webnovel

สวนทางสวรรค์ พลิกโลกา

สวนทางสวรรค์ พลิกโลกา จะกล่าวถึงโลกของมหาพิภพหวนตี๋ที่กว้างใหญ่ไพศาล ภายในโลกอันพิศดารนี้ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า จอมยุทธ์ หรือ เทพเซียน มีแต่เพียงผู้วิเศษที่โลดแล่นอยู่ในโลกใบนี้มานานนับหมื่นนับแสนปี ท่ามกลางการคงอยู่ของเหล่าผู้วิเศษในตำนานที่สามารถเขย่าฟ้าสะเทือนแผ่นดินนั่น มีเด็กหนุ่มอัจฉริยะจากตระกูลมู่ ตระกูลเล็กๆที่แดนใต้ของทวีป เขามีนามว่า "มู่อิ่งเทียน"ผู้ไม่สนใจในการฝึกตนและกฏเกณฑ์ ทว่าเพราะการลอบสังหารน้องขายของเขา ก็ทำให้มู่อิ้งเทียนต้องเริ่มเดินเข้าสู่เส้นทางของการเป็นผู้วิเศษ เพื่อสืบหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้ว่าเส้นทางนั่นเขาจะต้องกลายเป็น"มารร้าย" ก็ตาม

kintsrou_crusader · Eastern
Not enough ratings
14 Chs

ตอนที่ 1 อัจฉริยะผู้ที่แปลกประหลาด

ภายในแผ่นดินที่เหล่าผู้คนทั่วไปต่างลืมตาเกิดขึ้นมา ถูกกล่าวขานกันว่ามหาพิภพหวนตี๋

ภายในมหาพิภพหวนตี๋ ล้วนแบ่งออกเป็นหลายแคว้นหลายอาณาจักร ซึ่งเจาะลึกลงไปอีกก็จะแบ่งย้อยเป็นหลายเมือง หลายแคว้น หลายสำนัก ทั้งยังเป็นฝ่ายธรรมมะ ฝ่ายมาร รวมถึงลัทธิขงจื่อและเต๋า พึงทราบไว้โดยว่าโลกของปุถุชนธรรมดาล้วนมีเพียงไม่ถึงเสี้ยวหนึ่งในสิบส่วนของมหาพิภพ ที่เหลือทั้งหมดล้วนแต่เป็นสถานที่ที่ของผู้มีวิชาอาคมได้โลดแล่นไปมานับหมื่นนับแสนปีแล้ว เหตุนี้เองโลกที่ถูกปกครองด้วยผู้วิเศษมาเนิ่นนานย้อมไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมทั่วไปจะกล้าใฝ่ฝันถึง

ทว่ามีสถานที่พิเศษพิสดารแห่งหนึ่งที่แม้แต่คนธรรมดาทั่วไป รวมถึงผู้วิเศษมากมายกลับได้ยินกรอกหูไม่ขาดสายตั้งแต่ยุคเริ่มบรรพกาลจวบจนปัจจุบัน ไม่ว่าใครเมื่อได้ถือกำเนิดขึ้นมา ก็ต้องได้ยินชื่อของสถานที่แห่งนี้ไม่ต่ำกว่าสองสามรอบ นี่ล้วนบ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ของมัน

"ศิขรินธารห้าชั้นฟ้า" สถานที่ที่ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างโลกมนุษย์และโลกแห่งผู้วิเศษ

หากจะกล่าวถึง "ศิขรินธารห้าชั้นฟ้า จงประพึงไว้ว่าความยิ่งใหญ่เป็นเอกนันท์ของมันนั้นอยู่เหนือกฎเกณฑ์ความเข้าใจของคนธรรมดามากมายนัก

การคงอยู่ของมันเหมือนกับมีก้อนศิลาที่เป็นรูปร่างของโอ่งศิลายักษ์ วางซ้อนทับเรียงกันสูงขึ้นไปห้าชั้น จนกระทั้งม่านฟ้าก็ไม่อาจจะปกคลุมมันเอาไว้ได้ และในแต่ละชั้นของ"ศิขรินธารห้าชั้นฟ้าล้วนแต่มีพื้นที่มากพอที่จะเรียกได้ว่าเป็นโลกอีกใบให้เหล่าผู้วิเศษวางรากฐานมานับพันนับหมื่นปี กล่าวกันว่ายิ่งสูงขึ้นไปกี่ชั้นเท่าใด ความหนาแน่นของพลังธรรมชาติก็จะยิ่งเข้มข้นมากขึ้น

มหาวารีที่ไหลผ่านซอกภูผาจากน้ำตกยักษ์นับร้อยนับพับปีนั้น ล้วนส่งตรงลงมาหลายหมื่นหลายแสนเมตร ยิ่งตกลงสู่เบื้องล่างมากเท่าใดความเจือจางของพลังวิเศษก็จะยิ่งน้อยลงมากขึ้นเท่านั้น เพราะเหตุนี้เหล่าบรรดาผู้วิเศษ จึงใคร่ที่จะมองขึ้นไปเพียงปลายยอดของภูเขา ไม่มีวันชายตาลงมามองเบื้องล่างที่ต้อยต่ำกว่าตนเอง

