webnovel

สวนทางสวรรค์ พลิกโลกา

สวนทางสวรรค์ พลิกโลกา จะกล่าวถึงโลกของมหาพิภพหวนตี๋ที่กว้างใหญ่ไพศาล ภายในโลกอันพิศดารนี้ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า จอมยุทธ์ หรือ เทพเซียน มีแต่เพียงผู้วิเศษที่โลดแล่นอยู่ในโลกใบนี้มานานนับหมื่นนับแสนปี ท่ามกลางการคงอยู่ของเหล่าผู้วิเศษในตำนานที่สามารถเขย่าฟ้าสะเทือนแผ่นดินนั่น มีเด็กหนุ่มอัจฉริยะจากตระกูลมู่ ตระกูลเล็กๆที่แดนใต้ของทวีป เขามีนามว่า "มู่อิ่งเทียน"ผู้ไม่สนใจในการฝึกตนและกฏเกณฑ์ ทว่าเพราะการลอบสังหารน้องขายของเขา ก็ทำให้มู่อิ้งเทียนต้องเริ่มเดินเข้าสู่เส้นทางของการเป็นผู้วิเศษ เพื่อสืบหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้ว่าเส้นทางนั่นเขาจะต้องกลายเป็น"มารร้าย" ก็ตาม

kintsrou_crusader · Eastern
Not enough ratings
14 Chs

ตอนที่ 2 เหตุผลที่คาดไม่ถึง

ร่างสูงโปร่งโดดเด่นที่กำลังเดินผ่านผู้คนในตระกูลมู่ด้วยใบหน้าประดับยิ้มผ่อนคลายเช่นเดิม ไร้วี่แววความตึงเครียดหรือความประหม่า ราวกับว่าเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนชายผู้นี้ไม่ได้ไปทดสอบวัดระดับพลังมาด้วนซ้ำ

สมาชิกในตระกูลมู่เมื่อเห็นคุณชายมู่เดินผ่านด้วยท่าทางสบายอารมณ์เช่นเดิม ก็แสดงสีหน้าแปลกประหลาดกันถ้วนหน้าเมื่อเดาได้ว่าหลานชายของผู้นำตระกูลผู้สูงสง่าผู้นี้ ถ้ากลับมาจากการทดสอบรวดเร็วแบบนี่แสดงว่าผลลัพท์คงออกมาเช่นเดิมไม่ต่างจากสามปีที่ผ่านมาแน่นอน

แม้ว่าในใจของผู้คนจะมีความรู้สึกยากจะบรรยายเมื่อเห็นสภาพของอดีตว่าที่เจ้าสำนักที่เคยเป็นดาวจรัสแสงมาก่อนก็ตาม แต่เมื่อมองไปยังเด็กหนุ่มผู้ที่สง่างามเป็นเลิศทั้งหน้าและกริยา แถมยังไม่มีนิสัยเหย่อหยิ่งถือดีเหมือนกับคุณชายคนอื่นๆในตระกูล เพราะมู่อิ่งเทียนนั่นไม่แบ่งฐานะของผู้คนเขามักจะมักทายผู้อื่นด้วยรอยยิ้มอบอุ่นตั้งแต่ผู้อาวุโสถึงคนรับใช้ ด้วยเหตุนี้คนในตระกูลจึงรู้สึกทุกข์และสุขในเวลาเดียวกัลต่อคุณชายของพวกเขา

มู่หลงคือคนที่สนิทสนมกับมู่อิ่งเทียนมากที่สุดเพราะว่า เขาคือเด็กรับใช้ข้างกายของมู่อิ่งเทียนมาตีงแต่ยังเด็ก หากจะบอกว่าใครที่รู้ใจมู่อิ่งเทียนมากที่สุดก็คงจะไม่พ้นมู่หลงที่เป็นทั้งผู้ติดตามและสหายสนิท ทว่าแม้แต่คนที่รู้จักนิสัยของคุณชายมู่ดีที่สุดบางครั้งเขาก็ไม่สามารถรับรู้ถึงความคิดอันแปลกประฟลาดของคุณชายของเขาได้เช่นกัน

มู่หลงที่เดินตามหลังคุณชาย เมื่อมองเห็นถึงแผ่นหลังกว้าง ก็อดคิดถึงความรู้สึกภาคภูมิใจในอดีตไม่ได้ยามที่คุณชายของตนเคยโดดเด่นถึงเพียงนั่น

