webnovel

สวนทางสวรรค์ พลิกโลกา

สวนทางสวรรค์ พลิกโลกา จะกล่าวถึงโลกของมหาพิภพหวนตี๋ที่กว้างใหญ่ไพศาล ภายในโลกอันพิศดารนี้ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า จอมยุทธ์ หรือ เทพเซียน มีแต่เพียงผู้วิเศษที่โลดแล่นอยู่ในโลกใบนี้มานานนับหมื่นนับแสนปี ท่ามกลางการคงอยู่ของเหล่าผู้วิเศษในตำนานที่สามารถเขย่าฟ้าสะเทือนแผ่นดินนั่น มีเด็กหนุ่มอัจฉริยะจากตระกูลมู่ ตระกูลเล็กๆที่แดนใต้ของทวีป เขามีนามว่า "มู่อิ่งเทียน"ผู้ไม่สนใจในการฝึกตนและกฏเกณฑ์ ทว่าเพราะการลอบสังหารน้องขายของเขา ก็ทำให้มู่อิ้งเทียนต้องเริ่มเดินเข้าสู่เส้นทางของการเป็นผู้วิเศษ เพื่อสืบหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้ว่าเส้นทางนั่นเขาจะต้องกลายเป็น"มารร้าย" ก็ตาม

kintsrou_crusader · Eastern
Not enough ratings
14 Chs

ตอนที่ 3 สิ่งในใจ

ภายในหออักษรของตระกูลมู่ที่ปลีกนิเวศและสงบเงี่ยมที่สุดในตระกูล บัดนี้ภายในปรากฏร่างของบุรุษต่างวัยนั่งหันหน้าเข้าหากัน หนึ่งชราทว่าน่าหวั่นเกรงอีกหนึ่งยังหนุ่มแน่นแต่ดูสง่างาม

มู่ฉางเจี่ย ยามนี้มีใบหน้าที่ดุดันห้าวหาญกลับเกิดรอยแดงขึ้นใต้ตาของตนเอง เพราะเมื่อครู่ได้เสียน้ำตาไปไม่น้อย ส่วนสาเหตุก็มาจากหลายชานสุดที่รักของตนเองที่ยามนี้ก็ยังคงมีอัปกริยาสง่างามไร้ความกังวลเช่นเดิม

ชายชราแทบที่จะหลั่งน้ำตาออกมาเป็นสายเลือด ก่อนที่จะถอนหายใจออกมาดังๆ เขาเป็นถึงผู้นำตระกูลมู่ผู้เกรียงไกร ไม่ว่าใครต่างก็ให้ความเคารพ ไม่ว่าใครต่างก็ไม่กล้าขัดใจของเขา หากจะมีเพียงคนเดีวบนโ,กใบนี้ที่สามารถทให้เขาหลั่งน้ำตาและไม่สามาารถควบคุมได้ที่สุดก็คงจะเป็นหลานชายที่เขารักที่สุดเบื้องหน้า

หากมู่ฉางเจี่ยคือบุรุษผู้ที่ถูกสร้างขึ้นมาจากความมั่นคงและพลังอำนาจ มู่อิ่งเทียนหลานชายของเขาก็คงจะเป็นความสง่างามและไร้กฏเกณฑ์ ยามที่มู่ฉางเจี่ยยืนอยู่ในตระกูลใครต่อใครก็ต่างได้รับความรู้นสึกว่าชายชราผู้นี้คือเจดีย์หลักของตระกูลมู่ที่นำพาความรู้สึกว่าจะสามารถต้านลมต้านฝนปกป้องภายตระกูลของเขาได้ ทว่า มู่อิ่งเทียนหลานชายของเขากลับให้ความรู้สึกที่แตกต่างกันโดนเช่นเชิง ใครที่จ้องมองไปยังคุณชายตระกูลมู่ผู้นี้ ต่างก็คิดได้แค่ว่า

หากฝากตระกูลมู่เอาไว้ที่ เด็กหนุ่มผู้นี้สานต่อ วันนั้นตระกูลของเราคงต้องสิ้นแล้ว!

