娱乐圈头条 หัวข้อข่าว แห่งวงการบันเทิง
ผู้แต่ง กว๋านเอ่อwr
ผู้แปล เติ้ง ลี่เฟิน
บทที่ 32 โน้มน้าว
รองผู้กำกับที่ได้ยินกู้เจียเอ่อพูดแบบนั้นก็ชะงักไปครู่หนึ่ง
“ผู้กำกับกู้?”
“ใช้เสียงจริงหรือ?”
คนที่อยู่รอบๆ ก็แปลกใจไม่น้อย หลายปีมานี้ ประเทศของเราเริ่มที่จะทำเหมือนต่างประเทศกันแล้ว พวกละครคงไม่พูดถึง แต่พวกภาพยนตร์เองก็เริ่มที่จะมีการพากย์เสียงเข้าไปแทนการใช้เสียงจริง
แต่ผู้กำกับที่จะทำแบบนั้นได้จะต้องมีความเชื่อมั่นอย่างมากต่อนักแสดงที่พูดบทนั้น
หลายครั้งที่น้ำเสียงมีผลอย่างมากต่อนักแสดงในหนังเรื่องนั้น น้ำเสียงที่มีเสน่ห์สามารถเพิ่มความประทับใจให้กับคนดูได้ เพราะฉะนั้น คนที่เป็นคนพากย์เสียงจะต้องมีความเข้าใจและรู้อารมณ์ของฉากเป็นอย่างมาก
แต่ที่ซุนฉี่หมิงยกบท ‘Missจาง’ ให้เจียงเซ่อก็ไม่ใช่เพราะว่าเธอพูดภาษาฝรั่งเศสได้และจะให้เธอใช้เสียงจริง แต่เป็นเพราะจะได้ง่ายต่อการผลิตหนังและการพากย์เสียงให้ตรงกับปากมากกว่า
แต่ตอนนี้กูจะเอ่ยต้องการให้ใช้เสียงจริง
“เธอเป็นแค่มือใหม่ “รองผู้กำกับมองหน้ากู้เจียเอ่ออีกครั้งหนึ่ง เขารู้สึกสงสัยต่อการตัดสินใจอย่างกะทันหันของผู้กำกับ
แต่พอพูดออกไปแบบนั้น รองผู้กำกับก็รู้ตัวทันทีว่าตนได้พูดผิดไปเสียแล้ว
เวลาอยู่ในกองถ่าย กู้เจียเอ่อเป็นคนพูดจริงทำจริงเสมอ ดูท่าความสงสัยของเขาจะไปสะกิดต่อมของผู้กำกับและทำให้เขาไม่พอใจเสียแล้ว
พอกำลังจะอธิบายอะไร กู้เจียเอ่อก็พูดขึ้นมาแบบไม่หันมามองเลยด้วยซ้ำ
“ฉันเป็นผู้กำกับ หรือนายเป็นผู้กำกับกันแน่?”
คนรอบๆ ก็ไม่กล้าพูดอะไรอีก สีหน้าของกู้เจียเอ่อก็ผ่อนคลายลง เขาชูมือขึ้นให้กล้องหยุดถ่ายแล้วก็ย้อนกลับไปดูตอนที่เจียงเซ่อพูดอีกรอบ
พอฟังในเฮดโฟนแล้ว เสียงของเจียงเซ่อดีมากๆ มีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก เสียงเจื้อยแจ้วพูดถึงปารีสไปเรื่อยๆ บวกกับใบหน้าของเธอแล้ว ทำให้คนรู้สึกเหมือนได้ทั้งดูและฟังสิ่งที่สวยงาม
“เสียงของเธอไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าใช้เสียงจริงลงไปก็คงจะไม่ได้มาตรฐานนัก” นอกจากจะมีเสียงอื่นๆ แทรกแล้ว สีหน้าของเธอก็ยังดูนิ่งไป จังหวะการพูดก็ยังดูทื่อๆ
ถึงใบหน้าจะยิ้มอยู่แต่ก็ทำให้รู้สึกถึงความเย็นยะเยือกของอารมณ์
ถ้าหากฟังแต่เสียงก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร แต่กู้เจียเอ่อก็ถอดเฮดโฟนออกแล้วสั่งขึ้น
“เรียกเธอมาหน่อย”
น้ำเสียงของเธอยังขาดความจริงใจอยู่เล็กๆ เหมือนกับหุ่นยนต์กำลังท่องบทยังไงยังงั้น ดูแล้วเหมือนมันยังไม่สามารถทำให้คนดูรู้สึกตื่นเต้นกับปารีสได้
ในเครื่องบินจำลองที่มีคนนั่งอยู่เต็มแถมยังมีกล้องและอุปกรณ์ต่างๆ เยอะแยะไปหมด ถึงจะเปิดแอร์อยู่แต่ยืนแค่ครู่เดียวก็ร้อนแล้ว
เจียงเซ่อเพิ่งท่องบทจบไปก็เห็นผู้ช่วยกวักมือเรียกเธอ จึงรีบเดินไปทางที่กู้เจียเอ่อนั่งอยู่ทันที
“ผู้กำกับ ฉันพูดบทผิดเหรอคะ?”
