webnovel

1098 ยักษ์แห่งการเริ่มต้น

ตอนที่ 1098 ยักษ์แห่งการเริ่มต้น

เสียงฮัมจากการสั่นสะเทือนค่อยๆ ลดลงด้วยความเร็วที่ต่ำ

ยานอวกาศเหล็กกล้าลงจอดบนป้อมปราการแบนราบ

มีลานจอดเพื่อไว้รับยานอวกาศอยู่ด้านนอก

“ที่นี่มันที่ไหนหรือ” หลานซิ่วถาม

ซูเสวี่ยเอ้อร์ตอบว่า “ข้าไม่รู้ ข้ามีแผนที่ดารา ตำแหน่งสุดท้ายที่แสดงคือที่นี่ ตำแหน่งที่ทำเครื่องหมายไว้คือป้อมปราการสงคราม”

นางจ้องจอแสงก่อนออกคำสั่งอย่างรวดเร็วด้วยมือทั้งสองข้างเพื่อตรวจสอบการทำงานของทุกส่วนบนยานอวกาศ

ในที่สุด แถวการประเมินแสดงบนจอ

“ภาพรวมทำงานได้ดี”

“มีอะไหล่สำรองเพียงพอ ส่วนที่ได้รับความเสียหายกำลังอยู่ภายใต้การซ่อมแซมอัตโนมัติ”

“ประมาณเวลาในการทำงานซ่อมแซมสิบเจ็ดนาที ห้าสิบเก้าวินาที”

ซูเสวี่ยเอ้อร์ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

ยานอวกาศเหล็กกล้าลำนี้คือป้อมปราการสุดท้ายเพื่อเป็นหลักประกันความปลอดภัยของร่างกู่ฉิงซาน ดังนั้นจึงไม่น่ามีปัญหาอะไร

ฉ่าเฉียงกล่าวด้วยความสนใจว่า “ถ้านี่คือป้อมปราการสงคราม พวกเราน่าจะสามารถตามหาอาวุธเทคโนโลยีได้”

กู่เหยียนถามอย่างเย็นชาว่า “เจ้ารู้วิธีใช้อาวุธทางฝั่งเทคโนโลยีหรือ”

ฉ่าเฉียงประหลาดใจก่อนหัวเราะออกมา “ก็จริง ข้าไม่มีความอดทนกับเรื่องซับซ้อนพวกนี้!”

ซูเสวี่ยเอ้อร์ครุ่นคิดสักพักก่อนพยักหน้า “อำนาจของจักรวรรดิดารานับว่าดี ข้าขอลองดูก่อนว่าจะสามารถติดต่อกับป้อมปราการได้หรือเปล่า”

หลานซิ่วยักไหล่แล้วกล่าวว่า “ข้าได้ยินมาว่าผ่านมาหลายร้อยล้านปีแล้วนับตั้งแต่อาวุธทางฝั่งเทคโนโลยีจำเป็นต้องได้รับการรักษาซ่อมบำรุงบ่อยครั้ง ต่อให้มีอาวุธอยู่ข้างในจริง เกรงว่าพวกมันจะเป็นของที่ถูกทิ้งไว้”

ซูเสวี่ยเอ้อร์ยืนกรานว่า “ยังไงก็ต้องลอง กรณีที่มบางอย่างอยู่จริง มันก็จะกลายเป็นหลักประกันให้ความปลอดภัยของเราได้มากขึ้น”

นางเปิดเครื่องมือสื่อสารขณะพยายามค้นหาคลื่นติดต่อของป้อมปราการ

คนอื่นมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย

ตอนกู่ฉิงซานอยู่ที่นั่น เด็กผู้หญิงย่อมไม่แม้แต่จะสามารถต่อสู้ได้ นางทำได้เพียงไปอยู่ข้างหลังกู่ฉิงซาน

แต่ทันทีที่กู่ฉิงซานไปแล้ว นางจึงต้องเป็นผู้ตัดสินใจอีกครั้ง

ซูเสวี่ยเอ้อร์เปิดจอแสงด้วยมือทั้งสองข้างอย่างรวดเร็ว

ไม่ช้า

แถบเรืองแสงปรากฏขึ้นบนจอแสง

ในเวลาเดียวกัน เสียงโลหะเย็นเยือกดังขึ้น

“นี่คือป้อมปราการสงครามสุดท้าย โปรดประกาศตัวตนของท่านหากต้องการเข้ามา…”

“ข้าคือลูกหลานของจักรวรรดิดารา นามของข้าคือซูเสวี่ยเอ้อร์”

“ซูเสวี่ยเอ้อร์ เกราะศึกเคลื่อนที่ ‘นักสำรวจ’ ได้รับการเชื่อมต่อแล้ว โปรดยกมือขึ้นเพื่อให้ศูนย์ป้อมปราการยืนยันตัวตนของท่าน”

