娱乐圈头条 หัวข้อข่าว แห่งวงการบันเทิง
ผู้แต่ง กว๋านเอ่อwr
ผู้แปล เติ้ง ลี่เฟิน
บทที่ 32 บทพูด
“กระจกในห้องเธอฉันสั่งให้คนทำเป็นกระจกกันแสงด้วยนะ มันสามารถมองเห็นวิวที่นั่นได้หมดเลยล่ะ” ตอนที่เขาพูดแบบนั้นดวงตาของเขาเองก็เปล่งประกายระยิบระยับ
“ใกล้ๆ นั่นมีคอกเลี้ยงม้าด้วยนะ เลี้ยงไว้อยู่สองตัว ยังไม่ได้ตั้งชื่อเลยด้วย”
“ฤดูใบไม้ผลิเราไปกันเถอะ ถึงตอนนั้นองุ่นก็คงจะสุกได้ที่แล้ว พวกเราจะได้เก็บเองด้วย แล้วหลังจากนั้นพวกเราก็จะได้หมักไวน์ด้วยกัน ทิ้งมันไว้……” แล้วเขาก็พูดอะไรอีกไม่รู้ “……แล้วหลังจากนั้นพวกเราก็จะดื่มด้วยกัน”
ตอนนั้นเผยอี้พยายามพูดทุกอย่างเพื่อหลอกล่อให้เธอไปปารีส เขาพูดทุกอย่างที่มีที่นั้น เขาบอกว่าที่นั้นเลี้ยงม้าไว้สองตัว และที่นั่นก็มีไม้เถามากมายที่อยู่มากว่าร้อยปี เขาบอกว่าถึงฤดูใบไม้ผลิแล้วองุ่นจะออกเต็มไปหมด ภาพแสงแดดที่ส่องลอดเข้ามาผ่านช่องใบไม้และสาดลงบนพวงองุ่นถูกเล่าผ่านปากของเขาเอง และมันก็สามารถทำให้เธอจินตนาการถึงภาพพวกนั้นออกมาได้
คิดไปคิดไปอารมณ์ของเจียงเซ่อก็หม่นลง
เธอเริ่มที่จะเข้าใจกู้เจียเอ่อมากขึ้นแล้ว
ตอนที่เผยอี้พูดเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่ออยากให้เธอสนใจและอยากไปฝรั่งเศสเขาก็พูดด้วยความตื่นเต้นและจริงใจ เขายังพูดถึงแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาเป็นม่านกั้นระหว่างเมืองชนบทที่แสนสงบสุข และนั่นก็ง่ายเหลือเกินที่จะทำให้เธอพยักหน้าตอบตกลง
แต่ที่สุดแล้วเธอก็ไม่ได้โน้มเอียงไปกับแผนของเผยอี้ที่อยากจะไปปารีสเสียทีเดียว
เธอไม่ได้ตื่นเต้นจนออกอาการ ดังนั้น ตอนที่เผยอี้พูดถึงเรื่องพวกนี้ขึ้นมาเธอก็แค่คิดว่ามันก็ดูดี
แต่พอทำไมคิดถึงมันตอนนี้ขึ้นมาแล้ว เธอกลับรู้สึกหน่วงที่ใจอย่างบอกไม่ถูก
เธอลองคิดถึงอารมณ์ของเผยอี้ในตอนที่เขาพูดถึงเรื่องพวกนี้กับเธอ ราวกับว่าเขาได้เตรียมยกบ้านพักตากอากาศที่นั่นให้เธอแล้ว และเธอก็รับมันเอาไว้แล้วเช่นกัน
นึกย้อนไปเรื่อยๆ เธอก็ได้รู้สึกถึงอารมณ์ในตอนนั้น คำพูดต่างๆ ที่ถูกบอกเล่าออกมาจากปากของเผยอี้ทำให้เธอนึกถึงท้องฟ้าสีครามขนานกับไร่องุ่นที่กว้างสุดลูกหูลูกตา ห้องโดมที่ถูกสร้างขึ้นด้วยกระจกกันแสงและม้าสองตัวที่ยังไม่ถูกตั้งชื่อ
พอเธอลองทำตัวให้เหมือนเผยอี้ในตอนนั้น น้ำเสียงการพูดของเธอก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง
เพราะเธอไม่ได้อยู่หน้ากระจก จึงมองไม่เห็นว่าตอนนี้แววตาของเธอมันวาววับมากแค่ไหน
พอกู้เจียเอ่อถ่ายฉากของเจ้ารั่วจวินและหังยวี๋อีเสร็จเขาก็นึกถึงเจียงเซ่อขึ้นมา
“เตรียมตัวพร้อมหรือยัง?”