ไม่ใช่ว่ามู่อิ้งเทียนไร้ความสามารถ กลับกันมู่ฉางเจี่ยที่เห็นหลานชายตนเองมาตั้งแต่ยังเด็กก็รู้ตัวดีถึงศักยภาพและพรสวรรค์ที่เลิศล้ำมหาศาลที่เด็กหนุ่มแสดงออกมาให้เห็นและอีกหลานส่วนที่เขายังไม่เผยออกมา เรื่องเช่นนี้ใครก็ไม่สามารถเถีงได้ว่า เด็กหนุ่มผู้นี้หากดึงศักยภาพของตนเองออกมาใช้ ต่อให้ชั้นที่สี่ บางทีพวกเขาก็จะสามารถเอาชนะพวกมันได้!

ทว่ากล่าวแล้วก็ต้องเจ็บในหัวใจ เมื่ออัจฉริยะตัวน้อยของพวกเขา ที่ถูกคาดหวังและตามใจตั้งแต่ยังเด็กผู้นี้กลับมีนิสัยแปลกประหลาดอย่างยิ่ง จนชายชราก็อดที่จะสงสัยไม่ได้ว่าเขาไม่ได้นิสัยแบบนี้มาจากใคร

ความแปลกประหลาดของหลานชายของเขาดังขจรไปทั่วสารทิศ ทั้งด้านดีและไม่ดี มีหรือที่คุณชายตระกูลบ้านใดบางทีรู้สึกเบื่อหน่ายจึงหนีออกจากบ้านไปตอนอายุสิบเอ็ดขวบ ลงไปในเขตเมืองของตระกูลมู่ และไปใช้ชีวิตแบบขอทาน! และหลังจากเข้าไปเป็นขอทานได้เพียงไม่กี่เดือนเด็กหนุ่มก็รวมรวมเหล่าขอทานจำนวนหนึ่งเข้ายึดอำนาจ และสามารถจัดการควบคุมเหล่าขอทานแต่งตั้งให้เป็นกองกำลังอิสระที่สามารถใช้งานได้อย่างอำเภอใจ ยามนั่นตอนที่มู่ฉางเจี่ยไปพบกับหลานชายของตนที่สวมชุดแบบเดียวกับพวกยากจกำลังนอนด้วยท่าทางเกียจคร้านโดยรอบกายต่างก็มีเหล่าขอทานมาปนนิบัติรับใช้

เมื่อได้เห็นภาพในตอนนี้เส้นเลือดของชายชราก็แทบจะระเบิดออกจากหัว เพราะไม่คาดฝันว่าหลานชายของตนเองจะกลายเป็น ผู้นำของเหล่ากระยาจกไปซะอย่างนั้น!

ทว่าก่อนที่เรื่องจะบานปลายไปมากกว่านั่น สิ่งที่ทุกคนไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อมู่อิ้งเทียนลุกออกมาจากหัวหน้าของเหล่ากระยาจก และไม่ไปเข้าร่วมอีกเลยหลังจากนั่น โดยที่เขาให้เหตุผลเพียงว่า

"ข้าเบื่อการใช้ชีวิตแบบขอทานแล้ว" เพียงประโยคเดียวสั้นๆ เขาก็ละทิ้งอำนาจในมือทิ้งไปซะอย่างนั้นท่ามกลางความงุนงงของผู้คน ข่าวเรื่องนี้ดังขจรไปทั่วเช่นกัน จนถึงกับได้รับฉายาว่า คุณชายมู่ผู้กอบกู้ยาจกอุดร ยามนั้นมู่ฉษงเจียอับอายจนไม่รู้ว่าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ทว่าเขากลับไม่กล้าที่จะสั่งสอนมู่อิ้งเทียนเลยจริงๆ

เพราะหลังจากเรื่องในคราวนั่นปัญหาของเรื่องขอทานในเขตการค้าของตระกูลมู่ก็หายไป ระบบภายในของเหล่ายาจกเพราะมู่อิ้งเทียนเข้าควบคุม ก็สามารถที่จะยืนด้วยลำแข้งลำขาของตนเองได้จนสามารถตั้งเป็นองค์กรใหม่และเริ่มทำมาค้าขาย จนในที่สุดจากเหล่ายาจกยามนี้ก็กลายมาเป็นผู้พิทักษ์ในเงามืดของเขตการค้าของตระกูลไปเสียแล้ว