คุณชายตระกูลมู่ สามขวบสามารถกล่าวคำพูด สี่ขวบฝึกตัวอักษร หกขวบร่ำเรียนศาสตร์ทุกแขนง สิบขวบบรรลุพลังขั้นรากเง้า สิบสองขวบไร้ผู้ทาบเทียม ทั้งบรรดาศักดิ์เหนือล้ำ ชาติตระกูลที่มั่นคั่ง พรสวรรค์ที่ไร้ที่ติ ไม่ว่าเขาอยากจะได้สิ่งใดเขาก็ต้องได้ ทรัพยากรที่ครอบครองก็มากมายถึงขนาดยึดใต้หล้าในชั้นที่ห้านี่ได้ หากกล่าวกันตามตรงฮ่องเต้คนปัจจุบันก็คงไม่สามารถเทียบกับคุณชายผู้นี้ได้ด้วยซ้ำ

จากสิ่งที่กล่าวมาทั้งหมด ใครต่อใครก็คงคิดถึงอนาคตของเขาว่าคงจะอยู่ใต้เพียงฟ้าอยู่เหนือคนนับหมื่นทว่า เพียงแค่ช่วงเวลาหนึ่งเท่านั่นที่ชายหนุ่มที่ทุกคนกล่าวกันปากต่อปากว่าอนาคตต้องเป็นเจ้าคนกลับหยุดนิ่ง

ไม่ใช่ว่าพิการทางยุทธ์ ไม่ใช่ว่าเกิดเหตุไม่คาดฝัน ไม่มีใครทราบว่าสาเหตุของปัญหาคือสิ่งใด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเด็กหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์นี่กลับหยุดนิ่งลง ทั้งด้านมรรคายุทย์ ทั้งด้านจิตใจ เพราะเหตุใดกัน ไม่มีใครทราบ ไม่มีใครบ่วงรู้ถึงความหมายของการกระทำเหล่านี่

หากจะมีเพียงคนเดียวที่กล้าถามคำถามเหล่านี่ต่อคุณชายมู่ผู้แปลกประหลาด ก็คงจะเป็น มู่หลง ที่คอยติดตามรับใช้คุณชายมู่อิ่งเทียนมาตั้งแต่เด็ก แต่เขาเป็นเพียงแค่คนรับใช้ ย่อมคิดว่าคำถามที่ถามออกไปนั่นล่วงเกินคุณชาย และไม่คิดว่าจะได้รับคำตอบ เกินความจำเป็น

ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะเป็นเพียงคนเดียวที่ได้ยินคำตอบจากปากคุณชายตรงๆ

และคำตอบที่ได้มาก็เป็นสี่คำสั้นๆทำให้เขาอ้าปากค้าง

"ข้ากำลังเบื่อ" ประโยคสั้นๆออกมาจากปากของคุณชายมู่อื่งเทียนที่กำลังเดินหมากสู้กับตัวเองด้วยท่าทางเบื่อหน่าย

คำตอบที่ได้รับนั่นแม้จะทำให้มู่หลงมึนงงจนคิดถึงความหมายลงลึกอยู่ในหัวไปเองเพราะไม่คิดว่าคุณชายจะกล่าวอธิบายออกมา แต่เขาก็ต้องสะดุ้งอยู่ในใจเมื่อ มู่อิ่งเทียนหยุดกระดานหมากที่สู้กับตัวเองลง ก่อนที่จะเบนสายตาที่งดงามคู่นั่นมองมาทางตน และในดวงตาสีดำสนิทคู่นั่นก็อาจจะมีคำตอบของคำถามอยู่ก็ได้ ก่อนจะพึมพัมราวกับกำลังพูดกับตัวเองว่า

"ดั่งเช่นหมากกระดานนี้ ข้าใช้เวลาหนึ่งก้านธูปเรียนรู้กฏเกณฑ์จนเข้าใจ สามชั่วยามเข้าใจกลยุทธ์พื้นฐาน สามวันเอาชนะผู้อาวุโสในสำนัก พอผ่านไปนานเข้าข้าก็ก้หาผู้ที่จะต่อกรกับตนเองไม่ได้"

