娱乐圈头条 หัวข้อข่าว แห่งวงการบันเทิง
ผู้แต่ง กว๋านเอ่อwr
ผู้แปล เติ้ง ลี่เฟิน
บทที่ 43 ชื่นชม
การถ่ายทำในฉากนี้ถือว่าต้องใช้เวลาทั้งวันกว่าจะถ่ายเสร็จ เงื่อนไขและสิ่งที่เขาต้องการถือว่าหนักมากจริงๆ เวลาทำงานก็ดูเอาจริงเอาจังมาก เขาไม่ยอมแม้สักนิดที่จะให้มันผิดพลาด ในขณะที่ถ่ายไปเรื่อยก็โดน NG อยู่ตลอดเวลา
ชุยซิ่งเองก็ผ่านไปได้ด้วยดี กว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ก็ต้องสั่งสมประสบการณ์มากมายถึงจะดังอย่างทุกวันนี้ กลายเป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในศตวรรษนี้ เรื่องจะการงานต่างๆ ก็ไม่ต้องพูดถึง การทุ่มเทเป็นสิ่งที่แน่นอนและสมควรอยู่แล้ว ถึงจะมีหนังให้เล่นและได้รับความนิยมแบบนี้
เจียงเซ่อเป็นมือใหม่ แต่กลับมีจิตใจที่สงบนิ่ง เวลาที่เธอทำงานก็มีความตั้งใจและมีความคิดที่กว้างไกลพอๆ กับชุยซิ่ง
คนที่เรียนเปียโนมาก็จะรู้ คนที่มองก็จะคิดว่าการเล่นเปียโนเป็นความสนใจที่น่าหลงใหลไม่น้อย แต่มีแต่คนที่เล่นจริงๆ เท่านั้นแหละถึงรู้ว่าเล่นมันลำบากมากแค่ไหน
เธอเอาแต่นั่งขยับมือไปมา คอยเล่นแต่คอยกดมันอยู่เป็นวัน
ถ้าพูดถึงข้อมือและหลังมือแล้วล่ะก็ นี่ก็ถือว่าต้องแบกนรับภาระที่หนักหน่วงมาก แต่เธอก็อดทนไม่พูดมันออกมาและทนมันมาทั้งวัน ถือว่ามีความอดทนที่ดีมาก
เพราะต้องการให้การถ่ายดำเนินไปให้เร็วที่สุด เพราะคนที่ดูแลร้านเปียโนแห่งนี้ว่าสามารถให้ยืมได้แค่วันเดียวเท่านั้น ดังนั้นข้อเรียกร้องของจ้าวร่างจึงค่อนข้างที่จะเข้มงวดมาก เพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่จะถ่ายไม่เสร็จจึงถ่ายต่อไปเรื่อยๆ โดยที่ทุกคนต่างก็ไม่ได้ทานอาหารเที่ยง
แต่เจียงเซ่อก็ไม่ได้มีท่าทีไม่พอใจหรืออิดออดอะไร และสิ่งที่ยิ่งทำให้จ้าวร่างชอบเธอเข้าไปอีกก็คือข้อเรียกร้องของเขาค่อนข้างสูงลิ่วทำให้ตอนทำงานเขาจึงอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก พวกทีมงานต่างก็พากัดหวาดกลัวกับสถานการณ์แบบนี้ แต่เจียงเซ่อกลับรับแรงกดดันนี้ได้ และเธอก็แสดงบทบาทได้ดีและสวยงามมากๆ ด้วย