ฉากที่เจอกันของเจ้ารั่วจวินและหังยวี๋อีก็ผ่านไปอย่างปกติ ไม่มีข้อผิดพลาด แต่ก็ไม่ได้มีความน่าตื่นเต้นอะไรเช่นกัน
ตั้งแต่เริ่มจนจบมันไม่ได้เป็นไปคามความคิดของกู้เจียเอ่อนัก ใบหน้าของเขาจึงมีแต่ความหงุดหงิด
“พร้อมแล้วค่ะผู้กำกับ”
เจียงเซ่อพยักหน้า แต่กู้เจียเอ่อไม่ได้จะให้ถ่ายเลย เขาแค่ต้องการให้เธอมาพูดบทให้ฟังเท่านั้น
เจียงเซ่อค่อยๆ ยิ้มขึ้น ส่วนกู้เจียเอ่อก็ไม่ได้รู้สึกเหมือนครั้งแรกอีกต่อไป
ตอนแรกที่เจียงเซ่ออยู่หน้ากล้อง เธอก็แสดงออกได้อย่างสวยงาม แต่ก็ยังมีบางอย่างที่ทำให้ทุกคนรู้สึกถึงความเย็นชา
แต่ทว่าตอนนี้ ดวงตาของเธอเป็นประกายราวกับว่ากำลังจินตนาการถึงมัน รอยยิ้มเล็กๆ ของเธอช่วยละลายความห่างเหินบนร่างเธอออกไป
จังหวะการพูดและภาษาของเธอยังคงเป็นเอกลักษณ์เหมือนเดิม แต่ลักษณะท่าทางและน้ำเสียงฟังดูดึงดูดให้คนลุ่มหลงมากขึ้น เธอพูดถึงเรื่องราวความเป็นมาของปารีส และพูดถึงศิลปะประติมากรรมที่งดงาม รวมถึงสถาปัตยกรรมที่มีอยู่เต็มไปหมด
นั่นทำให้กู้เจียเอ่อนึกถึงวันวานที่ตัวเองได้ไปเรียนที่นั่น นึกถึงบรรยากาศที่เต็มไปด้วยศิลปะที่แสนงดงาม เขาค่อยๆหลงเข้าไป แต่เจียงเซ่อก็หยุดลงเสียก่อนเพราะเธอได้พูดบทไปหมดแล้ว
แค่ประโยคสั้นๆ แค่ไม่กี่ประโยคแต่เธอก็ทำออกมาได้ไม่เหมือนกับครั้งแรกที่ทั้งนิ่งและเรียบ แต่มันกลับดึงดูดและทำให้รู้สึกดีเป็นอย่างมาก น้ำเสียงที่มีเสน่ห์และฟังดูไม่เป็นการโอ้อวด ในฉากๆ นี้ ถ้าเจียงเซ่อสามารถรักษาท่าทางแบบนี้เอาไว้ได้และพัฒนาขึ้นไปอีก เธอจะกลายเป็นจุดเด่นที่สุดของฉากเครื่องบินทันที และสามารถกดเจ้ารั่งจวินลงไปด้วย
กู้เจียเอ่อมองเธออย่างพึงพอใจเป็นอย่างมาก ที่เขาพูดไปก่อนหน้านี้ไม่ได้เป็นการสีซอให้ควายฟังจริงๆ เธอมีหน้าตารูปร่างที่สวยสง่าแถมยังสามารถเข้าใจความหมายในสิ่งที่เขาพูด
เพราะก่อนหน้านี้เขาเห็นว่าเจียงเซ่อยังเด็กแถมยังพูดภาษาฝรั่งเศสได้คล่องมาก ดูไม่ใช่เป็นคนที่ทำงานไม่เป็นโล้เป็นพาย เขาถึงพูดชี้แนะให้
ที่สำคัญคือ เขาพูดต่อหน้าคนมากมายอย่างไม่เกรงใจ แต่เธอก็รับฟังมันเป็นอย่างดี ไม่เหมือนคนอื่นที่พอโดนแบบนั้นก็กลัวแถมไม่พอใจเขาอีกต่างหาก และนั่นก็ยิ่งทำให้กู้เจียเอ่อประทับใจต่อเจียงเซ่อมากขึ้น
“ดีมาก ฝีมือการแสดงและอารมณ์เปลี่ยนไปเยอะ บทละครเองก็สำคัญด้วยเช่นกันนะ”
ทุกคนในกองถ่ายซ้อมกันอีกพักหนึ่ง และเวลาก็ล่วงเลยมาจนดึกมากแล้ว
ฉากในเครื่องบินนั้นจะถ่ายกันอีกครั้งภายในสามวันถัดไป เจียงเซ่อลบเครื่องสำอางเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จก็เดินออกมาจากกองถ่าย พอขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินเวลาก็เดินมาถึงสี่ทุ่มแล้ว