มู่อิ่งเทียนหมุนหมากในมือ ราวกับคำพูดที่ออกมานั่นล้วนเพื่อระบายความในใจเท่านั่น

มู่เถี่ยนั่นเมื่อได้ฟังก็ฉุดนึกติดได้ว่าคุณชายของตนเองคืออัจฉริยะขนาดไหน มู่อิ้งเทียนเป็นคนที่มีประสาททั้งหกดีเลิศมาตั้งแต่เกิด สมาธิดีเลิศจนน่ากลัว มีความจำที่แม่นยำดุจถูกบันทึกลงในหนังสือ หู จมูก ตา ก็สามารถใช้งานได้ดีกว่าคนทั่วไป เขาสามารถสัมผัสได้แม้กระทั้งการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลจึงรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดินได้อย่างดีเยี่ยม มู่อิ้งเทียนเหมือนกับว่าเป็นโอรสในสวรรค์ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีอยู่ในตัวล้วนแต่ดีเลิศกว่าคนปกติทั่วไปมากนัก มู่อิ่งเทียนไม่ว่าจะทำอะไรก็สำเร็จผลไม่ว่าจะทำอะไรก็ราบรื่น

ทว่า มู่หรงเองก็พอที่จะเขาใจแล้วว่าเพราะเหตุใดอุปนิสัยของเจ้านายของตนเองถึงกลายมาเป็นเช่นนี้

เพราะความอัจฉริยะของเขานั่นเอง ที่ทำให้คุณชายของตนมีนิสัยชอบค้นหาความตื่นเต้นติดมาตั้งแต่เด็ก เพราะเหตุนี่เองมู่หลงจึงเริ่มเข้าใจว่าเพรทะเหตุใดคุณชายจึงชอบทำอะไรไร้กฏเกณฑ์ เพราะเหตุใดเขาจึงชอบค้นหาอะไรใหม่ๆ เพราะว่าเขากำลังหาวิธีแก้เบื่อยู่นั่นเอง!

ทว่าแม้แต่ มู่หรงเองก็ไม่ทราบเรื่องที่คุณชายปฏิเสธการเข้าร่วมสำนักเมื่อสามปีก่อนและการหยุดการฝึกตนก็ตามมาหลังจากวะนนั้นเช่นกัน เหตุผลของเรื่องนี้เขาขบคิดแทบตายก็คิดไม่ออกจริงๆ

ยามนี้ทั้งเขาและคุณชายก็เดินมาหยุดลงที่หน้าทางเข้าหออักษรของตระกูลหมู่ ทว่าทันใดนั่นเด็กรับใช้หญิงคนหนึ่งก็วิ่งหน้าตื่นผ่านพวกเขาไป ก่อนที่นางผู้นั่นจะมีท่าท่าเหมือนกับว่าเห็นเขากับคุณชายอยู่หางตาจึงรีบหยุดและเปลี่ยนทิศทางเข้ามาหาพวกเขาทันที ก่อนที่จะทำความเคารพและกล่าวเสียงเร่งรีบว่า

"คุณชายมู่ ท่านผู้นำตระกูลมีเรื่องด่วนจึงเรียกท่านเข้าพบที่ห้องอักษรเจ้าค่ะ"

มู่อิ่งเทียนยามนี้พอจะเดาเหตุผลได้จึง กลอกตาไปมาอย่างเบื่อหน่าย

"เข้าใจแล้ว อีกเดี่ยวข้าจะเข้าไป" คนรับใช้เมื่อเห็นเขาขานรับก็จากไปด้วยความงุนงงว่าเพราะเหตุใดคุณชายจึงมาถึงที่เขตห้องอักษรรวดเร็วเช่นนี้ได้ แต่ก็ต้องปิดความสงสัยและเดินจากไป

ต่างจากมู่หลงที่รู้นิสัยของคุณชายตนเองดี ว่าเพราะรู้ว่าสิ่งที่ตนเองทำจะให้คุณปู่ต้องเรียกเข้าพบแน่ จึงเดินทางมาที่ห้องอักษรที่ดขาคาดว่าคุณปู่น่าจะอยู่ เมื่อโดนเรียกพบจะได้ไม่ตองเดินทางไกล

"ปีนี้ข้าคงโดนบ่นหนักเช่นเกิมแน่ เฮ้อ เจ้าอยากจะมาด้วยกันรึไม่ มู่หลง"

"ข้าขอปฏิเสธขอรับคุณชาย วันนี้ข้าคงไม่มีหน้าเข้าพบหัวน้าตระกูลหรอกขอรับ" มู่หลงกล่าวทีเล่นทีจริง จนมู่อิ้งเทียนกลอกตาแค่นเสียงดัง

