ท้องฟ้านภาในวันนี้สดใสราวผ่านการชำระล้าง
ในช่วงท้ายของฤดูวสันต์ ใบไม้สีอ่อนถูกสายลมโชยพัดล่องลอยไปมาบนอากาศ
แมกไม้ผืนป่าอันกว้างใหญ่ไพศาล เสียงขับขานของนกปรอดดังระยิบ ทุ่งหญ้าสีเขียวกว้างใหญ่ปูเป็นพรมจากชายป่าจรดผืนน้ำสะท้อนแสงวิบวับ ดอกหญ้าสีอ่อนเอนพลิ้วปลิวไล่เป็นลอนลูกคลื่นยามลมพัดพา
ท่ามกลามอัสดง สายลมหนาวกลับกลายเป็นอบอุ่น ผืนทะเลสาบสีมรกตสะท้อนแสงงดงามน่าหลงใหล พฤกษามากมายงอกเงยพลิ้วกระจ่าง ไพรพงดงเถื่อนอวลตลบ แม้กระทั้งอุทุมพรสีขาวกลางทะเลสาบยังตูมดอกงอกงามอย่างไร้ที่ติ
มองลงไปตามทางสายน้ำที่คดเคี้ยว บนริมแม่น้ำสายนั้นจะมองเห็นร่างของชายชราผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนผืนหญ้าสีสีเขียวอ่อน ชายชราผู้นั้นไม่ขยับไหวติงราวกับรูปปั้นหิน ดูทั้งแปลกแยกและกลมกลืนไปกับธรรมชาติเช่นเดียวกัน
ยามสายลมพัดผ่าน เส้นผมสีขาวของชายชราก็พริ้วไสวเหมือนเมฆที่เคลื่อนไปตามท้องฟ้า ยามที่เขาเปิดตา นัยน์ตาสีดำหมึกของชายชราผู้นั้นก็สาดประกายลึกล้ำราวดวงดาราในม่านราตรีที่ไร้ซึ่งแสงเดือนดาว ทั้งว่างเปล่าและลึกล้ำน่าค้นหา
สายตาที่ว่างเปล่าคู่นั้นกำลังจ้องมองไปยังทะเลสาบเบื้องหน้าอย่างเงียบสงบ หากผู้อื่นมองมาที่ชายชราผู้นี้ จะรับรู้ได้ถึงความลึกล้ำที่แผ่ออกมาโดยธรรมชาติ มันคือความลึกล้ำที่จะแผ่ซ่านออกมาจากคนที่ผ่านการใช้ชีวิตมาเนิ่นนานแล้วเท่านั้น
ทันใดนั้น สายลมโชยก็พลันหยุดนิ่ง ใบไม้ที่ปลิวพลิ้วไสวเมื่อครั้นปราศจากแรงส่งก็ร่วงโรยลงสู่พื้นดิน แลเห็นใบไม้ดำแดงร่วงคลุมผมหงอกขาว ราวร่างนั้นผสานเป็นหนึ่งกับธรรมชาติไปเสียแล้ว
หลังสายลมหยุดพัด ร่างชราที่นั่งนิ่งก็ปรากฏการเคลื่อนไหว อกบางสะท้านขึ้นก่อนจะค่อยๆยุบลง แสดงถึงการสูดหายใจเข้าออกช้าๆ ปล่อยให้ไอพลังธรรมชาติรอบตัวไหลเวียนเข้าสู่ร่างกาย
เขาค่อยๆหลับตาลง รับความรู้สึกคล้ายผืนดินกับร่างกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน สองมือเหี่ยวย่นผสานมุทรากันตรงใต้สะดือ ฉับพลัน ร่างของชายชราก็สั่นสะท้าน อากาศรอบกายคล้ายเห่อร้อนขึ้น หากมองด้วยตาเปล่า จะเห็นว่าอากาศรอบตัวของชายชราผู้นี้เริ่มจะบิดเบือน ใบไม้สีเหลืองแดงเริ่มก่อตัวกัน คล้ายถูกแรงดึงดูดจากพลังงานบางอย่างที่แผ่ออกมาจากชายชราผู้นี้
บนหน้าผากเหี่ยวย่นปรากฏเหงื่อเย็น เขาขบกรามจนฟันในปากแทบจะแตกทลาย บ่งบอกถึงความเจ็บปวดทรมานที่บุรุษสูงวัยผู้นี้ฝืนสะกดเอาไว้โดยไม่ต้องส่งเสียง ฝ่ามือและฝ่าเท้าเริ่มปรากฏริ้วเลือดสีดำแปลกประหลาดแล่นไหลขึ้นมาทั่วร่างกาย แม้กระทั้งใบหน้าก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีดำ ชายชราได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเองที่รุนแรงขึ้น หัวใจยิ่งนานก็ยิ่งบีบรัดจนเจ็บหน้าอกไปหมด
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป อีกไม่นานร่างกายที่ชราภาพคงทนความเจ็บปวดไม่ไหวและคงจะทำให้ธาตุไฟเข้าแทรกจนตาย
เขารู้ตัวดี จึงเปลี่ยนรูปแบบฝ่ามืออย่างรวดเร็ว เห็นว่าสองฝ่ามือเริ่มมีความผันผวนสีดำราวกับเถ้าถ่านไหลเวียนผ่าน ในกายพาโคจรตบะอันน้อยนิดไปทั่วร่าง ส่วนฝ่ามือทำท่ามุทรา
ชายชรากระตุ้นร่างกายตนเอง ฝืนให้อวัยวะภายในทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยอาศัยพลังธรรมชาติรอบตัวไล่ต้อนสิ่งสกปรกภายในร่าง ให้ไปรวมในจุดๆเดียวกัน ก่อนจะขับไอพิษออกมาทางทวารทั้งห้า
ผ่านไปหนึ่งก้านธูป สีหน้าของชายชราก็เริ่มซีดขาวไร้เลือด ทันใดนั้นก็พลันกระอักโลหิตสดออกจากปาก เปอะเปื้อนไปผืนหญ้าเบื้องหน้า หากสังเกตดูให้ดี โลหิตที่ถูกพ่นออกมาจะดูเข้มกว่าโลหิตของคนปกติ ผืนหญ้าที่โดนเลือดหยดใส่ห่อเหี่ยวลงคล้ายถูกพิษ ส่งกลิ่นเหม็นฉุนแสบๆจมูกออกมา
พริบตา ดวงตาของชายชราก็พลันเปิดออก โลหิตสีดำไหลออกมาบนมุมปาก มือหนึ่งหยิบเอาลูกยาที่มีขนาดเท่ากับเล็บมือ ใส่เข้าไปในปาก ตามด้วยสมุนไพรที่คล้ายกับหยกและรากไม้ ใช้ฟันบดให้แตกละเอียด ความเย็นสายหนึ่งเกิดจากสมุนไพรในปาก ไหลลงสู่กระเพาะอาหาร ก่อนจะกระจายไปทั่วทั้งร่าง หลังจากนั้นราวหนึ่งก้านธูป ร่างจึงค่อยๆซึมซับสรรพคุณในตัวยา ใบหน้าซีดจึงเริ่มมีเลือดไหลเวียนอีกครั้ง ทว่าก็ยังคงดูซีดขาวราวผีดิบเช่นเดิม
ความผันผวนรอบกายของชายชราเริ่มจะสงบลงช้าๆ จึงเปลี่ยนรูปแบบฝ่ามือไล่ความร้อนของร่างกายออก นัยน์ตาสีดำสนิทมืดมิดราวค่ำคืนพราวเริ่มกลับมากระจ่างใสอีกครั้ง ใบหน้าที่มีทั้งริ้วรอยตามกาลเวลาและความปลงอนิจจัง เริ่มยกยิ้มอย่างเหนื่อยหอบ ราวกับความเจ็บปวดเมื่อครู่ไม่อาจนำพาสิ่งใดไปจากเขาได้
เขายกฝ่ามือเช็ดเลือดที่ไหลออกมาจากมุมปาก ก่อนจะเริ่มไอโขลกช้าๆ เสียงหอบหายใจที่รุนแรงเริ่มสงบลง มือหนึ่งกุมหัวใจที่เต้นเร็วแรงคล้ายกับจะพรากชีวิตของตนเองเอาไว้
สุดท้ายสองตาดำขลับของเขาก็กลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง ดูเหมือนว่าเขาจะผ่านพ้นขีดอันตรายมาแล้ว
ผ่านไปซักพัก ชายชราในชุดสีขาวสะอาดก็ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ ปัดเอาใบไม้ที่หล่นใส่ศีรษะตนออกไปเบาๆ มือหนึ่งถือตะกร้าใส่ผ้าที่พึ่งซักจนจากธารน้ำ มือหนึ่งถือตะกร้าไผ่ ซึ่งภายในมีผลไม้ป่าหลายผลเอาไว้
ชายชราพยายามก้าวเดินอย่างช้าๆ ทีละก้าว หากมีใครมองมาที่ชายชราคนนี้คงจะไม่พบสิ่งปกติต่างจากคนทั่วไปมากนักหากว่ามองไม่เห็นว่ารอบกายของชายชรามีซากของร่างมนุษย์นอนแน่นิ่งเกลื่อนกลาดอยู่ข้างกายนับสิบ
ชายขราใบหน้าสงบนิ่งเดินก้าวผ่านกองศพที่ถูกสังหารอย่างโหดเหี้ยมด้วยน้ำมือของตนเอง
เขามาจนถึงริมแม่น้ำ จากนั้นก็ย่อเข่าลง มองไปบนแสงสะท้อนตรงผิวน้ำที่สะท้อนใบหน้าที่มีรอยย่นยับราวกับกองโคลนที่แตกแขนง เสมือนว่าบ่งบอกถึงช่วงเวลาชีวิตที่เหลืออยู่ของมัน
มันค่อยๆนั่งลงบนหิน ชำระล้างคราบโลหิตบนร่าง ปล่อยให้ลมธรรมชาติปัดเป่าเม็ดเหงื่อจนแห้ง จนเมื่อลมหายใจพลันกลับมาสงบนิ่ง มันก็มองทอดยาวออกไป
ในดวงตาที่ว่างเปล่าก็ปรากฏภูเขา แม่น้ำ ต้นไม้ใบหญ้า ทุกสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าคือภาพลวงตา ผ่านกาลเวลาที่เหมือนไฟหลอมละลายทุกสิ่ง ไม่นานก็ต้องดับสูญสลายไปหมดสิ้น ไม่อาจหนีพ้น
และเขาก็รู้ ชีวิตของเขามีเวลาเหลือไม่มากอีกแล้ว
ในแววตาอบอุ่นที่สะท้อนภาพของแม่น้ำตรงหน้าเหมือนจะฉายภาพอดีตที่ย้อนหวนมาในความทรงจำ คล้ายกับสัมผัสได้ถึงรสชาติที่มิอาจได้ลิ้มลองอีกเป็นครั้งที่สอง
ทั้งชีวิตของคนเราแสวงหาเพียงความสุข วัยเด็กมันเล่นเพื่อออกหาความสนุกสนาน วัยหนุ่มบ้างคึกคะนอง บ้างมองหาสตรีแรกแย้มครองคู่ บ้างตามการผจญภัยอันน่าตื่นเต้น วัยกลางคนมันต้องการเงินทองเพื่อความสุขในบั้นปลายชีวิต
แต่พอมาถึงจุดนี้ ทุกความปรารถนาล้วนหายไปในอากาศ สิ่งที่มันต้องการมีเพียงสิ่งเดียวและเป็นสิ่งที่เรียบง่ายที่สุด และผู้คนมักจะหลงลืมมันไปในชั่วทั้งชีวิตของตนเอง เป็นสิ่งง่ายๆที่เรียกว่า "ความสงบสุข"
มันเกิดขึ้นเมื่อหลายปีก่อนที่ชายชราตระหนักได้ว่า
"ฟ้าดินคือเฉียงคุน หยิงหยางไร้จุดสิ้นสุด ตัวข้าเกิดมาแล้วจึงต้องดับไปเป็นเรื่องธรรมดา นี่คือกฏเกณฑ์นี่คือความนุติธรรมที่ไม่อาจเลี่ยง"ยิ่งแก่ตัวลงข้าก็ยิ่งเข้าใจ ยิ่งไร้กังวล มองกลับไปไม่อาจทำตามสิ่งที่ไฝ่ฝัน เรื่องที่ไม่เคยนึกเสียดายในวัยเยาว์ บัดนี้กลับมาเสียดายมิอาจย้อนกลับไปแก้ไขได้ เช่นนั้นจึงต้องปล่อยวาง ปล่อยให้สังขารพาเราไป เมื่อนั้นจึงจะสงบสุข ""
ตอนนี้ในที่สุดมันก็เข้าใจอย่างลึกซึ้ง มนุษย์เราเมื่อใกล้ถึงคราวตาย ไยต้องหวาดกลัว มีสิ่งใดบ้างที่ไม่ดับสูญ คนไม่มีความสามารถรั้งความตายเอาไว้ได้ ไม่ว่าจะใครก็ตาม นั่นคือความยุติธรรมของสิ่งมีชีวิต
แม้ว่าบางสิ่งอาจจะไม่สามารถสมปรารถนาได้ แต่ก็ไม่สามารถปราถนาที่จะทำได้อีกแล้ว
ชายชราก้มลงล้างหน้าในแม่น้ำ แลเห็นดวงตาพร่ามัวคู่นั้นสะท้อนอยู่บนผิวน้ำ เป็นดวงตาที่สะกดความโดดเดี่ยวและอ้างว้างอยู่ภายใน แต่สุดท้ายชายชราก็เลือกที่จะหลับตาลง หนีจากความเป็นจริงที่สะท้อนอยู่ตรงหน้า
"ทว่าตอนนี้ข้าจะยังตายไม่ได้"
ชายขรายิ้มขื่น เมื่อสัมผัสได้ถึงบางสิ่งเบื้องหลังตนเองก่อนจะกลับหลังไปมองผืนป่าใหญ่เบื้องหลัง ที่ยามนี่เต็มไปด้วยร่างของบุลคลในชุดสีดำบ้างยืนอยู่ในดงไม้ บ้างยืนอยู่บนกระบี่ในอากาศ หนึ่งในบุลคลชุดดำนั่นเมื่อกวาดสายตามองไปเห็นซากศพที่กองอยู่บนพื้นความหวาดกลัวของแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่างเมื่อมองไปยัง ชายชราที่มีท่าทีอ่อนแอจากเปลือกนอกแต่ภายในคือมารร้ายที่หลบหนีมาจากชั้นสูงของธารเทวะอุดร
ชายชุดดำนั่นส่งสัญญาณมือไม่ให้พวกของตนพลีพลาม ก่อนจะปลุกใจตนเองตะโกนกล่าวไปว่า
"เฒ่ามารกระดาษ หากท่านมอบสิ่งของคืนมาเจ้าสำนักของข้าจะให้สัญญากับท่านว่าเราจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับท่านอีก!"
ชายชราเมื่อรับฟังก็ยิ้มออกมา สถานการณ์ถูกแช่แข็งโดยสมบูรณ์ สิ่งที่กล่าวออกมานั่นแม้แต่ทารกยังไม่เชื่อถือ มีหรือที่เขาเองจะยอมตกลง
"เรื่องราวปานปลายมาจนถึงขั้นนี้ เจ้าก็น่าจะรู้ว่าการเจรจาคงจะไม่สามารถยุติความขัดแย้งระหว่างเราได้" ชายชราเริ่มที่จะคลายยิ้มอ่อนโยนลง น้ำเสียงจากที่นุ่มนวลเริ่มเย็นเฉียบขึ้น เขาหันสายตาสีหมึกที่ยามนี่ราวกับกำลังหมุนวนไปด้วยพลังมารไปด้านข้างช้าๆ ความอ่อนโยนเมื่อครู่ถูกปกคลุมไปด้วยจิตสังหารลึกล้ำ
ทันใดนั่น ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดเพียงหนึ่งกระพริบตา พื้นที่ด้านหลังของชายชราก็ปรากฏกระบี่ที่สะท้อนแสงอาทิตย์ขึ้นมาจากความว่างเปล่า ก่อนที่ตัวกระบี่และบุรุษในชุดขาวคนหนึ่งจะเผยโฉมออกมา การลอบโจมตีครั้งนี้ถูกวางแผนออกมาเป็นอย่างดี
ชั่ววินาทีที่ใบกระบี่จะฟาดฟันเข้าสู้ลำคอด้านหลังของชายชรา ทุกคนที่อยู่ในบริเวณต่างก็กลั้นหายใจนั่น เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อตัวกระบี่ที่เสริมพลังลมปราณสัมผัสเข้ากับผิวหนังของขายชรา ร่างของชายชราก็สบายการเป็นสายหมอกสีดำ
"อะไรกัน-!" บุรุษที่ลอบสังหารไม่คาดคิดว่าเฒ่ามารจะหลบการโจมตีนี่พ้นก็สัมผัสได้ถึงไอเย็นด้านหลังของตน ทว่าไม่ทันได้เคลื่อนไหวอะไรอีก ในกรอบตาของเขาอยู่ดีๆก็เห็นภาพของชายชรามาอยู่เบื้องหน้า
"ไม่คิดว่าคนของสำนักพิรุณสวรรค์ที่สามารถใช้เคล็ดวิชาวิชาเงาลวงตาได้จะมาเยือนถึงขั้นที่ห้าของมหาพิภพ ดูเหมือนว่าสำนักธรรมะเบื้องหน้าทั้งหลายคงจะอยากได้วิชามารจนเนื้อเต้นเลยสินะ" เสียงราบเรียบของชายชราดังขึ้นในขณะที่สองมือของตัวบิดศีรษะของชายลอบสังหารกลับมาข้างหลัง
ก่อนที่เขาจะใช้สองมือล้วงเข้าไปในปากของชายที่ถูกบิดหัวและฉีกกระซากปากล่างออกมา ร่างไร้วิญญาณล้มไปข้างๆท่ามกลางความหวาดกลัวของผู้คน
การตายนี้กล่าวมาเหมือนนานแต่ที่จริงแล้วเกิดขึ้นเพียงแค่สามกระพริบตาเท่านั่น การฆ่าอันโหดเหี้ยมที่สมคำล่ำลือของเฒ่ามารก็เป็นที่ประจักษ์แก่สายตาผู้คน
ชายชรายิ้มแต่ตาไม่ยิ้ม สะบัดเลือดที่ติดบนฝ่ามือเหี่ยวย่นออก
"ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะไม่ได้มาเพื่อเจรจาอย่างที่กล่าวเอาไว้จริงๆ"
เพราะการสังหารโหดเมื่อครู้ที่แสดงให้เห็นถึงความต่างชั้นของพลังฝีมือก็ทำให้เหล่าผู้ที่มาลอบสังหารชายชราตรงหน้าเริ่มที่ตะหวั่นในใจ แต่คนที่เป็นหัวหน้าก็กลืนน้ำลายใจดีสู้เสือกล่าวเสียงสั่นไปว่า
"อย่าได้ใจไปเลย หวังเฟิงหวั่น! มารร้ายอย่างเจ้าไม่อาจหลบหนีไปได้แม้ว่าพวกข้าจะหยุดเจ้าไม่ได้แต่อีกไม่นานเหล่าผู้อาวุโสและผู้มีชื่อเสียงในมหาพิภพจะมาตามล่าเจ้าอยู่ดี ไม่ว่าทางไหนเจ้าก็ต้องตายอย่างไม่อาจเลี่ยง!"
ชายชราหรี่ตาลง ก่อนที่จะยิ้มมุมปากอีกครั้ง ก่อนที่รอบตัวจะถูกปกคลุมไปด้วยความผันผวนสีดำ ผมขาวถูกกลืนกินกลานเป็นสีดำสนิท แม้แต่ดวงตาก็ไร้ตาขาวน้ำเสียงที่เคยอ่อนโยนกลายมาเป็นน้ำเสียงเย็นเฉียบดุจมารอเวจีจากขุมนรก
"ถ้างั้นพวกเจ้าก็อย่าได้หวังจะกลับไปอีกเลย" ทันใดนั้นร่างของชายชราก็พุ่งทะยานราสกับธนูที่ออกจากแล่ง
เมื่อได้เห็นภาพตรงหน้าที่ราวกับพญามารลงมาจุติ มีหรือที่เหล่าคนที่หวั่นกลัวอยู่ตั้งแต่แรกจะกล้าสู้ มีเพียงหัวหน้าชุดดำเท่านั่นที่ตะโกนออกมาสุดเสียง
"เข้าไป! อย่าให้มารสกปรกข่มขู่เอาได้ ร่างของมันบาดเจ็บจากการถูกตามล่ามาเป็นเวลานานหากเราช่วยกันสู้ ต้องมีโอกาศชนะแน่ เพราะงั้นอย่าไปกลัว!"
เมื่อได้ฟังเหล่ายอดฝีมือก็เริ่มตั้งสติได้ ก่อนที่ความผันผวนมากมายจะปะทุออกมาราวกับคลื่นสมุทร ทุกคนในที่นั่นต่างกัดฟันกุมอาวุธในมือพุ่งทะยานเข้าไปหาร่างของมารร้ายตรงหน้า
ดั่งสายน้ำที่ไหลไปตามทาง เพียงแค่ชั่วหนึ่งก้านธูป ร่างของผู้คนที่พุ่งทะยานเข้าไปก็ก็ถูกเข่นฆ่าอย่างไร้ทางขัดขืนโดยจอมมารที่อยู่ตรงหน้า
ศีรษะ แขนขาถูกฉีกกระฉากออกมาอย่างกับปศุสัตว์ที่ถูกเชือด เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ฝูงนกและสัตว์ป่ายังไม่กล้าเข้าใกล้การต่อสู้นองเลือดนี้
ท้ายที่สุดร่างของชายชราที่ยามนี้ขุดสีขาวถูกย้อมเป็นสีดำไปด้วนโลหิตก็ยืนอยู่ท่ามกลางทะเลโลหิตและกองซากศพ
"เจ้า..ไม่ทีทางหนีพ้น.." คนที่พูดออกมาคือร่างที่ไร้แขนขาของชายชุดดำที่เป็นหัวหน้าเมื่อครู่ ยามนี้สภาพของมันไม่ต่างอะไรกับซากศพที่ยังมีชีวิต แต่มันก็ยังพยายามที่จะพูดและแสยะยิ้มสุดสยองออกมา
" สิ่งที่เจ้าครอบครองจะดึงดูดผู้คนจากทั่วทั้งมหาพิภพ พวกมันจะออกตามล่าเจ้าแม้ว่าเจ้าจะหลบไปใต้นรกก็จะถูกขุดขึ้นมา ฮ่าๆ"
ชายชราที่ใช้พลังไปมากยามนี้ก็รู้สึกเหนื่อยล้าไปทั้งล่าง เมื่อหันไปมองร่างที่ใกบ้จะดับสูญช้าๆ เขาก็กำหอกและเดินเข้าไปหาช้าๆ
เมื่อสัมผัสได้ว่าชายชราเดินเข้ามาใกล้ มันก็เริ่มที่จะแหกปาก" เหมือนกับลูกศิษย์เจ้าที่ถูกถลกหนังทั้งเป็น เหมือนกับภรรยาเจ้าที่ถูกตัดแขนตัดขา เหมือนกับเหล่าผู้ติดตามเจ้าที่ไม่มีที่ยืนอยู่บนแผ่นดินทั้งปวง สิ่งที่เจ้าครอบครองนั่นล้วนมีพลังที่จะนำพาหายนะมาให้ ไม่เว้นแม้แต่ผู้ที่ครอบครองมัน ฮ่าๆ"
ชายชรายืนมาหยุดอยู่ตรงร่างที่นอนแน่นิ่งบนพื้นแต่ก็ยังจะใช้พลังเฮือกสุดท้ายยิ้มอย่างบ้าคลั่ง
"เสียดายที่ข้าไม่ได้เห็นวันนั้น ฮ่าๆ"ท่ามกลางเสียงหัวเราะที่บ้าคลั่ง หอกในมือของชายชราจะแทงทะลุเข้าไปในช่องปากทำให้ฟันของมันหักเข้าไปด้านหลังส่วนปลายหอกทะลุลำคอจนศีรษะขาดออกจากกัน
รอบด้านพลันกลายมาเป็นสงบเงียบในทันที
"ข้ารู้" ชายชราพึมพำก่อนที่จะแหงนมองขึ้นไปบนฟ้าที่ยามนี้ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆดำทมิฬ
"เพราะเช่นนี้ข้าจึงต้องจากมา ทำในสิ่งที่ข้าเริ่มต้นให้สำเร็จ"
"เพราะเช่นนี้ข้าจึงจะยังตายไม่ได้"
เขาโยนหอกในมือทิ้ง ภายใต้แสงอาทิตย์สะท้อนทะเลสาบเบื้องหน้าแลดูพร่ามัว ชายชราเดินกลับหลังไปช้าๆ ข้ามผ่านกองซากศพที่กองพะเนินไปทีละศพด้วยแววตาที่ไม่ใครอ่านออก เห็นเพียงแผ่นหลังอันผอมบางที่ชุ่มไปด้วนเลือด ภาพเงาร่างนั้น ราวกับเทียนไขที่เคยโชกช่วงสว่างไสว ทว่ายามนี้ เทียนไขนั้นใกล้จะมอดดับ เทียนไขที่มิอาจหล่อหลอม กลับมาส่องแสงสว่างได้อีกครั้ง...