พอเจียงเซ่อถาม ผู้กำกับก็ส่ายหน้า แต่ก่อนเขาเคยไปเรียนที่ฝรั่งเศสมาระยะหนึ่ง และเขาก็เข้าใจภาษาฝรั่งเศษเป็นอย่างดี
เธอออกเสียงได้ถูกต้อง บทไม่มีปัญหาหรอก “บท ‘Missจาง’ “เขาเป็นแอร์โฮสเตสที่กำลังแนะนำปารีสเพื่อดึงดูดให้วังเชี่ยนเชี่ยนสนใจปารีสมากขึ้น”
พอเขาพูดจบ เจียงเซ่อก็เข้าใจความหมายที่เขาต้องการสื่อได้เป็นอย่างดี
“เธอเป็นแค่มือใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในวงการ” กู้เจียเอ่อมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้าและพูดอย่างไม่เกรงใจ “เวลาเธออยู่หน้ากล้อง เธอไม่มีความประหม่าเลย สายตาไม่ล่อกแล่กและอยู่ในบทบาทของตัวเอง ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่เธอแสดงออกแบบเย็นชามากไปหน่อย มันดูไม่มีอารมณ์เท่าที่ควร เธอจะต้องเข้าใจต่อการเป็นนักแสดงให้ได้ เธอกำลังเป็นพนักงาน เป็นคนใช้ ไม่ใช่ให้เธอมาใช้ที่นี่เป็นเวทีส่องแสงให้กับตัวเองเพื่อที่จะโดดเด่นกว่าคนอื่น”
เจียงเซ่อชะงักนิ่งไป
ถ้าเธออยากจะโน้มน้าวคนอื่น อย่างน้อยก็ต้องรู้จักปรับอารมณ์ ให้เหมือนว่าเธอได้โน้มน้าวตัวเองไปแล้วเหมือนกัน นั่นถึงจะโอเค กู้เจียเอ่อมองเธอที่กำลังขมวดคิ้วเบาๆ แล้วพูดขึ้นอีก “รูปร่างหน้าตาของเธอก็ไม่เลวเลย แถมยังเคยโดนจางจิ้งอานชมมาอีก น่าจะรู้ดีอยู่แล้วนี่ว่าถ้าจะเข้าวงการนี้จะใช้หน้าตาอย่างเดียวไม่ได้”
วงการบันเทิงมีคนเกิดใหม่มามากมาย วันนี้จียงเซ่อใช้แค่ความสวยเข้ามาเป็นดาราในวงการบันเทิง พรุ่งนี้ก็จะต้องมีคนใหม่ๆ เข้ามาอีกแน่นอน
“แต่ถึงจะดังขึ้นมาจริงๆ ก็คงได้แค่ชื่อ แต่กลับไม่มีงานที่ดีเลยสักอย่าง แบบนั้นอยู่ได้ไม่นานหรอกนะ”
เขายกมือขึ้นแล้วชี้ไปที่มุมๆ หนึ่ง
“เธอลองไปทบทวนดูอีกทีสิว่าจะพูดบทนี้ยังไง แล้วมาท่องให้ฉันฟังด้วย”
พอกู้เจียเอ่อพูดแบบนั้น คนรอบๆ ก็ตกใจเป็นอย่างมาก
ดูท่าทางเขาจะให้ความสำคัญกับคนใหม่คนนี้จริงๆ ถึงกับแนะนำนู่นนี่ให้
คนในกองถ่ายต่างหันไปมองเจียงเซ่อ ในใจก็คิดว่าคนๆ นี้โชคดีจริงๆ
ในวงการบันเทิงตอนนี้ ถึงกู้เจียเอ่อไม่ได้มีสายตาที่เฉียบคมเท่าจางจิ้งอาน แต่เขาก็มีจุดยืนเป็นของตัวเอง หนังของเขามีจุดยืนเป็นของตัวเอง มีชื่อของกู้เจียเอ่อเป็นประกัน
กลุ่มนักลงทุนมากมายต่างก็ยินดีที่จะร่วมลงทุนกับหนังของเขา ถึงแม้ว่าพวกนักแสดงพระเอกนางเอกหรือแม้แต่ตัวประกอบจะเป็นการตัดสินใจของพวกนักลงทุน แต่สุดท้ายแล้วกู้เจียเอ่อก็จะเป็นคนตัดสินใจเองอีกที
เจียงเซ่อถือว่าเข้าตากู้เจียเอ่อมาก หนังที่ผ่านมาของเขาไม่มีเรื่องไหนที่ไม่ดังเลย
“ขอบคุณค่ะผู้กำกับ”
เจียงเซ่อเองก็เข้าใจความหมายของกู้เจียเอ่อเป็นอย่างดี เธอโค้งตัวแล้วหลบไปอีกมุมหนึ่ง เธอแอบถอนหายใจออกมาเบาๆ
ที่จริงแล้ว เธอก็เห็นการแสดงเป็นแค่งานอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง ตั้งแต่แรกที่เข้ามาทางนี้ก็เพราะไม่อยากจะยุ่งกับชีวิตของเจียงเซ่อตัวจริงนัก แค่ถือว่าถ้ามีสักวันหนึ่งเธอตื่นขึ้นมาและพบว่าตัวเองได้กลับไปเป็นเฝิงหนานเหมือนเดิมแล้ว เธอจะไม่ได้ทำให้ชีวิตของเจียงเซ่อวุ่นวายและลำบาก
ดังนั้นที่เธอเลือกทำงานนี้ก็เพราะว่าตอนนี้ชีวิตมันยากแค้นแสนเข็ญเหลือเกิน และก็เลือกที่จะทำตามความฝันของเจียงเซ่อที่อยากจะเข้าวงการบันเทิงด้วย
ไม่ว่าจะครั้งแรกที่ได้ไปแสดง ‘ปฏิบัติการผู้พิทักษ์’ หรือครั้งนี้ในเรื่อง ‘ฝันที่เป็นจริง’ ต่างก็เป็นเพราะเหตุผลที่เธอเคยบอกไต้เจียไป
ก็แค่จนเท่านั้นเอง
เธอไม่ได้ทุกข์ร้อนกับผลได้ผลเสียของตัวเองอยู่แล้ว แค่เวลาอยู่หน้ากล้องก็พยายามทำให้ดีที่สุด ไม่ให้พลาด ไม่ทำตัวเด่น
แต่กู้เจียเอ่อกลับบอกว่าเธอเข้าไม่ถึงบทบาท
ตั้งแต่เริ่มจนจบ เธอเป็นตัวของตัวเองมาตลอด ที่เห็นว่าเธอเป็น Missจาง ก็แค่เปลี่ยนเสื้อผ้าเท่านั้น แต่จริงๆ แล้วก็ยังเป็นตัวของตัวเธอเองอยู่ตลอดเวลา
แต่ถ้าหนังฉายออกไปแล้ว เธอก็อาจจะได้อาศัยหน้าตาของตัวเองอีกหน่อย แต่เธอไม่เคยคิดจะเข้าวงการเลย ถ้าคิดจะเข้าจริงๆ หรืออยู่ซักระยะ เธอก็ไม่สามารถเป็นเจียงเซ่อได้ทุกบทบาทหรือเอาตัวเจียงเซ่อแทนคนในหนังได้
เจียงเซ่อขมวดคิ้ว ถึงเธอจะเข้ามาวงการบันเทิงแค่เพื่อหาค่าเทอม แต่เธอก็จะไม่ให้ใครมาดูถูกว่าเธอเป็นแค่เป็นได้แค่แจกันดอกไม้เท่านั้น
ปากของเธอยังท่องบทไปเรื่อยๆ แล้วก็คิดถึงคำพูดของกู้เจียเอ่อไปด้วย ไม่สนใจว่าคนรอบข้างจะเยอะแค่ไหนและท่องบทของตัวเองต่อไป
บทแค่ไม่กี่ประโยคแปบเดียวเธอก็ท่องมันจนจำขึ้นใจ แต่พอยิ่งท่องยิ่งท่อง เธอก็ยิ่งเข้าใจกู้เจียเอ่อขึ้นมาทันทีว่าเขารู้สึกยังไง
บทที่เธอพูดออกมามันดูไม่ได้โน้มน้าวเลย และแน่นอนว่ามันไม่สามารถดึงดูดให้คนรู้สึกตื่นเต้นไปกับปารีสได้
แล้วต้องพูดยังไงล่ะ ถึงจะฟังดูเป็นการโน้มน้าวล่ะ?
เธอท่องไปเรื่อยๆ เสียงก็ค่อยๆ เบาลง
แล้วเธอก็คิดถึงเผยอี้ขึ้นมา
“……ฉันซื้อบ้านพักตากอากาศแถบชานเมืองในเมด็อกเอาไว้ ที่นั่นปลูกต้นองุ่นเต็มไปหมด แถมยังตกแต่งทุกอย่างเป็นสีขาวอย่างที่เธอชอบด้วย ตอนเช้าเปิดหน้าต่างออกไปก็จะเห็นท้องฟ้าสีคราม พอมองไปข้างหน้าก็จะเห็นไร่องุ่น เวลาสูดอากาศหายใจก็จะมีกลิ่นความหอมขององุ่นติดเข้ามาให้ได้ชื่นใจ”