"ทำเป็นพูดดี เจ้าแค่ไม่อยากเข้าไปโดนบ่นเหมือนข้าละสิ"

"อย่ากล่าวล้อเล่นเช่นนั้นสิขอรับนายน้อย การสั่งสอนจารท่านผู้อาสุโสล้วนเป็นบทเรียนให้แก่พวกเราที่ยังเยาว์วัย ข้าจะไม่อย่างฟังได้อย่างไร "

ได้ยินคำตอบเสแสร้วของมู่หลงมู่อิ่งเทียนก็ย่นจมูกส่งเสียงเฮอะ ก่อนจะโบกมือไล่เพราะรำคารท่าทีเสแสร้งของคนรับใข้คนสนิทของตนเอง

แต่มู่หลงไม่เสียทีที่อยู่กับคุณชายู้แปลกประหลาดนี่มานาน เขาสามารถเดาความคิดของชายตรงหน้าได้จึงได้พูดขมก่อนเอาหวานเข้าล่อไปว่า

"แต่คิดในแง่ดีถ้าท่านเข้าไปหาท่านเจ้าสำนัก ท่านก็ไม่ต้องไปใช้เวลาที่น่าเบื่อในงานเลี้ยงนะขอรับ เอาอน่างงี้รึไม่ ข้าจะเตรียมน้ำชารอต้อนรับให้ท่านใช้ข้ออ้างพูดคุยกับแม่งนางในหอรับวสันธ์ตอนท่านกลับออกมา ท่านจะได้ไม่เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ดีหรือไม่"

มู่อิ้งเทียนได้ฟังสองตาก็เปล่งประกายแวววาว

"ฮ่าๆ เจ้าช่างรู้ใจข้าดีจริงๆเลย! " คุณชายตบไหล่ของเขาอย่างสนิทสนม แม้จะอายุไม่ต่างกันแต่ส่วนสูงของคุณชายนั่นเกินวัยเดียวกันไปมากมู่หลงจึงต้องเงยหน้ามองอีกฝ่ายเล็กน้อย "เจอกับคุณปู่ต้องสนธนาเรื่องน่าเบื่อเป็นแน่ ถ้าได้กินของอร่อยพร้อมกับสนธนากับแม่กระต่ายน้อยคงทำให้ข้าอารมดีขึ้นมาบ้าง "

ตุณชายมู่ก็ยังสมเป็นคุณชายเช่นเดิม แม้จะพูดเช่นนันแต่ท่าทางของเขาก็ยังคงผ่อนคลายไร้ความกังวล ดูท่าท่านผู้นำตระกูลคงจะต้องเครียดอีกเป็นแน่ หวังว่าจะไม่กระทบกับสุขภาพมากก็พอ เขาภาวนาในใจเช่นนั้น ก่อนที่จะเดินตามคุณชายของตนเองเข้าไปในหออักษร เมื่อส่งเสร็จก็เดินแยกจากไป ภายในหัวคิดเตียมการถึงอาหารและสิ่งที่คุณชายของตนเองชอบมากที่สุดเอาไว้สำหรับคืนนี้เงียบๆ

ภายในหออักษรของตระกูลมู่ที่รอบด้านประดับด้วยหนังสือตำรานับหมื่นเล่นถูกจัดวางเป็นรูปแบบปากหว้าขจัดมารนี้ คือสถานที่ที่คนนอกไม่มีสิทธิที่จะเข้าหากไม่ได้รับอนุญาติแ ต่ในยามนี้ภายในกลับมีร่างของชายผู้ที่ดูคล้ายกับมีอายุแต่ก็ยังดูแข็งแรงผู้หยึ่งนั่งอยู่ภายในท่าทางเหมือนกับรอใครบางคนอยู่ เพราะแม้ว่าชายชราผู้นี้จะนั่งกอดอกรอคอยยังไงแต่ก็ปกปปิดควา ประหม่าที่ออกมาจากแววตาและการสั่นเท้าของตนได้

ทันใดนั้นประตูด้านหน้าก็เปิดออกก่อนที่ ร่างสูงเพรียวที่แม้จะอ่อนกว่าหลายสิบปีแต่ในปีนี้ เด็กหนุ่มก็มีส่วนสูงเท่ากับตนไปเสียแล้วนั่น กำลังเดินทอดน่องสบายๆเข้ามาด้วยท่าทางราวกับผู้บริสุทธิ์

เมื่อเห็นว่าคนที่เฝ้ารอมาตามนัดแล้ว ชายชราก็ยืนขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียดทันที

"อิ่งเทียน เจ้ายังมีหน้าทำตัวสบายใจเช่นนี้อีกหรือ!?"

เสียงของชายชราตะโกนดังสนั่น จนมู่อิ่งเทียนต้องยกมือขึ้นมาปิดหูตนเอง ก่อนจะเบะปากกล่าวว่า "ท่านปู่ ท่านโกรธอะไรข้าอีกเล่า"

เมื่อได้ฟังโทสะในอกของ มู่ฉางเจี่ย ก็ยกระดับขึ้นอีกครั้ง ผู้ที่มีศักดิ์เป็นผู้นำตระกูลคนประจุบันของตระกูลมู่ ที่แม้ปีนี้จะมีอายุถึงเย็ดสิบห้าแต่ร่างกายกับยังแข็งแรงเหมือนคนหนุ่มมีแค่เพียงผมสีดำสง่าที่ยามนี้เริ่มจะแซมไปด้วยสีเทาทีละนิดเท่านั้น เพราะเหตุผลเดียวที่ทำให้เขาเครียดจนผมขาว ก็คือการมีหลานรักเป็นคนประหลาดอย่าง มู่อิ้งเทียน!

"โกรธอะไรเจ้างั้นรึ! มากน้อยเจ้ายังมีหน้ามาถามอีกงั้นหรอ?" มู่ฉางเจี่ยถูกโทสะครอบงำจน มู่อิ่งเทียนคิดว่าถ้าหากเขาไม่กลัวว่าตำราลำค่าในหออักษรนี้จะถูกเผาไหม้ไปด้วย คุณปู่คงจะพ่นไฟออกมาจากดวงตาแล้วก็ได้

"ไม่ว่าจะสามรหือสองปีก่อนที่เจ้าไม่ยอมฝึกตนข้าก็ต้องทนที่จะอับอายมามากพอแล้ว แล้วในปีนี้เจ้ายังจะทำเช่นเดิมอีกรึ เจ้าจะให้ข้าเอาหน้าตัวเองไปไว้ที่ไหน ไอหลานเวร!"

มู่อิ้งเทียนทำหูทวนลม ก่อนจะเดินผิวปากผ่านท่านปู่ที่กำลังโกรธจัด ไปเติมชาและนั่งลงจิบชาด้วยท่าทางสบายอารมณ์ ท่าทีในตอนนี้ของหลานชายที่แสดงถึงความไม่ใส่ใจสักนิดยิ่งทำให้มู่ฉางเจี่ยคล้ายกับว่าธาตุไฟกำลังเข้าแทรกและจะชักตายไปทั้งอย่างนั่น

ชายชราโกรธจนเส้นเลือดขึ้นสมอง ชี้นิ้วที่สั่นสะท้านไปด้วยความโกรธไปทางหลานรักของตนเองที่ตามใจมาจนเคยชินมากับมือ

"เจ้า เจ้ามารน้อยยังมีหน้ามาเมินอีก เจ้าเป็นเช่นนี้เข้าจะแบกหน้าที่ไหนไปพบบรรพบุรุษ สามปีก่อนข้าอุสาหลงภูมิใจที่เจ้ามีพรสวรรค์ขนาดนั้นแต่ดูสิ่งที่เจ้าทำกับข้าสิ ฮือๆ วิญญาณของพ่อและแม่ของเขาคงกำลังมองดูด้วยน้ำตาเหมือนกับข้าในตอนนี้เป็นแน่"

ชายชราน้ำตาไหลพรากเมื่อคิดถึงเด็กที่มีพรสวรรค์คนนั้นเมื่อสามปีก่อน ในตอนนั้นเขามีความสุขมากจนคิดวาดฝันถึงอนาคตที่จะมีสิ่งดีๆเข้ามาในตระกูล เขาถึงขั้นตะโกนในงานวัดเกิดครบรอบเจ็ดสิบสามปีของตนเองว่า หลานรักของเขาจะเป็นผู้ที่นำพาวาสนาดีที่สุดในรอบร้อยปีมาให้ตระกูล

แต่ดูตอนนี้สิ ความฝันในตอนนั่นพังไม่เป็นท่าเมื่อมองดูหลานรักที่แม้ว่าจะหล่อเหลาสง่างามและมีพรสวรรค์เป็นเลิศ ทว่ากลับมีนิสัยแปลกประหลาดจนเกินคน ซึ่งแม้แต่เขาก็ยังคงไม่เข้าใจว่าหลานขายของตนเองไปได้นิสัยเช่นนี้เมาจากใคร แต่มันก็ทำให้เขาอดที่จะร้องให้ฟูมฟายทุบโต๊ะตัดพ้อไม่ได้

"ทำไมกัน ทำไมเจ้าถึงทำกับปู่เช่นนี้....ทั้งๆที่ถ้าเจ้าทำจริงๆจะเป็นเจ้าบัดซบอัจฉริยะทั้งห้าคนที่โด่งดังที่สุดในตอนนี้ก็ไม่มีผู้ใดเทียบเคียงเจ้าได้เลยสักคนแท้ๆ แต่เจ้ากลับเลือกที่จะทิ้งพรสวรรค์นั่นไปง่ายๆ โฮๆ"

มู่ฉางเจี่ยที่ยิ่งคิดยิ้งสิ้นหวังได้ปล่อยโฮออกมาไม่สมกับฐานะของผู้นำตระกูลเลยแม้แต่น้อย ชายชราจะมีท่าทีเช่นนี้ก็ต่อเมื่อยู่กับหลานรักของตนเองเท่านั้น ตัวต้นเหตุยามนี้ยังคงรับรสของชาชั้นดีในมือ ก่อนที่จะหันมาสนใจคุณปู่ของตนเองอีกครั้ง

"หนวกหูน่าท่านปู่ สามปีก่อนข้าก็หาเหตุผลมาตอบท่านไปแล้ว ท่านเองได้ยินชัดแล้วนี่" ชายหนุ่มตอบกลับคุณปู่ที่ยามนี้กำลังร้องให้ฟูมฟายอยู่บนโต๊ะพร้อมกับแคะหูเพราะรู้สึกว่าแก้วหุสะเทือนไปไม่น้อย

"ถ้าข้าเอาจริงในด้านฝึกตน ข้าคงเป็นอันดับหนึ่งได้ไม่ยาก" น้ำเสียงที่มั่นใจนี่ถูกกล่าวออกมาอย่างสบายๆ ราวกับสิ่งที่พูดนั่นล้วนไม่มีใครสามารถตั้งข้อกังขาได้ ไม่รู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นเช่นไรแต่เด็กหนุ่มผู้นี้ช่างหยิ่งผยองเสียจริงๆ "แต่ว่าถ้าหากข้าฝึกตนเช่นนั่นลงไป ข้าก็ต้องรับหน้าที่เป็นผู้นำตระกูลต่อจากท่านละสิ! ไม่เอาด้วยหรอก ข้าจึงเลิกฝึกให้น้องชายของข้าเด่นขึ้นมาเพื่อสานต่อแทนข้ายังไงเล่า"

"เพราะอะไรกัน!"

มู่อิ้งเทียนยิ้มยิงฟังเผยฟันขาวที่เรียงต่อกันสวยงาม กล่าวเสียงไม่ยินร้ายยินดีดังๆว่า

"ก็เพราะว่ามันน่าเบื่อนะสิ!"

เหตุผลที่ใครไม่คาดคิดนี้ถูกพูดออกมาอย่างชัดเจน หากมีใครในตระกูลมาได้ยินเข้าต้องอ้าปากค้างจนหล้นมาลนพื้นแน่นอนว่า ที่อัจฉริยะประจำตระกูลผู้ซึ่งเป็นโอรสของสวรรค์จะไม่ยอมฝึกตนเพราะว่า ไม่อยากจะสานต่อหน้าที่ผู้นำตระกูลและจะยกมันให้แก่น้องชายตนเองเลยเลิกที่จะฝึกตน

นั่นคือเหตุผล ไม่มากหรือน้อยไปกว่านั้น

ชายชราที่สามปีก่อนได้ฟังเหตุผลเดียวกันนี้ และในยามนี้ก็ได้รับคำพูดเดียวกันตอบกลับมาก็ต้องตะโกนด่าเป็นคำพูดเดียวกันว่า

"ไอ้เจ้าหลานบัดซบเอ้ย!"