แต่ในเวลานี้ พวกเราไม่ได้กล่าวถึงความยิ่งใหญ่และน่าลึกลับค้นหาของสถานที่เหล่านั้น แต่สิ่งที่เรากำลังจะกล่าวถึงกลับเป็นชั้นที่ห้าของน้ำตก ซึ่งเหล่าผู้วิเศษต่างกล่าวกันว่า "สถานที่ซึ่งเหล่าบรรดาพลังแก่กล้าล้วนมองไม่เห็น สถานที่ที่ก่อเกิดมนุษย์จำนวนเพียงน้อยนิดนัก อีกทั้งยังไร้ซึ่งโชควาสนาและไม่มีความเมตตาจากสวรรค์ส่งลงมาถึง ทำให้เหล่าปุถุชนที่อาศัยอยู่ในสถานที่แห่งนี้ล้วนแต่ไม่มีญาณสัมผัสวิเศษ ทุกคนที่อยู่ในชั้นที่ห้า หกในสิบล้วนไร้พรสวรรค์และถูกทอดทิ้ง

ทว่า ในสถานที่อยู่ล่างสุดของทวีป ภายในชั้นที่ห้านั้นก็ยังมีสถานที่ที่รวมเหล่าผู้มีพรสวรรค์มากที่สุดมารวมตัวกันอยู่ และได้แบ่งอำนาจกันออกไปเป็นสามตระกูลใหญ่

ซึ่งหนึ่งในนั่นก็คือตระกูลมู่ และในวันนี้เหล่าผู้มีพรสวรรค์มากที่สุดในดินแดนชั้นที่ห้าก็ต่างมารวมตัวกันในตระกูลมู่เช่นกัน เพราะว่าภายในวันนี้เหล่าผู้ฝึกตนจากสำนักธรรมะ ที่ยอมเดินทางมาจากชั้นที่สี่ ที่กล่าวกันว่า เป็นชั้นที่รวมตัวของเหล่าผู้ฝึกตนเอาไว้มากที่สุดนั่นได้เดินทางเพื่อทดสอบเหล่าเด็กรุ่นใหม่ที่มีพรสวรรค์ และจับตัวขึ้นไปยังสำนักของตนเอง

ไม่ว่าใครก็ตามต่างก็สามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดัน และความคาดหวัง ในบรรยากาศ เพราะคนทั่วต่างก็รู้ดีว่าถ้าหากทดสอบผ่านการคัดเลือกจากเหล่าผู้ที่มาจากชั้นที่สี่เหล่านี้ได้สำเร็จ ชีวิตของพวกเขาก็จะเปลี่ยนไปตลอดกาล

เพราะเช่นนั้นในช่วงที่สำนักต่างๆมากมายมารับคัดเลือก พวกเขาก็ต่างคาดหวังที่จะได้รับเลือก

ไม่ว่าใครก็ตามก็ไม่มีข้อยกเว้น

ภายใต้ทองฟ้าสีครามที่ไร้ซึ่งหมู่เมฆ มีสถานที่ของตระกูลมู่ที่ตั้งอยู่บนยอดเขา บรรยากาศทั่วไปของตระกูลในวันปกติล้วนแต่สงบนิ่งและปลีกนิเวศที่สุดในสามตระกูลใหญ่ แต่เพราะว่าวันนี้ล้วนเป็นเพราะการมารับคัดเลือกคนของสำนักหมื่นเมฆา ในรอบสามปี บรรยากาศภายในตระกูลจึงถูกปกคลุมไปด้วยความตื่นเต้นและความร้อนแรงของคลื่นลูกใหม่ที่ต้องการจะได้รับคัดเลือก

ทว่าท่ามกลางบรรยากาศที่กดดันและตึงเครียดนั่นกับมีบุคคลหนึ่งที่เป็นสิ่งแปลกปลอม

"มู่อิ้งเทียน ระดับขั้นรากเง้า ที่ 2 ระดับพลังวิณญาณขั้นเสวียน พรแห่งดวงดาวคือ มัจฉาวารีคู่!"

เสียงประกาศดังกึกก้องสะท้อนไปทั่วบริเวณของลานหินอ่อนที่ยามนี่มีผู้เยาว์จากทั่วสารทิศกำลังตั้งหน้าตั้งตารอประกาศ จากชายชราในชุดแดงที่มากจากสำนักหมื่นเมฆาและได้รับหน้าที่เป็นผู้ทดสอบพรสวรรค์ของคนในตระกูลมู่

ข้างกายของชายชราชุดแดงที่มีใบหน้าเคร่งขรึมจริงจังและกำลังยืนตรงดุจเจดีย์นั้นถูกวางไว้ด้วยแท่งศิลาวัดพลังจากสำนัก และคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าของแท่งศิลาก็คือชายหนุ่มผู้หนึ่งที่ยามนี้สัมผัสไปที่แท่งศิลาด้วยท่าทางผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง

เด็กหนุ่มคนนี้ไม่มีท่าทีกังวลเลยแม้แต่น้อย

เมื่อหินวัดระดับเปล่งแสงเหมือนแสงอบอุ่นของฤดูวสันดิ์ และเสียงดังสนั่นของเฒ่าขุดแดงประกาศออกมา เสียงกระซิบกระซาบก็ดังขึ้นทั่วบริเวณ ก่อนที่จะก่อเกิดเสียงซุบซิบนินทาต่อเจ้าของระดับพลังที่ยามนี่กำลังทดสอบอยู่