ชายชราแม้จะปวดเศียรเวียนเกล้าเพียงใดแต่เรื่องนี้เขาเองก็ยากจะบรรยายออกมาได้ มู่อิ้งเทียนนั่นฉลาดเลิศล้ำมาตั้งแต่เด็ก เรื่องบางอย่างที่เด็กหนุ่มกระทำล้วนมีความหมายแฝงทั้งนั้น ขาทำสิ่งใกก็ฃ้วนจะมีเหตุและผลตามาเสมอ

ที่ชายชราย้อนคิดถึงเรื่องนี้ก็เพราะว่า เรื่องราวนี้เป็นตัวบ่งบอกว่าถ้าหากมู่อิ้งเทียนคิดจะควบคุมและสานต่อหน้าที่ผู้นำตระกูลมุ่รุ่นต่อไป มันคงจะเป็นเรื่องง่ายสำหรับเด็กหนุ่ม

ทว่าหลานชายที่เขาคาดหวังสุดหัวใจผู้นี้กลับปฏิเสธเรื่องนี้ตั้งแต่สามปีก่อนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

ด้วยเหตุผลที่ว่าเขาขี้เกียจนำตระกูล!

แค่นั่นยังไม่พอเพราะเรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่ ตามกฏของสำนักคนที่จะสืบทอดคนต่อไปต้องเป็นมู่อิ้งเทียนแต่ในเมื่อเขาไม่อยากที่จะเป็น นับตั้งแต่วันนั้นมู่อิ้งเทียนเลยหยุดที่ฝึกวิชา เพื่อที่จะลดความโดดเด่นจากในตระกูลของตัวเองลง และโยนภาระหน้าที่ไไปให้น้องายของตนที่ห่างกันหนึ่งปีแทน

ช่างเป็นเจ้ามารน้อย จนเขาหมดคำจะพูดจริงๆ!

"เจ้าไม่คิดจะสานต่อเป็นผู้นำตระกูลมู่จริงๆ?" ชายชรากล่าวถามหยั่งเชิงออกไปแม้ว่าภายในใจจะรู้คำตอบอยู่ตั้งแต่แรกแล้ว

มู่อิ้งเทียนวางถ้วยชากรุ่นในมือลง พูดในสิ่งที่ชายชราคาดออกมา

"ท่านก็รู้ว่าข้าตัดสินใจไปแล้ว"

เห็นใบหน้าของหลานรักตนเองที่ยังคงยืนยันเป็นเสียงเดิม ชายชราก็ยิ้มขื่นและถอนหายใจเอาความทุกข์ออกมาเป็นรอบที่ร้อย เพราะรู้ดีว่าเมื่อหลานชายกล่าวออกมาเช่นนี้ถ้าแบบนั้นการจะเปลี่ยนความคิดเจ้ามารน้อยที่สุดแสนจะเจ้าเล่ห์ผู้นี้คงยากกว่าปีนป่านสวรรค์เสียอีก

"อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าคงจะวางแผนเอาไว้หมดแล้วงั้นสิ จึงส่งเวยหลินไปที่สำนักหมื่นเมฆาตั้งแต่แรก เพราะคิดว่าสำนักที่มีสัมพันธ์ดีที่สุดคงจะได้รับการสนับสนุนจากภายในตระกูลมากที่สุด "

เวยหลินคือน้องชายต่างมารดาที่มู่อิ้งเทียนให้ความสำคัญไม่ต่างจากน้องชายแท้ๆของตัวเอง ถ้าจะให้พูดชีวิตของเวยหลินไม่เคยที่จะขัดคำสั่งของมู่อิ่งเทียนเลยสักครั้งเพราะเด็กหนุ่มผู้นั้นเองก็มองตัวตนของมู่อิ้งเทียนเป็นพระเจ้าไปตั้งนานแล้ว ถ้ามู่อิ้งเทียนสั่บงให้ไปทางทิศตะวันออกเวยหลินไม่มีทางเดินไปทิศตะวันตกแน่ ดีไม่ดีตังแต่ที่เห็นว่าเวยหลินนับถือตนเองดั่งพระเจ้าเ่นนั่น เรื่องของการโยนภาระนำตระกูลก็คงจะถูกวางแผนมาตั้งแต่แรกแล้วก็ได้

มุ่อิ้งเทียนทำสีหน้าขี้เล่น

"ท่านคิดมากไปแล้ว"