คนในรถไฟไม่ค่อยเยอะนัก เจียงเซ่อหาที่นั่งเป็นมุมๆ หนึ่ง เธอหลับตาลงพิงตัวไปกับเก้าอี้เพื่อพักผ่อนร่างกาย
วันนี้ยืนมาทั้งวันและมันก็เหนื่อยมากจริงๆ การที่จะเข้าวงการบันเทิงมันไม่ได้ง่ายและผ่อนคลายอย่างที่คิดเอาไว้ เธอลืมตาขึ้นมามองนาฬิกาบนรถไฟ ดูท่าว่ากว่าจะไปถึงที่นั่นก็คงห้าทุ่มกว่าแล้ว และพวกครอบครัวตู้ก็คงหลับไปแล้วเหมือนกัน คงไม่มีใครมาเปิดประตูให้เธอหรอก
กว่าจะเปิดเทอมยังเหลือเวลาอีกประมาณหนึ่งเดือน ในหัวเธอกำลังคิดว่าตัวเองควรจะหางานตัวประกอบเพิ่มดีไหม เพื่อที่จะหาเงินไปเช่าห้องอยู่และย้ายหนีออกจากบ้านครอบครัวตู้ซะ
ไม่เข้าวงการก็ได้ อย่างน้อยตอนนี้ก็ควรจะหางานอะไรสักอย่างทำ เธอจะไม่ยอมให้ใครมาดูถูกเด็ดขาด
พูดถึงแล้ว การที่เธอต้องเป็นต้องแสดงเป็น ‘Missจาง’ ก็เหมือนเวลาที่เธอต้องทำตัวเป็นเจียงเซ่อนั้นแหละ เธอมีสติปัญญาที่ดี และแต่ก่อนก็ได้รับความคิดของคุณปู่เฝิงจงเหลียงมาด้วย สำหรับการแสดงแล้ว ไม่เคยอยู่ในความคิดของเธอเลยแม้แต่น้อย
ตลอดสองวันที่อยู่ในบ้านครอบครัวตู้ เธอก็คอยฝึกซ้อมกับกระจกอยู่ตลอดเวลา เพราะถ้าส่องกระจกก็จะสามารถเห็นสีหน้าและแววตาของตัวเองได้ พยายามจัดระเบียบใบหน้าและท่าทางให้ดี
ในห้องมันร้อนเอามากๆ ในอากาศเดือนกรกฎาคมแบบนี้ แน่นอนว่าครอบครัวตู้ไม่ได้ติดแอร์ แม้แต่กลางวันก็ยังเปิดพัดลมไม่ได้ เจียงเซ่อท่องบทท่องจนปากคอแห้งไปหมดจึงออกจากห้องไปหาน้ำดื่ม และทันใดนั้นเอง ประตูห้องของตู้หงหงก็ถูกเปิดออกอย่างแรง
“จะพอได้หรือยัง?”
พอโจวฮุ่ยที่กำลังยืนฟังเพื่อนบ้านคุยเรื่องลูกชายคนโตอยู่ได้ยินตู้หงหงตะโกนขึ้นเสียงดังก็ตกใจ
หล่อนรีบวิ่งเข้าไปในบ้านทันที และก็พบว่าตู้หงหงกำลังมองเข้าไปในห้องครัวอย่างโมโห
“ส่องกระจกทำหน้าทำตาพูดบ้าอะไรก็ไม่รู้ทั้งวันทั้งคืน เป็นบ้าไปแล้วหรือไง?”
เจียงเซ่อยืนอยู่ในห้องครัว เธอยกน้ำขึ้นดื่มด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง
“อะไรกันอีกเนี่ย?”
โจวฮุ่ยถามออกไป “ก่อนหน้านี้ยังดีๆ อยู่เลย”
สองพี่น้องคู่นี้ไม่สนิทกันเลยสักนิด บางทีก็ชอบเถียงกัน แต่ช่วงนี้เจียงเซ่อเชื่อฟังขึ้นมาก เวลาที่ตู้หงหงหาเรื่องเธอก็จะทำเป็นไม่เห็น ในบ้านก็สงบขึ้นเยอะ
แต่โจวฮุ่ยออกไปได้แค่แป๊บเดียวทำไมจู่ๆ ก็มีเรื่องขึ้นมาอีกได้
“หนูจะไปรู้ได้ยังไงว่ามันเป็นอะไร? วันๆ เอาแต่ท่องอะไรก็ไม่รู้ แถมเอาแต่ส่องกระจก รู้แล้วว่าแกสวย แค่นี้ก็พอแล้วมั้ง!”