โดนเปลี่ยนบทยังคงติดอยู่ในใจเธอ
“วันนี้มีงานเลี้ยงปิดกล้องนี่” เจียงเซ่อนั่งลง พนักงานเองก็เดินเอาเมนูมาให้ เธอสั่งเป็นน้ำชาหนึ่งกา หลังจากนั้นก็ถามไต้เจียออกไป “เธอมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“เพิ่งมาเหมือนกัน” ไต้เจียนั่งไขว้ขาขึ้นแล้วเท้าข้อศอกด้านขวาลงบนที่พักแขนของเก้าอี้ ปลายนิ้วค้ำไว้ที่คาง
“มาถึงก่อนเธอแค่ห้านาทีเองมั้ง มหา’ลัยอยู่ใกล้น่ะ”
พอชามาเสิร์ฟ หล่อนก็ไม่สนใจแล้วรินน้ำชาให้ตัวเองทันที
“เธอคงได้ยินเรื่องที่ฉันโดนเปลี่ยนบทแล้วสินะ?”
เธอจิบน้ำชา และลิปสติกก็ติดเป็นรอยอยู่บนแก้ว หล่อนปัดผมไปด้านหลัง “แต่ฉันก็ยังได้อยู่ในกองถ่าย แต่ไม่ได้เจอกับเธอเลย”
“ฉากของฉันมีไม่มาก ถ่ายวันเดียวก็เสร็จแล้ว” เจียงเซ่อเองก็รินน้ำชาให้ตัวเอง น้ำชาลวกปากเล็กน้อย ท่าทางการจิบชาของเธอมีท่าทางที่สุภาพและสง่างามมาก
สองสาวนั่งด้วยกัน แต่ทว่าให้ความรู้สึกที่ไม่เหมือนกัน และมันก็สามารถดึงดูดสายตาได้หลายๆ คู่
แต่ไต้เจียดูท่าทางไม่ได้สนใจกับสายตาของคนรอบข้างเลยแม้แต่น้อย สีหน้าของหล่อนดูกำลังเยาะเย้ยอะไรบางอย่าง
“จริงสิ เธอลองทายดูว่าฉันได้เล่นบทไหนในหนัง?”
หล่อนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา แต่เสียงหัวเราะนั่นดูเสียดสีเอามากๆ ไม่รอให้เจียงเซ่อตอบ หล่อนก็พูดต่อขึ้นมาเอง
“ฉันแม่งถูกเปลี่ยนบท แล้วดันได้เล่นเป็นตัวแสดงแทนของเจ้ารั่วจวิน!”
เจียงเซ่อเองก็ได้เห็นบทละครมาแล้ว รู้ว่าเจ้ารั่วจวินต้องเล่นฉากใกล้ชิดโรแมนติกกับหังยวี๋อีด้วย แต่ทางเอเจนซี่ของเธอต้องการหาคนมาแสดงแทน
ตอนที่เซ็นสัญญา ทางเอเจนซี่ก็ได้คุยกับทางกองถ่ายไว้แล้ว นอกจากฉากจูบแล้ว ฉากสัมพันธ์ลึกซึ้งอย่างอื่นต้องหานักแสดงแทนมาแสดงเท่านั้น
วันนั้นเจียงเซ่อเองก็ได้คุยกับทีมงานในกองถ่ายคนหนึ่ง ก็พอจะรู้เหตุผลที่ไต้เจียโดนเปลี่ยนบท วันที่เปิดกล้องวันนั้น หล่อนแสดงได้ดีมากๆ สามารถขโมยซีนของจ้าวรั่วจวินได้เลย และนั่นก็ส่งผลต่อนางเอกของเรื่องมากด้วย ผู้กำกับเลยต้องเปลี่ยนบทให้เธอ
ถ้าหากโดนเปลี่ยนบทแล้วไปได้เล่นเป็นตัวแสดงแทนของจ้าวรั่วจวินแบบนี้ การที่เธอจะมีสีหน้าไม่พอใจก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
“เธอว่ามันน่าตลกไหมละ?”
ไต้เจียมองสีหน้าเจียงเซ่อ หล่อนก็พอจะเดาสิ่งที่เจียงเซ่อคิดอยู่ในใจได้แล้ว หล่อนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา หัวเราะจนน้ำตาไหล
“แม่งโคตรเลย ฉันต้องขอบใจเจ้ารั่วจวินสินะที่ให้โอกาสฉันได้ทำงาน”