การปฏิเสะเช่นนี้ไร้ความน่าเชื่อถือถึงอย่างที่สุด ชายชราไม่อยากจะเถียงเรื่องนี้อีกจึงพุ่งประเด็นไปที่เรื่องอื่นแทน

"อีกหนึ่งเดือนเวยหลินก็จะเข้าพิธีหมั่นหมายกับคนของสำนักพิรุณสวรรค์แล้ว เรื่องนี้เองก็คงจะเป็นสิ่งสำคัญที่คนในตระกูลเลือกเวยหลินแทนเจ้า เจ้าคงจะคิดเช่นนี้อยู่ละมั้ง"

เมื่อถูกท่านปู่ของตนเองอ่านความคิดออก มู่อิ้งเทียนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มยียวนเป็นคำตอบ จนชายชราอยากจะที่จะตบกระโหลกเข้าให้ซักที

มือขาวหยกของมู่อิ้งเทียน ลูบคมถ้วยน้ำชาของตนเองเบาๆก่อนจะเอ่ยความคิดส่วนหนึ่งของตนเองออกมาเพื่อให้ท่านปู่สบายใจว่า

"อย่าคิดว่าแค่เรื่องที่ข้าขี้เกียจรับหน้าที่ผู้นำตระกูลอย่างเดียว และจะโยนภาาระไปให้น้องชายของข้าเพราะเป็นคนที่ข้าสนิทสนมที่สุดในตระกูลเท่านั่น การสืบทอดตระกูลข้าเองก็คิดอย่างถี้ถ้วนแล้ว หากจะว่าใครที่เหมาะสมที่สุดในตระกูลของเรา ข้าคิดว่าคงไม่พ้นเวยหลินกับอิงหยาน ทว่าหากให้เลือกเวยหลิงนั่นเข้มแข็งและกล้าตัดสินใจ แถมยังรับผิดชอบต่อหน้าที่ได้ดี มีความเด็ดเดี่ยวกว่าอิงหยานที่มีนิสัยรักอิสระมากกว่า ข้าจึงเลือกเขา"

เขาสบตากับมู่ฉางเจี่ยด้วยแววตาที่ปราศจากความขี้เล่นและยียวน ในนั้นมีเพียงความเชื่อมั่นและมั่นใจในตนเองอยู่มากมาย ราวกับจะบอกต่อมู่ฉางเจี่ยว่า ให้เชื่อในตัวเขาเพราะตั้งแต่ที่เขาเกิดขึ้นมาบนโลก เขาไม่เคยทำอะไรผิดพลาดเลยสักครั้งเดียว!

มู่ฉางเจี่ยที่เห็นแววตาเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยอมแพ้ขึ้นมา เขายิ้มขื่นทำให้ใบหน้าที่เริ่มจะเหี่ยวย่นไปมากแล้วดูดีขึ้นกว่าเก่า

"ก็ได้ ข้าจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก" ชายชรากล่าวยอมแพ้ออกมาจริงๆ จนมู่อิ้งเทียน ต้องรู้สึกแปลกใจเพราะท่านปู่ขี้ตืดของเขาเป็นคนหัวรั่นคนหนึ่งที่ไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ เรื่องการสืบทอดเป็นเรื่องใหญ่ แม้แต่เขาเองก็คิดอย่างถี้ถ้วนมาตั้งนานแล้ว คำนวณถึงผลได้ผลเสียมาตั้งกี่ร้อยรอบผลที่ดีที่สุดเองก็คือผลลัพท์แบบนี้ก็จริง

แต่คนลิขิตหรือจะสู้ฟ้าคำนวณ แม้ว่าเขาจะวางแผนมามากมายเพียงใด เรื่องบังเอิญก็สามารถเกิดขึ้นมาได้เสมอ ท่านปู่ของเขาคงจะคิดเช่นนี้เหมือนกันจึงได้คะยักคะยอให้เขาสานต่อผู้นำตระกูลด้วยตนเอง ไม่ใช่ว่าเพราะเวยหลินมีศักยภาพไม่พอ

แต่เป็นเพราะ มู่อิ้งเทียนมีศักยภาพมากกว่า!