เมื่อสิ้นเสียงประกาศ ตัวต้นเหตุก็หมุนตัวกลับมา เผยให้เห็นใบหน้าเกลี้ยงเกลาในชุดหรูหราชั้นดี ของเด็กหนุ่มวัยสิบห้าปีผู้หนึ่ง ที่สีหน้ายังคมประดับรอยยิ้มเบาบางแม้จะได้รับฟังเสียงกระซิบกระซาบจากทั่วสารทิศที่มีต่อตนเอง

มู่อิ้งเทียน เมื่อวัดระดับพลังและได้ผลไม่แตกต่างจากสามปีก่อนเสร็จนั่นหากเป็นคนอื่นคงได้รับเสียงสบถนินทาหรือเสียงหัวเราะเยาะเย้ยนั่นจากคนในตระกูล แต่สิ่งที่ได้รับกลับแตกต่างไปจากที่คิดเล็กน้อย

เพราะพวกรุ่นเยาว์เช่นเดียวกับเขาแม้จะมีเสียงกระซิบนินทา แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการออกมามากมายเท่าใดนัก ซึ่งเขาพอจะรู้เหตุผลนั่นดี

เพราะว่าตนเองคือหลานของหัวหน้าตระกูลหมู่คนปัจจุบัน ต่อให้จะมีระดับพลังต่ำเตี้ยหรือเป็นผู้พิการทางตบะ ก็ไม่มีใครคิดที่จะเสียมารยาทค่อเขาอย่างเปิดเผย

เพราะระดับศักดิ์ของคุณปู่ตนเองในสำนักนั่นยังเหนือเสียยิ่งกว่าสามผู้อาวุโสมากนัก หากสร้างความลำบากให้แก่เขาต่อให้ไม่มากก็น้อยก็คงส่งผลกระทบต่อตนเองได้อยู่ดี

ถือว่าดีต่อมู่อิ้งเทียนมากนัก เพราะว่าตนเองคงจะเบื่อหน่ายมากนักเพราะขี้เกียจฟังเสียงนกเสียงกาที่น่ารำคารเหล่านี้อีกแล้ว

"พรสวรรค์เพียงพอที่จะได้รับคัดเลือกเข้าสำนัก แต่ดูท่าเจ้าคงจะยังมีคำตอบเช่นเดิม" ชายชราในชุดแดงเมื่อมองเห็นผลของการทดสอบก็กล่าวออกมาเสียงเรียบ ดูเหมือนว่าชายชราผู้นี้คงจะรู้จักเด็กหนุ่มคนนี้และพอที่จะเดาคำตอบของการชักชวนเข้าสำนักได้

เพราะว่าเมื่อสามปีก่อนที่เขาทดสอบในที่ตรงนี้ เด็กชายที่เคยได้รับสมญานามมว่าอัจฉริยะที่ไม่เคยถือกำเนิดขึ้นมาตลอดห้าสิบปีในตระกูลก็กล่าวปฏิเสธเช่นกัน!

ในวันนั้น วันที่เขายืนอยู่ตรงนี้และมองไปยังเด็กหนุ่มที่อายุเพียงสิบสองปีผู้นี้ด้วยแววตาอันคาดหวังนั่นยังติดอยู่ในความทรงจำของมันไม่มีทางลืมเลือน

แสงสว่างจากศิลาที่เจิดจ้าเหมือนแสงจากสวรรค์ถูกทำให้ปรากฏด้วยมืออันเล็กๆของเด็กหนุ่มอายุเพียงสิบสองปีผู้หนึ่งท่ามกลางความรู้สึกตกตะลึงของผู้คนทั่วทั้งสำนัก

ข่าวที่ว่ากันว่ามีเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์ถือกำเนิดขึ้นในชั้นล่างสุด ดังขจรไปจนถึงขั้นที่สามเลยด้วยซ้ำ

เด็กหนุ่มที่สามารถฝึกตนได้ถึงขั้นที่สองด้วยตนเองและมีระดับพลังวิญญาณมากมายถึงขั้นที่สามารถข่มพลังวิญญาณของศิษย์ในสำนักหมื่นเมฆาได้อย่างง่ายดาย ผู้นี้ในตอนนี้ไม่ว่าจะมองจากชั้นที่สามหรือชั้นสี่ของมัน เด็กที่อายุเพียงสิบสองปีและสามารถก้าวผ่านขั้นวิญญาณได้ด้วยตนเองล้วนไม่มีทางเป็นไปได้ ในประวัติศาตร์ของพวกมันล้วนไม่เคยกล่าวถึงว่าเคยปรากฏออกมา

เด็กที่มีพรสวรรค์เช่นนี้ล้วนอยู่ในขั้นที่สามและสองเท่านั่น

ทว่าไม่มีใครคาดคิดว่าเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์ฟ้าประทานและได้รับการคาดหวังผู้นี้กลับ กล่าวปฏิเสธ และหลังจากปีนั่น ระดับการฝึกตนของมันก็หยุดอยู่กลับที่ และไม่ใช่ว่ามันพิการหรือได้รับเหตุไม่คาดฝัน แต่การหยุดอยู่กับที่นี่เกิดขึ้นจากเด็กหนุ่มนั่นไม่ยอมฝึกตนด้วยตนเอง!

ชายชราถอนหายใจลึกล้ำ มองไปยังเด็กหนุ่มที่กำลังยกมือที่พาดบนศิลากลับคืน แสงสว่างบนศิลาก็พลันจางหายไป ความรู้สึกเสียดายวาบผ่านในดวงตา แต่มันก็ไม่สามารถบังคับให้เด็กหนุ่มเข้าร่วมสำนักได้

เด็กหนุ่มประดับยิ้ม หันไปทำท่าเคารพต่อต่อเฒ่าชุดแดงเล็กน้อย ก่อนที่จะหมุนตัวเดินลงบันไดหินอ่อนไป

"ไปกันเถอะ มู่หลง"

เขาหันกลับไปเรียกเด็กรับใช้ที่สนิทสนมราวกับพี่น้องข้างกายที่กำลังมีสีหน้าซีดสลดเมื่อได้รับฟังผลการประเมินของคุณชายตนเอง แต่ก็ต้องพยายามเก็บสีหน้าเลิ่กลั่กและเดินตามคุณขายของตนเองไป

เมื่อเดินลงบันไดถึงลานกว้างฝูงคนก็ต้องแหวกออกเพื่อเปิดทางให้มู่อิ่งเทียนเดิน เด็กหนุ่มยังคงประดับยิ้มเอื้อยๆเดินผ่านไป แม้จะสัมผัสได้ถึงความรู้สึกไม่ขอบพอใจของผู้คนที่ต้องมาเคารพต่อคนที่อ่อนแอกว่าตนเองก็ตาม เขาก็ไม่สนใจ แตกต่างจากมู่หลงที่ต้องเดินก้มหน้าเพราะทนสายตาทิ่มแทงต่อผู้คนไม่ไหว

สายตาของคนเหล่านี้ช่างแตกต่างจากเมื่อสามปีก่อน เมื่อตอนที่คุณชายยังคงเป็นอัจฉริยะตัวน้อยเสียเหลือเกิน

มู่อิ้งเทียนแม้ว่าระดับฝึกตนจะต่ำต้อยทว่าใบหน้ากริยาท่าทางยามเคลื่อนไหวก็ยังคงเป๋นคุณชาย ดั่งที่เขากล่าวว่าเปลือกน้อยล้วนต้องตากว่าเนื้อแท้ ก็ไม่เกินเลย ด้วยอายุเพียงสิบห้าปีกลับสูงสง่าเกินวัย ใบหน้าที่สง่างามแบบคุณชายในตระกูลใหญ่ เสน่ห์ของเขามากล้นจนแม้แต่บุรุษรูปงามทั่วแผ่นดินนี้ก็ยากจะเทียบเคียง

ดวงตาดอกท้อ ริมฝีปากรูปมุก จมูกโด่งเป็นสัน พูดได้เลยว่าองค์ประกอบของคนที่มากเสน่ห์ได้อยู่บนใบหน้าของเขาหมดแล้ว ทำให้ใครไม่อยากจะจ้องมองก็ต้องจ้องมอง เพียงหนึ่งยิ้มก็สามารถทำให้กวางน้อยในใจของเหล่าดรุณีพลุ่งพล่านล้วนไม่เกินเลยจริงๆ

สมกับฉายานามที่ถูกกล่าวไว้เมื่อสามปีก่อนว่า เพียงใบหน้าของเขาก็สามารถยึดครองใต้หล้าได้โดยง่าย!

ถึงแม้ว่ามู่อิ่งเทียนในยามนี้จะมีพลังฝึกตนอ่อนแอที่สุดในตระกูลก็ตามแต่ แต่นั่นก็ไม่ได้ลดความสูงศักดิ์ของเขาลงไปเลย นั่นจึงทำให้มีสายตาทิ้งแทงหลุดรอดออกมาจากฝูงชนที่กวาดตามองเขาเป็นระยะๆ

มู่อิ่งเทียนไม่สนใจสายตาเหล่านั่นแต่ก็มีสายตาอยู่สองคู่ที่เขาสะดุดเข้า หนึ่งมาจากของดรุณีน้อยนางหนึ่งที่กำลังพยายามจะหลบหน้าตนเอง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองมาที่ตัวเขา มู่อิ่งเทียนสบสายตาเข้ากับดวงตามณีใสคู่นั่น ทำให้ได้รับความรู้สึกแขนงหนึ่งที่ทำให้ต้องฉุดคิดอยู่ชั่วครู่ แต่สุดท้ายเขาก็ต้องเบนสายตากลับไปไม่นาน

ส่วนอีกหนึ่งมาจากบุรุษร่างสูงโปร่งที่มีดวงตาคมกล้าดั่งกระบี่ และใบหน้าเฉยชาอยู่เป็นนิจ เมื่อสบตาเข้าด้วยกันภายในดวงตาของบุรุษที่มีสีหน้าเฉยขาอยู่เป็นนิลนั่นก็บังเกิดคลื่นระรอกหนึ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่มันจะหายไปอย่างรวดเร็ว สุดท้ายเขาก็พยักหน้าเบาๆให้มู่อิ้งเทียนทีหนึ่งก่อนจะเบนสายตากลับไปอละไม่หันมามองเขาอีกเลย

มู่อิ้งเทียนยิ้มมุมปาก ก่อนที่จะไม่สนใจสายตารอบข้างและก้าวเดินฝ่าฝูงชนออกมา

เมื่อแผ่นหลังของคุณชายเริ่มหายลับไปจากฝูงชน จนเมื่อมองเห็นว่าคุณชายผู้นี้เดินจากไปไกลแล้ว ความเงียบก็กลับมาดังอีกครั้งเหล่าผู้กระซิบกระซาบเมื่อครู่ที่เบาบางยามนี้กลับมาคึกคัก เหล่าบรรดาบุรุษและสตรีไม่สนใจเสียงป่าวประกาศการประเมินของคนต่อไป

ทุกคนล้วนแต่สนใจหัวข้อที่จะนินทาบุรุษผู้สง่างามแต่ดันไร้ประโยชน์ผู้นั่นมากกว่า

เพราะนี่คือธรรมชาติของมนุษย์แม้จะเป็นผู้ฝึกตนก็ตามแต่เมื่อมีสิ่งหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจ เมื่อมีสิ่งหนึ่งที่ควรจะเหมือนกับหยกเนื้อดีกลับเหลวเหมือนดินโคลน ก็ต้องรู้สึกอยากจะถับถม

"ฟู่ว ในที่สุดคุณชายไร้ประโยชน์ก็จากไปสักที เล่นเอาซะข้าเกร็งจนเหงื่อไหลเต็มแผ่นหลังไปหมด" เสียงเล็กเสียงน้อยดังมาจากด้านข้างของอิสตรี ที่สบตากับมู่อิ้งเทียนเมื่อครู่ ซึ่งยามนี้นางก็ยังคงก้มหน้าไม่พูดไม่จา

"เรียกเขาว่าไร้ประโยชน์ก็เกินไปหน่อยมั้ง อย่างน้อยเขาก็ยังมีบางสิ่งที่เจ้าทำไม่ได้ไม่ใช่รึ" ดุรณีน้อยชุดเขียวอีกคนกล้าวแย้งขึ้นมา ทว่าดูจากน้ำเสียงน่าจะให้ความรู้สึกแดกดันมากดว่าช่วยเหลือ

"เหนือกว่า? เรื่องใดกันละ ถ้าหมายถึงศาตร์และศิลป์ทุกแขนง ข้าคงสู้เขาไม่ได้เพราะเขาได้รับฉายาว่า"ผู้ที่สวรรค์ทรงโปรด" นี่นา แต่ถ้าเขาเก่งกาจถึงเช่นนั้นจะรวมถึงยึดหลักสามเชื่อฟังสี่คุณธรรมเหมือนอิสตรีด้วยงั้นรึ?" สตรีนางนี้กล่าวประชดประชันออกมาอย่างเสียงดังชัดเจน จนคนที่อยู่ในระแวกนี้ต่างพากันหลุดขำออกมา แม้แต่ตัวของนางเองก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มผยองออกมา

การที่ได้ถับถมกับบุลคลที่เคยเหนือกว่าตนเองในทุกด้านย่อมเป็นความรู้สึกดีที่หาได้ยากยิ่งอยู่แล้ว!

เหล่าบรรดาคนรุ่นเยาว์ต่างหัวเราะคิกคักกันออกมาครืนๆ ก่อนที่เราบรรดาคนอื่นจะเข้ามาผสมโรงด้วย หัวข้อก็คงไม่พ้นเรื่องราวเกี่ยวกับปาฏิหารที่คุณชายผู้นี้เคยทำเอาไว้ หากเป็นเมื่อสามปีก่อนมันคงจะเป็น เรื่องราวยกย่องของเด็กหนุ่มที่เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์

ทว่ายามนี้เมื่อพรสวรรค์ทอดทิ้งเด็กหนุ่มที่เคยส่องประกายราวกับหยกที่ไม่ต้องผ่านการเจียระไนก็ส่องสว่างดันดับลง เหล่าบรรดาผู้ที่ไร้พรสววรค์ก็ต้องรู้สึกอย่างทับถมเป็นธรรมดา

เพราะตำนานของเด็กหนุ่มผู้นี้ถูกกล่าวถึงอยู่มากมาย

ว่ากันว่าเมื่อคุณชายมู่อิ่งเทียนยามเมื่ออายุสามปีก็เริ่มพูด สี่ปีหัดเขียน หกปีร่ายกระบี่ของตระกูลจนชำนาญ เจ็ดปีเข้าใจตำราพิชัยสงครามทุกรูปแบบรวมถึงคัดอักษรลัทธิขงจื้อและเต๋าได้ทั้งเล่ม สิบปีก้าวผ่านขั้นแรกของขั้นรากเง้า และเมื่อสามปีก่อนตอนที่เขาอายุสิบสองปีก็สามารถเป็นอับดับหนึ่งของรุ่นเยาว์ เหนือเสียยิ่งกว่าห้ารุ่นปาฏิหาริย์ที่ยามนี้ล้วนอยู่ในสำนักชี่อดังของชั้นที่สี่

ว่ากันว่าในรุ่นนี่ไม่มีใครสามารถเอาชนะมู่อิ้งเทียนได้เลยแม้แต่คนเดียว

เพราะตำนานที่น่าเหลือเชื่อเหล่านี้ผู้คนจึงยกเข้าเป็นโอรสแห่งสวรรค์ ทำสิ่งใดก็สำเร็จเรียนรู้สิ่งใดก็สามารถพลิกแพลงได้เสมอ

และเมื่อโอรสสวรรค์ที่พวกเขายกย่องหยุดที่จะปีนป่ายสวรรค์ เหล่าผู้คนก็ต้องถับถมเป็นธรรมดา

"จริงสิ มู่หรงเจี่ยเจ้าคิดว่าไงบ้างละ เจ้าเองก็เคยเป็นถึงเพื่อนที่สนิทที่สุดในอดีตของเขาเลยนี่"

คนถามนี่ถูกส่งมาให้อิสตรีที่ยืนนิ่งเงียบอยู่ข้างๆ เด็กสาวผู้นี้ในอดีตเคยสนิทสนมกับมู่อิ้งหลงและด้วนหน้าตาที่แม้จะเป็นวัยแรกแย้มก็เปล่งประกายไปด้วยความสว่างามและพรสวรรค์พื้นฐานที่ไม่ธรรมดาก็ทำให้ถูกจับให้เป็นคู่สร้างคู่สมกับมู่อิ้งเทียน

ทว่าเมื่อสามปีก่อนเมื่อพรสวรรค์ของเด็กชายหยุดนิ่งในตอนแรกๆนางก็ยังคอยสนับสนุนชายหนุ่มมาก่อน ทว่าพอนานเขาเมื่อระดับพลังของนางแซงหน้าก็เริ่มที่จะตีตัวออกห่าง

นั่นทำให้นางยังคงรู้สึกผิด จึงไม่คิดที่ตะกล้าสู้หน้า นางไม่ได้ตอบคำถามที่ผสมความแดกดันกลับมาทว่า

นางมั่นใจอยู่เรื่องหนึ่ง ยามที่สบกับสายตาที่สุขสว่างของมู่อิ่งเทียนเมื่อครู่

ไม่ใช่ว่าพรสวรรค์ของเขาหายไป นางเห็นแววตานั่นมาตั้งแต่ยังเด็ก มันยังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและความลึกล้ำที่ทำให้นางหลงใหลในอดีต

เพียงแค่นางไม่อาจเข้าใจความคิดของเขาเลยแม้แต่น้อย นั่นแหละคือสิ่งที่นางต้องการที่จะรู้ที่สุดในชีวิตนี้ นั่นแหละคือเหตุผลที่นางเดินออกมาและเฝ้ามองดูราวกับคนนอก

ว่าอะไรคือตัวที่ฉุดชายผู้ที่มากพรสวรรค์คนนี้เอาไว้กันแน่!

ถัดมาไม่ไกลจากกลุ่มซุบซิบนินทา ร่างสูงโปร่งยืนโดดเดี่ยวด้วยใบหน้านิ่งสงบเฉยชาและไม่ได้มีท่าทีเปลี่ยนไปแม้รอบกายจะมีเสียงกระซิบนินทา จนเมื่อเฒ่าขุดแดงกล่าวถึงผู้ประเมินคนถัดไป เสียงรอบกายจึงเงียบลง

ตอนนั่นก็มีบุรุษชุดขาวอีกคนที่มีสีหน้าค่อนข้างหยิ่งยโสเดินมายืนอยู่ข้างกาย

"คิดไม่ถึงเลยว่าคนที่เจ้าคิดเจ้าแค้นเยี่ยงเจ้า จะเป็นอีกไม่กี่คนที่แสดงความเคารพต่อมัน ว่าอย่างไร? ไม่อยากที่จะล้างแค้นมันแล้วรึ"

มู่เถี่ยส่งเสียงเฮอะเป็นคำตอบ ทำให้ชายที่ยโสคนนั้นขมวดคิ้วส่งเสียงฮึดฮัดก่อนที่จะไม่สนใจมันอีก

ดูเหมือนว่ามู่เถี่ยจะไม่อยากตอบคำถามเชิงประชดประชันเช่นนี้ ทว่าสองตาดำขลับนั่นบัดนี้มีประกายวาบผ่านอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่จะเลื่อนไปหากระบี่ในมือของตน

ฝ่ามือหยาบกร้านลูบผ้านตัวกระบี่ที่แม้จะอยู่ในฝักแต่ก็สามารถสัมผัสได้ถึงกระแสเย็นเฉียบ นำพาความทรงจำของมันย้อนไปในอดีตอยู่พักหนึ่ง

ยุตที่คุณชายมู่อิ้งเทียนอยู่ในตระกูลก็ได้รับการเรียกขานว่ายุคแห่งรุ่นปาฏิหาริย์ ในรอบห้าสิบปี คนที่อยู่ในตระกูลมาในตอนนั่นล้วนแต่เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ห้าประทาน หนึ่งเป็นผู้อัญเชิญกระบี่ในสำนักขั้นที่สอง หนึ่งเป็นร่างทรงเทพ หรือแม้กระทั้งผู้ใช้วิชาสัตว์มายาก็ถือกำเนิดในรุ่นของเขา และในเหล่าบรรดาผู้ที่มากพรสวรรค์นั่น

มู่อิ้งเทียนไม่ได้มีพรสวรรค์ที่เด่นแปลกประหลาดทว่า กลับถูกกล่าวขานว่าเป็นอันดับหนึ่ง เพราะว่าคุณชายคนนี้ไม่ว่าใครก็ต่างไม่ที่จะยอมรับ ว่าเด็กหนุ่มคนนี้สมฉายาที่ว่า เป็นโอรสของสวรรค์ ทุกสิ่งที่มู่อิ้งเทียนกระทำล้วนแต่เปล่งประกายมากกว่าคนทั่วไป

ทั้งหล่อเหลาและสง่างามอย่างหาที่ใดเปรียบ พ่วงไปด้วยไร้กฎระเบียบและกฎเกณฑ์จนน่าใจหาย ช่างขัดแย้งกันอย่างน่าเหลือเชื่อ

ในอดีตเพราะตัวมันเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่สามารถสำเร็จวิชาเซียนได้รวดเร็วกว่าผู้อื่น ในใจของมันก็ล้วนที่จะหยิ่งผยองและมองข้ามผู้อื่นคิดว่าตนเองคืออันดับหนึ่ง

เมื่อได้ยินข่าวลือของมู่อิ้งเทียน มันก็ไม่เคยเชื่อข่าวลือที่หนาหูเช่นนี้มาก่อน เขาไม่เชื่อว่าจะมีคนที่มีพรสวรรค์มากถึงเพียงนั้น ไร้ผู้ต่อกรอยู่เพียงนี้อยู่จริง ราวกับถูกรังสรรมาเพื่อเขียนในหนังสือผู้กล้าในปรัมปราอย่างไรอย่างนั้น

แล้วมีหรือว่ามันจะเชื่อข่าวลือที่น่าพิศวงเหล่านี้

จนกระทั้ง สองปีก่อนตัวของมู่เถี่ยมีโอกาศที่จะได้พบหน้ากับมุ่อิ้งเทียนเป็นครั้งแรก ในวินาทีนั่นในสายตาของมันก็จดจ้องอัจฉริยะน้อยผู้นี้อย่างไม่ละสายตาแล้วมันก็คำพูดเพียงสามคำที่เข้ามาในหัวของมันในตอนนั้น

"เย่อหยิ่ง!"

ตั้งแต่เกิดมามู่เถี่ยไม่เคยเจอใครที่ แสดงนิสัยเฉยชาต่อทุกสิ่งราวกับทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่มีค่าในสายตาได้เท่ากับมู่อิ้งเทียนอีกแล้ว ชายผู้นี้แม้ว่าจะอายุเพียงสิบสองปีไม่นาน ทว่าแรงกดดันบางอย่างกับแผ่ซ่านออกมาจากร่างจนทำให้คนอื่นยากที่จะไม่รู้สึกสำเหนียกตัวเอง

ความรู้สึกที่ครอบงำให้รู้สึกด้อยกว่านั้น สามารถเข้าไปเขย่าจิตวิญญาณของมันได้อย่างรวดเร็วและน่าขนลุก

มู่เถี่ยในยามนั่นเมื่อรู้สึกถูกด้อยค่าด้วยความเป็นเด็กมันจึงไม่คิดที่จะยอมให้ถูกครอบงำ

ด้วยความมั่นใจตนเองจึงเข้าท้าสู้กับมู่อิ้งเทียนเมื่ออายุแค่สิบสองปี

และผลลัพที่ปรากฏออกมานั้นก็เปลี่ยนชีวิตของมันไปตลอดกาล

หากผู้ใหญ่คนหนึ่งคิดภาพของเด็กอายุสิงสองปีสองคนต่อสู้กันภาพในหัวของมันคงจะน่าหัวเราะอย่างยิ่ง อย่างมากก็คงเป็นภาพของต่างฝ่ายต่างซัดเหวี่ยงกันอย่างไม่ยอมแพ้ หรือต่างฝ่ายต่างมีบาดแผลทั่วทั้งร่างกาย

ทว่า ต่อหน้าเด็กน้อยอย่างมู่อิ้งเทียนมันกลับไม่ใช่

เพียงสามกระบวนท่าเท่านั้น!

หนึ่งหมัดแรกทะลวงด้วยพลังตบะบ้าคลั่ง หมัดที่สองสลายพลังกระบี่ด้วยมือเปล่า หมัดที่สามต่อยลงที่กลางหน้าของเขา

พ่ายแพ้อย่างหมดรูป นั่นคือสิ่งที่เขาได้รับเมื่อสามปีก่อน

ทว่าบางคนอาจจะบอกว่าที่เขาติดใจคือความพ่ายแพ้ที่น่าอัปยศทว่าความจริงกลับไม่ใช้

สิ่งที่เขาติดใจก็คือแววตาหลังชนะของชายผู้นั่น มันมีความรู้สึกที่แรงกล้าเผยออกมาเพียงชั่วครู่

นั่นก็คือความเบื่อหน่าย!

ใครจะคาดคิดเมื่อเอาชนะเด็กน้อยที่หยิ่งผยองตนเอง และท้าต่อสู่อย่างไร้เหตุผล แทนที่เด็กหนุ่มตรงหน้าจะแสดงท่าทีหัวเราะสะใจดูถูกเหยียดหยามตัวมัน แต่สิ่งที่มู่อิ้งเทียนทำกลับเป็นสิ่งที่ทำให้มันตราตรึงเข้าไปในดวงจิตวิญญาณ

มันกำลังกลั้นหาว!

เหมือนมีพายุปั่นป่วนในสมอง ราวกับฟ้าผ่าเข้ามาในใจ เด็กน้อยมู่เถี่ยวยามนั่นลืมความเจ็บปวดในร่างไปสิ้น ที่มีเพียงคือความรู้สึกรับไม่ได้อย่างรุนแรง

นี่ตนเองไร้ความสามารถจนฝ่ายตนข้ามถึงกลับเลือกที่จะแสดงท่าทีเบื่อหน่ายถึงเพียงนั้น

ความเจ็บปวด ความแค้น ความนับถือ ความเคารพผสมปนเปไปมาในดวงตาของมู่เถี่ย ยามที่จ้องมองไปยังมู่อิ้งเทียนผู้หล่อเหลาตั้งแต่เด็ก ดวงตาดำขลับของมันราวกับจะสามารถสื่อนับความออกไปได้

เมื่อเห็นดวงตาไม่ยอมแพ้ของมู่เถี่ย มู้อิ้งเทียนก็ยกยิ้มบางกล่าวสั้นๆว่า

"ไปฝึกมาใหม่ เจ้าอาจจะทำให้ข้าสนุกยิ่งขึ้นในอนาคต"

กล่าวจบมันก็สะบัดตัว เสื้อคลุมสีขาวปลิวไสวไปมาอยู่ตรงหน้าของมู่อิ่งเทียนในยามนั้น ไม่ว่าใครก็ตามที่รู้ใกล้ชิดกับคุณชายผู้นี้ล้วนแต่ตามติดประกบต่อเขา

นั้นกลับทำให้มู่เถี่ยคิดได้อาจจะเพราะว่าใครต่อใครก็คิดที่จะประสบสอพลอเด็กหนุ่มคนนี้ อต่ว่าตนกลับเลือกที่จะเข้าหาและแสดงความรู้สึกไม่ยอมแพ้ย่างตรงไปตรงมาซึ่งแตกต่างจากคนอื่นกระมั้ง

มู่อิ้งเทียนจึงยิ้มให้เขาอย่างจริงใจ และให้โอกาสมันอีกครั้ง

รอยยิ้มนั้นราวกับกระบี่ที่แทงลงกลางใจและผ่าหัวใจของมู่เถี่ยเป็นชิ้นๆ นับแต่นั้นมันก็ทุ่มเวลาทั้งหมดไปในทางฝึกตน วันแล้ววันเล่าคืนแล้วคืนเล่า โดยหวังที่จะได้เผชิญหน้ากลับมู่อิ้งเทียนผู้นี้อีกสักครั้ง

สิ่งนั้นทำให้เขารู้สึกว่าเป้าหมายในชีวิตของตนเองถูกเปลี่ยนไปตลอดกาลคิดไม่ถึงเลยว่าเด็กน้อยคนหนึ่งจะเปลี่ยนเส้นทางชีวิตของเด็กคนหนึ่งได้ด้วยการพบหน้ากันเพียงระยะเวลาสั้นๆ

ทว่า ข่าวลือหนึ่งก็ทำลายความฝันนี่ของมันทิ้งลงอย่างกะทันหัน เราพะมีคนเล่าลือกันปากต่อปากว่า มู่อิ้งเทียนนั่นไม่รู้ว่าถูกผีร้ายตัวไหนเข้าสิง เมื่อยู่ดีๆก็ละทิ้งการฝึกตนภาวนาจิตไปซะอย่างนั่น

สิ้นนั้นทำให้เหมือนเป้าหมายชีวิตของมันถูกทำลายสิ้น มันทำได้เพียงยิ้มขื่นอย่างไม่คิดไม่ฝันว่าวันหนึ่งตนเองจะมายืนอยู่บนเส้นด้ายของอารมณ์ด้วยบุรุษที่อยู่ในใจตลอดมา

วันนั้นมันนอนไม่หลับ สองตาแดงกล่ำเอาแต่คิดหลังได้ฟังข่าว ทำไงดีหนอถึงจะสามารถเปลี่ยนความคิดของคุณชายที่ไร้กฎเกณฑ์ ผู้นั้นได้ และหลังจากที่ผ่านกระบวนการคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า คิดแล้วคิดอีก คิดจนหัวจะระเบิดออกมาเพื่อหาหนทาง คำตอบที่มันได้ก็คงจะเป็นแค่สามคำสั้นๆ

"ไม่มีทาง!"

สมกับที่ใครต่อใครก็ต่างกล่าวต่อเด็กหนุ่มคนนี้ว่า "อัจฉริยะผู้แปลกประหลาดจริงๆ" มู่เถี่ยเองก็เข้าใจเรื่องนั้นดี

เพราะชายคนที่เขาอยากจะเอาชนะผู้นี้คือคุณชายที่ไม่สนกฎเกณฑ์และแปลกประหลาดที่สุดในโลก

ซึ่งแม้แต่ในยามนี้ มู่อิ่งเทียนก็ยังคงสะบัดเสื้อสีขาวราวกับเทพเซียนที่ตัดขาดจาดโลก เดินเข้าไปในตระกูลด้วยใบหน้าประดับยิ้มไม่แยแสเช่นเคย ราวกับทุกอย่างที่มันกระทำก็เพื่อตัวของตนเอง ไม่ว่าใครจะมองเช่นไร คนที่จะตัดสินใจ ก็คือตัวมันเท่านั่น

ช่างสง่างามและหยิ่งผะหยองอย่างยิ่ง!

มู่เถี่ยมองไปยังแท่นที่รับประกาศเข้าสำนักในชั้นที่สี่ และภาวนาในใจเงียบๆ

หวังว่าวันหนึ่งคุณชายที่ติดอยู่ในใจของตนเองจะเปลี่ยนใจ และเข้าสู่สำนัก และมีโอกาศที่จะให้มันเผชิญหน้ากันอย่างเต็มภาคภูมิอีกครั้ง

หวังว่าวันนั้นจะมาถึง มันภาวนาในใจเงียบๆก่อนจะดึงสายตากลับมา