เธอไม่ใช่คนที่จะโดนกดดันได้ง่ายๆ เป็นคนที่ไม่ท้อถอย แถมยังมีรูปร่างที่สวยสง่า จ้าวร่างรู้สึกชื่นชมและชอบเธอมากจริงๆ
“ตอนนี้ไม่ได้มีแผนอะไรค่ะ เตรียมตัวเรียนก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
เจียงเซ่อเห็นว่าในฉากในจอของตัวหมดลงและหลังจากนั้นก็เป็นภาพฉากของชุยซิ่งขึ้นมา
ตอนนั้นเธอหันหลังให้ชุยซิ่ง จึงไม่เห็นว่าชุยซิ่งที่อยู่ด้านหลังกำลังแสดงอารมณ์แบบไหน จึงได้แค่มาดูมันอย่างละเอียดไปพร้อมๆ กับเขาอีกครั้ง
ถึงก่อนหน้านี้จะเห็นความสามารถของเขาไปแล้ว แต่พอได้มีเห็นตอนที่เขาแสดงเป็นเด็กหนุ่มที่เกิดมาจนและยอมทำทุกอย่างเพื่อความฝันของตัวเอง และเขาก็แสดงมันออกมาได้ดีมากๆ และนั่นทำให้เจียงเซ่อแปลกใจไม่น้อย
ราวกับว่าชุยซิ่งได้กลายเป็นหลี่ชิงหมิงไปแล้วจริงๆ ดูเป็นคนที่น้อยเนื้อต่ำใจในตัวเอง อ่อนไหวง่ายและค่อนข้างเก็บตัว
เขาฝันตั้งแต่เด็กว่าอยากจะเล่นและเป็นนักเปียโน แต่เพราะครอบครัวจึงไม่สามารถทำฝันของเขาให้เป็นจริงได้
และเพราะว่าต้องเข้ามาส่งของในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ หลี่ชิงหมิงจึงมีท่าทีลนลานและไม่สบายใจเป็นอย่างมาก ชุยซิ่งสามารถเก็บรายละเอียดและแสดงอารมณ์ในใจเหล่านั้นออกมาได้อย่างดี
แม้แต่หางคิ้วและขนตาของเขาก็เหมือนกำลังแสดงอยู่ ทุกครั้งที่เขาขมวดคิ้วหรือแม้แต่การเม้มปาก ต่างก็เป็นบุคลิกที่เป็นเอกลักษณ์ของหลี่หมิงชิงพระเอกในเรื่อง
“ยังคิดที่จะเรียนก็ถือเป็นเรื่องที่ดีนะ” จ้าวร่างที่ได้ยินเจียงเซ่อตอบอย่างนั้นก็พยักหน้า ก่อนจะหันหน้าไปถามเธออีก “เธอเห็นการแสดงของชุยซิ่งแล้วสินะ มีอะไรอยากจะพูดหรือเปล่า?”
พอเธอโดนถามไปแบบนั้นแต่ก็ไม่มีท่าทีหวาดอะไร เธอยิ้มแล้วตอบกลับ
“มันทำให้ฉันนึกถึงคำพูดคำพูดหนึ่งของอาจารย์กู้เจียเอ่อขึ้นมาค่ะ เขาเคยบอกไว้ว่า นักแสดงที่ดีจริงๆ จะต้องเป็นคนที่ทุ่มเทให้กับหนัง แต่ไม่ใช่ใช้หนังมาเพื่อสร้างเกียรติยศให้ตัวเอง ฉันคิดว่าพี่ซิ่งทำได้ดีมากเลยค่ะ”
จ้าวร่างเองก็เห็นด้วยกับคำพูดนั้น “คำพูดนี้ของกู้เจียเอ่อก็ถูกต้อง แต่แค่ว่าตอนนี้นักแสดงส่วนมากก็ไม่สามารถที่เรียกตัวเองว่าเป็นนักแสดงได้หรอก เรียกได้แค่ดาราเท่านั้นแหละ ฉันเองก็อยู่ในวงการมาหลายปีแล้ว เห็นมาก็มากมาย ดาราที่เคยร่วมงานด้วยกันมาก็มากกว่าสามคนแล้ว คนดูเป็นพวกลืมง่าย วงการบันเทิงมีพวกไอดอลใหม่ๆเข้ามาอยู่เรื่อยๆ ดังปีนี้ เดี๋ยวอีกปีก็มีคนอื่นเข้ามาใหม่อีก แต่ละรุ่นๆ ผ่านไป คลื่นลูกเก่าที่ไม่มีความหมายแล้วก็ต้องเลือนหายไปบนหาดทราย”
เขาเป็นคนที่ไม่ค่อยพูด จึงฟังไม่ค่อยชัดนัก
แต่พอพูดไปสองสามประโยค ก็พอจับได้ว่าสำเนียงการพูดของเขามันปนๆ กันระหว่างการใช้คำพูดแบบจีนแผ่นดินใหญ่และสำเนียงแบบคนกวางตุ้ง
“แต่กาลเวลาจะจดจำเอาไว้ ขอแค่เป็นนักแสดงที่เป็นนักแสดงจริงๆ ไม่ใช่แค่ดาราที่ขายหน้าตาแบบนั้นน่ะนะ” เขามองเจียงเซ่อที่ดูผ่อนคลาย ถึงแม้จะอยู่ต่อหน้าเขาแต่ก็ไม่มีท่าทางตื่นเต้นเลยแม้แต่น้อย แถมยังยิ้มตามอีกต่างหาก
“กู้เจียเอ่อพูดกับเธอแบบนี้ แสดงว่าก็คงสนใจเธออยู่สินะ” เขาคิด แล้วพูดต่อ “พอหนังฉายแล้วก็อย่าเพิ่งไปเซ็นสัญญากับพวกบริษัทส่งๆ ล่ะ โรงเรียนสอนการแสดงไม่อนุญาตให้เด็กปีหนึ่งและปีสองรับงานเด็ดขาด” พูดถึงตรงนี้เขาก็ถามขึ้นอีก
“เธอสอบโรงเรียนสอนการแสดงใช่ไหมละ?”
ยิ่งเจียงเซ่อมีรูปร่างหน้าตาที่ดีขนาดนี้ สวรรค์ช่างมีเมตตาต่อเธอจริงๆ และเธอก็ดูสนใจที่จะเข้าวงการบันเทิงด้วย ยังไงก็คงจะต้องเข้าโรงเรียนสอนการแสดงอยู่แล้ว
จ้าวร่างเองก็ไม่ได้คิดไปเป็นอย่างอื่น ที่เขาถามขึ้นมาก็แค่เป็นเพราะว่าเขาพูดเรื่องนี้ขึ้นมาพอดี เลยถามออกไปเฉยๆ เลยเขาก็ไม่คิดว่าเจียงเซ่อจะตอบอย่างอื่นด้วย
แต่แล้วพอเจียงเซ่อโดนถามแบบนั้น เธอก็ส่ายหัว
“ฉันสอบเข้ามหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งไปค่ะ ส่วนที่อื่น ยังไม่ได้คิดเลยค่ะ”
คำตอบของเจียงเซ่อทำเอาจ้าวร่างตะลึงแล้วหันตัวไปหาทันที
“มหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งหรือ?”
จ้าวร่างเองก็เคยคิดว่าเจียงเซ่อดูเป็นคนที่มีความคิดดีกว่าคนอื่นๆ แต่ก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่าเธอจะมีผลการเรียนที่ดีขนาดนี้ด้วย
มหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่มีมาตรฐานสูงสุดของจีน การที่จะได้เข้าเรียนที่นี้ถือว่าเป็นนักเรียนหัวกะทิสุดๆ
นักศึกษาที่จบจากมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งน่ะเหรอ ไม่ว่าจะงานสาขางานหรือบริษัทไหนก็เตรียมอ้าแขนต้อนรับเต็มที่
ในวงการบันเทิงมีดาราเล็กใหญ่มากมายเต็มไปหมด แต่คนสวยๆ ต่างก็เรียนที่โรงงเรียนสอนการแสดง ไม่ก็โรงเรียนสอนศิลปะ คนที่เรียนดีก็มีอยู่เหมือนกัน แต่มันก็หาได้ยากมากๆ
จ้าวร่างไม่คิดเลยจริงๆ ว่านักแสดงมือใหม่คนนี้จะเรียนถึงมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่ง
ถ้าวันหนึ่งเธอจบจากมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งจริงๆ ถึงตอนนั้นก็คงเป็นใบประกันชั้นดีให้เธอได้
“หาได้ยากจริงๆ นะ” เจ้าร่างชมเปาะ สายตาที่มองเจียงเซ่อตอนนี้มันดูอบอุ่นกว่าเดิมหลายเท่า “งั้นถ้าไม่ใช่โรงเรียนสอนการแสดง จะรับงานก็คงจะไม่มีกฎเยอะอะไรนัก งั้นเดี๋ยวเธอให้เบอร์โทรศัพท์ไว้กับเสี่ยวฉินนะ คราวหน้าหากมีบทที่เหมาะกับเธอ แล้วเดี๋ยวฉันจะโทรหาเอง”
เขาทำมือเป็นโทรศัพท์แถมยังพูดถึง เสี่ยวฉิน ผู้ช่วยของเขาอีกด้วย ไม่รู้ว่าเขาอาจจะแค่พูดไปตามมารยาทหรืออย่างไร แต่เธอก็คงต้องรับน้ำใจเขาเอาไว้ก่อน
พอกำลังจะพูดอะไรขึ้นมา ชุยซิ่งที่เปลี่ยนเสื้อลบเครื่องสำอางเสร็จก็ออกมาพอดี ผู้ช่วยของเขาเองก็เดินมาข้างๆด้วยกัน พอเห็นว่าเจียงเซ่ออยู่ตรงนั้นก็หันไปกระซิบกระซาบกัน
ชุยซิ่งเดินเข้ามาและมองเจียงเซ่อทีหนึ่ง จ้าวร่างหันไปคุยกับเขาแล้ว ดูท่าคงจะไม่เหมาะที่จะยืนต่อ
เธอเอาเบอร์โทรให้กับเสี่ยวฉินเรียบร้อย พอกำลังจะออกมาก็มีผู้หญิงสวมชุดพนักงานสีดำคนหนึ่งเหมือนกำลังยืนลังเลอะไรสักอย่าง และหล่อนก็เดินเข้ามาขวางเธอเอาไว้
“คุณเจียงคะ”
วันนี้อยู่กองถ่ายมาทั้งวัน เจียงเซ่อพอจะจำผู้หญิงคนนี้ได้ หล่อนคงเป็นหนึ่งในพนักงานของร้านเปียโนแห่งนี้ วันนี้คงมาดูการถ่ายทำในร้านและคงมาดูแลไม่ให้เปียโนเสียหายล่ะมั้ง
แต่เธอไม่ได้เป็นคนพูดมากอะไร ทั้งวันก็เห็นแค่เธอยืนอยู่ในกลุ่มพนักงานและดูการถ่ายทำอย่างเงียบๆ และไม่มีใครส่งเสียงรบกวนการถ่ายทำเลยแม้แต่น้อย
เวลาคุยก็คุยด้วยน้ำเสียงที่เบาและนุ่มนวล ไม่ได้แสดงท่าทีว่าสนิทกับเจียงเซ่อออกมา หล่อนค่อยๆ ลดมือขวางเธอไว้ลง เจียงเซ่อเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนักแต่ก็ตอบกลับ
“สวัสดีค่ะ”
ผู้หญิงตรงหน้าสวมเสื้อเชิ้ตฝ้ายคอกลมสีขาว และเพราะในห้างเปิดแอร์ตลอดเวลา เธอจึงมีเสื้อคลุมสูทใส่ทับไว้ข้างนอก ดูท่าทางมีภูมิฐานไม่น้อย