ช่วงเวลาที่มู่อิ้งเทียน อยู่ในภวังค์ความคิดนี้เอง ที่มู่ฉางเจี่ย มองเห็นว่าแววตาของหลานชายของตนเองมีคลื่นระรอกอะไรบางสิ่งผุดขึ้นมา เขาก็สามารถเข้าใจได้ในทันทีว่ามีบางสิ่งที่แม้แต่คนที่ทำอะไรก็ได้อย่างมู่อิ้งเทียนต้องขบคิด และไม่สามารถแก้ไขได้โดยง่าย

"อิ้งเทียน" เขาเอ่ยชื่อหลานรักขึ้นมาเบาๆ

มู่อิ้งเทียนเงยหน้าขึ้นมามองปู่ของตนอย่างช้าๆทว่ายังสามารถมองเห็นได้ว่าเขายังคงอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง ทันใดนั้นคำถามที่เขาไม่เคยคิดจะถามหลานชายของตนเองตลอดสิบห้าปีนี้ก็ถูกเอ่ยออกมา

"เจ้าอยากจะทำอะไรกันแน่?"

ทำไมถึงเป็นเวลานี้ ในสถานที่ที่มีเพียงหนังสือรอบด้านและมีเพียงแสงไฟจากเทียนเล็กเท่านั้นเขาก็ไม่ทราบ แต่เขาแค่อยากจะยืนยันให้แน่ใจว่าหลานชายของตนเองนั่นคิดอะไรอยู่

มู่อิ้งเทียนที่ได้ฟังก็หลุดออกจากภวังงค์ และก็อดไม่ได้ที่จะทำสีหน้าสับสนออกมาเป็นครั้งแรก จนชายชราตกใจว่าหลานชายที่ฉลาดเฉลียวเป็นเลิศคนนี้ก็ยังงสามารถทำสีหน้างุนงนและสับสนได้เช่นกัน เขารู้สึกขำและสะใจอยู่ในใจก่อนจะขยายความไปว่า

"การที่เจ้าวางแผนการเช่นนี้ หรือพฤติกรรมแปลกประหลาดของเจ้าในช่วงเวลาหลายปีมานี้ ล้วนต้องมีเหตุผลเป็นแน่ หรือาจจะบางทีคำตอบเหล่านั้นหลานชายของเขาอาจะเป็นคนพูดออกมาเองในสักวัน

มู่อิ้งเทียนเปิดปากราวกับอยากจะพูดอะไรออกมา แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเงียบ ก่อนที่จะส่งยิ้มอ่อนโญนมาให้มู่ฉางเจี่ยแทน การที่ไม่ได้รับคำตอบนี่ก็ถือว่าเป็นคำตอบเช่นกัน ชายชรายิ้มมุมปากก่อนจะลุกขึ้นยืนอีกครั้ง

"ข้าคงต้องไปดูความราบรื่นของการทดสอบในปีนี้สักหน่อย เรื่องที่เจ้าคิดจะพูดถ้าหากถึงเวลาที่อยากจะบอกก็อยากจะบอกเถอะ"

ชายชราทิ้งท้ายไว้เช่นนั่น ก่อนจะลุกเดินจากไป แต่มู่อิ้งเทียนกลับนั่งอยู่กับที่คอยคิดคำถามเมื่อครู่ของท่านปู่ของตนเองไปมา ก่อนที่เขาจะยิ้มขื่นเพราะไม่คิดว่าท่านปู่จะมองสิ่งใดในความคิดของเขาออก

"อิ้งเทียน"

ก่อนที่จะก้าวออกจากประตู มู่ฉางเจี่ยก็เอ่ยคำพูดออกมาอีกครั้งในท้วงท่าที่ไม่คิดจะหันหลังกลับมามอง มู่อิ้งเทียนหันไปมองแผ่นหลังกว้างที่เริ่มชราภาพของปุ่ของเขาอีกครั้ง

"เจ้าคือหลานชายของข้า เจ้าอยากจะทำอะไรข้าพร้อมจะสนับสนุนอยุ่เสมอ อย่าลืมซะเล่า"

พูดจบก็เดินจากไป ปล่อยให้มู่อิ้งเทียนที่ตอนแรกสับสนในความคิดอดยิ้มมุมปากออกมาไม่ได้

"ช่างเป็นการพูดปลุกใจที่ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ"