บทที่15 แนะนำ
หลูเป๋าเป่าหันหน้าไปหาเจียงเซ่อ
“เธอล่ะ?”
เจียงเซ่อสะบัดหล่อนไม่หลุดเสียที เธอจึงหันไปเอาหนังสือออกจากกระเป๋าแล้วยัดเข้าไปในช่องใต้โต๊ะ จากนั้นก็มองบนกระดานที่เขียนเอาไว้ว่าวันนี้จะต้องเรียนอะไรบ้างแล้วหยิบหนังสือที่จะต้องใช้ในคาบแรกออกมา ไม่ได้สนใจที่จะตอบคำถามของหลูเป๋าเป่าอีก
วันอาทิตย์ที่กลับไปถึงบ้าน โจวฮุ่ยเองก็ว่าเธอไปแล้วนิดหน่อย ส่วนครอบครัวตู้เองก็เริ่มเย็นชากับเธอมากขึ้น วันนั้นที่ตู้ฉางจวินกลับมาจากที่ทำงานเขาก็ไม่ได้คุยอะไรกับเธอ ทำเหมือนว่าเธอเป็นอากาศธาตุที่มองไม่เห็น แม้แต่ตอนกินข้าวก็ไม่มีใครเรียกเธอสักคำ
หลูเป๋าเป่าเหมือนจะพูดอะไรขึ้นมาอีก แต่พอเพื่อนนักเรียนที่นั่งข้างได้ยินเธอพูดว่า ‘เซิ่นจวง’ สองคำนี้ก็รีบหันมาถามอย่างตื่นเต้น
“หลูเป๋าเป่า เธอกับเจียงเซ่อไปเซิ่นจวงกันตอนไหนอ่ะ?”
หลูเป๋าเป่าได้ยินแบบนั้นก็กระปรี้ประเปร่าขึ้นมาทันที หล่อนหันไปพยักหน้าตอบ
“ก็ไปมาแล้วอ่ะ ทำไมเหรอ?”
พอเจียงเซ่อเห็นว่าหล่อนกำลังเบี่ยงเบนความสนใจออกไปแล้วก็รีบดึงมือตัวเองออกจากมือหล่อนทันที หลูเป๋าเป่าเองก็ไม่มีทางดึงเธอเอาไว้เพราะเพื่อนข้างหน้านั่นถามขึ้นมาอีก
“ได้ยินมาว่าผู้กำกับจางจิ้งอานจะมาถ่ายหนังเรื่องปฏิบัติการผู้พิทักษ์ที่เซิ่นจวง จะต้องมีดารามาเยอะแน่ๆ พวกเธอไปกันตั้งแต่เมื่อไหร่?”
หลูเป๋าเป่ากระหยิ่มใจขึ้นมา เธอนั่งตัวตรงแล้วคลำมือหวังจะหยิบมือถือออกมาอย่างเคยชิน แต่สุดท้ายก็เจอแต่ความว่างเปล่า
หล่อนหน้าหงอยไป แต่แค่แปบเดียวก็กลับมาร่าเริงเหมือนเดิม
“อ๋อ พวกเธอหมายถึงเรื่องนี้เองหรอ?” เธอยกมือปิดปาก รอยยิ้มของหล่อนแทบจะปิดสีหน้าโอ้อวดของตัวเองไม่มิด “ฉันกับเซ่อเซ่อรู้เรื่องนี้ตั้งนานแล้วล่ะ เมื่อวันเสาร์เราถึงไปที่นั่นกัน พวกเราไปเข้าฉากแสดงด้วยแหละ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเราได้เจอนักแสดงชายยอดเยี่ยมอย่างหลิวเย่ด้วยนะ!”
คำบอกเล่าของหลูเป๋าเป่าเรียกสายตาอิจฉาจากกลุ่มเพื่อนตรงหน้าได้ไม่น้อย แม้แต่เพื่อนในห้องเองที่ได้ยินเธอพูดก็เริ่มเดินเข้ามาหาเธอและถามอย่างตื่นเต้น
“โห จริงหรือเปล่าเนี่ย?”
“จริงแท้แน่นอน!” หล่อนเชิดหน้าขึ้น “ที่จริงในมือถือมีรูปเต็มเลย แต่ตอนนี้ให้ดูไม่ได้หรอก พ่อฉันบอกว่าจะคืนให้หลังสอบเข้ามหาลัยแล้วนู่นแน่ะ”
หล่อนโดนเพื่อกลุ่มหนึ่งล้อมเอาไว้และโม้จนน้ำลายแตกฟอง “แต่ว่าพวกเธอค่อยไปดูตอนที่หนังเข้าฉายก็ได้นะ ไปดูที่โรงหนังเดี๋ยวก็เห็นเองแหละ”
ที่จริงแล้วมีนักเรียนบางคนก็อยากจะถามเจียงเซ่อเกี่ยวกับการถ่ายหนังนั่นบ้างแต่ก็โดนเธอไล่ออกมา สุดท้ายทุกคนจึงหันไปถามหลูเป๋าเป่ากันหมด
จากคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังพูดถึงการถ่ายทำของหนังเรื่องปฏิบัติการผู้พิทักษ์ก็เปลี่ยนหัวข้อเป็นนักแสดงในเรื่องแทน จากนั้นก็พูดถึงดาราคนอื่นๆ และตอนนี้หลูเป๋าเป่ากำลังพูดถึงดาราสาวจ้าวรั่วจวิน
“ช่วงนี้จ้าวรั่วจวินดังมากเลยนะ นอกจากเธอจะได้รับแสดงในหนังเรื่องปฏิบัติการผู้พิทักษ์แล้ว เมื่อสองวันก่อนกู้เจียเอ่อได้ให้สัมภาษณ์ในรายการข่าวบันเทิงไว้ด้วย เขาชมเธอไม่หยุดเลยว่าจ้าวรั่วจวินน่ะ ทั้งดูดีและตั้งใจทำงานมากๆ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะช่วยส่งเสริมเธอก็ได้”
เจียงเซ่อไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้นัก แต่ก็มีคนพูดขึ้นมาอีก
“ดูเหมือนว่ากู้เจียเอ่อกำลังจะถ่ายหนังเรื่อง ‘ฝันที่เป็นจริง’ อยู่นะ เมื่อสองวันก่อนฉันเห็นข่าวลือในเวยป๋อบอกว่าเขากำลังสนใจที่จะให้จ้าวรั่วจวินเล่นเป็นนางเอกด้วย”
พอพูดถึงตรงนี้คนรอบๆ ก็เริ่มล้อมวงเข้ามาเยอะขึ้น แถมพูดเสียงดังเซ็งแซ่ไปหมด จ้าวรั่วจวินมีคนรักก็ต้องมีคนเกลียด ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งตะโกนข้ามหัวเธอไปอย่างโมโห เจียงเซ่อฟังแล้วก็ปวดหัวจริงๆ
“ไม่ว่าจะพูดยังไงก็เถอะ แต่การที่รั่วจวินได้เล่นเป็นนางเอกมันต้องมีเหตุผลอื่นแน่ๆ”
และคนที่เป็นแฟนคลับของจ้าวรั่วจวินเองก็ยังยืนอยู่ตรงนี้ แต่อีกฝั่งก็พูดขึ้นมาอีก
“ใครจะไปรู้ ไม่แน่น้า เธออาจจะเป็นพวกเด็กเลี้ยงก็ได้?”
ประโยคนั้นทำเอาพวกแฟนคลับโกรธจนหน้าดำหน้าแดง พวกเขาพูดขึ้นอย่างโมโห
“ถ้าถูกเลี้ยงจริงก็แสดงว่าเธอมีความสามารถอยู่แล้วยังไงล่ะ เธอสวยถึงได้มีคนจับตามองไง”
“สวยแค่ไหนกันเชียว? ฉันว่าเจียงเซ่อยังดูสวยมากกว่าหล่อนด้วยซ้ำไป”
ขนาดเถียงกันก็ยังลากมาถึงเจียงเซ่อจนได้
พวกนักเรียนหญิงหันมามองที่เจียงเซ่อเป็นตาเดียว ถึงจะยังมีคนที่ไม่พอใจแต่ก็ไม่มีใครเถียงข้อนี้ขึ้นมา
เจียงเซ่อเป็นคนที่สวยมากจริงๆ ถ้าเอาไปเทียบกับพวกดาราวัยรุ่นในวงการบันเทิงละก็ เธออาจจะสวยกว่าด้วยซ้ำไป
แต่สุดท้ายก็มีคนพูดขึ้นมา
“สวยแล้วไง อย่างน้อยตอนนี้จ้าวรั่วจวินก็ได้เป็นถึงนางเอก ไม่ใช่เจียงเซ่อเสียหน่อย”
หลูเป๋าเป่าที่ได้ยินแบบนั้นก็เกิดไม่พอใจขึ้นมา หล่อนมองไปที่คนนั้น คนที่ก่อนหน้านี้ยังพากันชมจ้าวรั่วจวินไม่หยุดปาก หล่อนพูดออกไปอย่างไม่สบอารมณ์นัก
“เป็นเพราะเซ่อเซ่อไม่มีโอกาสได้เข้าวงการบันเทิงต่างหากล่ะ ลองเธอได้เข้าดูสิ ถึงตอนนั้นใครจะได้เป็นนางเอกก็ไม่แน่หรอกนะ”
พอหล่อนพูดจบคนที่นั่งข้างหน้าก็นึกเรื่องบางอย่างขึ้นได้พอดี
“จริงสิ ดูเหมือนว่าพวกทีมงานจะมาแคสติ้งนักแสดงที่โรงเรียนสอนการแสดงในเมืองหลวงด้วยนะ”
ตอนแรกเจียงเซ่อกำลังจะบอกให้ทุกคนเลิกเถียงกันซักทีเพราะเธอฟังจนปวดหัวแล้ว แต่ก็ดันไปได้ยินประโยคเข้านั้นเสียก่อน “เมื่อวานฉันเลื่อนไปเจอข่าวนี้มา เห็นบอกว่ากู้เจียเอ่อจะมาเป็นคนแคสในเมืองหลวงสองวันที่โรงเรียนสอนการแสดง”
“พวกหนังรักที่กู้เจียเอ่อกำกับมีชื่อเสียงมากเลยนะ ฉันชอบการถ่ายหนังของเขามากเลย! ไม่ว่าจะเรื่องไหนก็ชอบหมดอ่ะ อย่าง ‘ความรักแห่งตงตู’ ‘ความลับความรัก’……” คนพูดก็เริ่มท่องออกมาอย่างกับเป็นของในบ้านตัวเอง หนังของกู้เจียเอ่อมีกี่เรื่องก็พูดออกมาได้หมด “เขาชอบหานักแสดงใหม่ๆ มาเล่นเสมอ ปกหนังเขาก็สวยทุกเรื่องเลยนะ”
“โรงเรียนพวกเราอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนการแสดงนั่นเลย พวกเราลองไปกันดีไหม?”
หลูเป๋าเป่าใจเต้น หล่อนเสนอขึ้น “ถึงตอนนั้นอาจจะเข้าตาผู้กำกับบ้างก็ได้นะ”
ชัดเจนว่าหล่อนติดใจแล้วแน่ๆ หลังจากที่ผ่านการแสดงที่เซิ่นจวงมาได้อย่างราบรื่น
วงการบันเทิงที่น่าหลงใหล ดาราดังมากมายที่หล่อนปรารถนา การที่ได้ไปเป็นตัวประกอบในเซิ่นจวงทำให้หล่อนรู้สึกสนใจมันมากยิ่งขึ้น หล่อนถามออกไปอย่างตื่นเต้น
“หม่าจิงจิง ในประกาศได้บอกไหมว่ากู้เจียเอ่อจะมาแคสวันไหน?”
หม่าจิงจิงที่โดนเรียกชื่อถามก็ลังเลไปครู่หนึ่ง
“ในข่าวไม่ได้บอกไว้นะ”
แววตาของหลูเป๋าเป่าเผยความผิดหวังออกมา เจียงเซ่อเองก็รู้สึกแบบนั้นเช่นกัน
แต่ก่อนเธอไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับวงการบันเทิงเท่าไหร่ แต่ก็พอจะเดาๆ อะไรได้บ้าง
อย่างเมื่อวันเสาร์ที่ไปเซิ่นจวงก็พอจะรู้แล้วว่าคนที่ไปต่างก็ต้องการที่จะเป็นดาราทั้งนั้น ถ้าเกิดมีพวกข่าวหรือความเคลื่อนไหวอะไรก็คงจะปิดพวกนักข่าวหรือกลุ่มแฟนคลับไม่ได้อยู่ดี
แค่รู้ว่าเป็นที่ไหนคนก็แห่กันไปเยอะแล้ว
วันนั้นบริเวณหน้ากองถ่ายหนังเรื่องปฏิบัติการผู้พิทักษ์เองก็เต็มไปด้วยผู้คน และเชื่อว่าทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็คิดไว้แล้วว่าจะเข้าไปข้างในให้ได้
เรื่องที่หม่าจิงจิงบอกว่ากู้เจียเอ่อจะแคสนักแสดงเรื่อง ‘แสดงฝันที่เป็นจริง’ ก็ไม่รู้จะเป็นไปตามที่นักข่าวบอกจริงหรือเปล่าว่าเขาจะมาที่โรงเรียนสอนการแสดงในเมืองหลวงด้วย ถ้ามันเป็นความจริง ก็คงยากที่จะเห็นประกาศที่เจาะจงสถานที่และเวลา
แต่ว่าถ้าหลูเป๋าเป่ายอมแพ้ง่ายๆ แบบนี้ก็ไม่ใช่หล่อนแล้ว
เธอพูดเสียงดัง
“พวกเราจะไปดูกันวันไหนดีล่ะ ยังไงก็ต้องได้เบาะแสมาบ้างล่ะ สักนิดก็ดี”
ถึงแม้จะมีหลายคนสนใจกับสิ่งที่หล่อนเสนออยู่ไม่น้อย แต่พอหันไปเห็นด้านซ้ายบนของกระดานที่มีตัวหนังสือเขียนเอาไว้ว่า ยังเหลือเวลาอีกแค่สี่วันก็จะสอบแล้วเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว!
“ช่างเถอะ นี่มันจะสอบแล้ว ถ้าฉันสอบได้ไม่ดีชีวิตที่เหลือของฉันก็คงแย่แน่ๆ”