ลำแสงปรากฏขึ้นบนจอแสงขณะเลื่อนผ่านจออย่างต่อเนื่อง

ซูเสวี่ยเอ้อร์ยกมือขึ้น

แสงกวาดผ่านอยู่ใต้ฝ่ามือนาง

“การยืนยันตัวตนถูกต้อง ซูเสวี่ยเอ้อร์ ท่านคือลูกหลานของจักรวรรดิดารา”

“ตอนนี้ โปรดใส่กุญแจมรดกจักรวรรดิ”

ซูเสวี่ยเอ้อร์ตกตะลึง

กุญแจมรดกจักรวรรดิหรือ

นางไม่เคยได้ยินชื่อแบบนั้นมาก่อน

จักรวรรดิดาราแยกออกเป็นหลายกลุ่มนับไม่ถ้วน

บางทีที่เก้าคฤหาสน์ได้รับชุดคลุมเก้าดารามา กองกำลังอื่นอาจจะได้กุญแจมรดกไปก็ได้

นี่คือสิ่งที่คิดได้ง่ายๆ

“ข้าไม่มีกุญแจมรดกจักรวรรดิ” ซูเสวี่ยเอ้อร์ส่ายหน้า

“หากไม่มีกุญแจมรดกจักรวรรดิ ป้อมปราการสงครามนี้จะไม่ทำงาน” เสียงเย็นเยือกกล่าว

ซูเสวี่ยเอ้อร์รีบถามว่า “พวกข้าสามารถพักที่น่าได้หรือเปล่า”

“ท่านคือลูกหลานของจักรวรรดิดารา ย่อมมีสิทธิ์พัก”

ซูเสวี่ยเอ้อร์พยักหน้า

นางหันไปหาคนอื่นแล้วกล่าวว่า “ดูท่าป้อมปราการนี้จะไม่สามารถใช้งานได้ ทำให้ไม่สามารถเข้าไปได้ แต่อย่างน้อยก็ยังเอาไว้พักผ่อนได้อยู่”

ทุกคนก้มมองจากหน้าต่าง

ยอดป้อมปราการว่างเปล่ายิ่ง ราวกับจัตุรัสขนาดใหญ่นับไม่ถ้วนที่ประกบเข้าด้วยกัน

ในจัตุรัส มีบังเกอร์ทำจากเหล็กกล้าจำนวนมาก

แสงไฟจำนวนมากส่องแสงให้กับบังเกอร์อย่างต่อเนื่อง

นั่นคือภูต

พวกเขากำลังหมุนรอบรูปปั้นไม้อย่างต่อเนื่อง

ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่

คนนอกไม่มีทางเข้าใจการกระทำของภูตได้

พูดง่ายๆ มันสะดวกสบายมากพอที่จะให้ทุกคนได้พัก

“เยี่ยมเลย” ฉ่าเฉียงกล่าวอย่างตื่นเต้น “ถึงภายนอกยานอวกาศที่พังของพวกเราจะมีขนาดใหญ่ แต่พอมาอยู่ข้างในแล้วดูเล็กไปเลย ข้าอยากออกไปสูดอากาศสักหน่อย”

ทุกคนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

อย่าพูดไป รสนิยมของปีศาจเนี่ยแย่จริงๆ

บางคนชอบรสนิยมแบบนี้ แต่ก็เป็นแค่ส่วนน้อยเท่านั้น

แต่พวกปีศาจไม่ชอบใจตอนอยู่บนยานอวกาศมาก

กู่เหยียนและพวกปีศาจต้องพัวพันกับการต่อสู้ด้วยไฟแห่งการต่อสู้ตลอด

ทั้งสองฝ่ายจึงไม่สบายตัว

ซูเสวี่ยเอ้อร์อธิบายว่า “พื้นที่มีขนาดเล็กเพราะสถานที่ส่วนใหญ่มีการติดตั้งอุปกรณ์ต่อสู้เอาไว้น่ะ”

นางเปิดประตูยานอวกาศ

ไม่ช้าทุกคนลงจากยาน

หลานซิ่วหันมาถามว่า “แล้วเจ้าล่ะ ไม่ลงมาสักหน่อยหรือ”

ซูเสวี่ยเอ้อร์ส่ายหน้าแล้วตอบว่า “ข้าจะคุ้มกันที่นี่ ต้องตื่นตัวเข้าไว้”

หลานซิ่วพยักหน้าก่อนจากไปพร้อมลูกน้อง

ซูเสวี่ยเอ้อร์ปิดประตูก่อนจ้องจอแสงอย่างเหม่อลอย

การซ่อมยานอวกาศทั้งลำต้องใช้เวลา

ส่วนเรื่องการเตือนภัย ระบบการเตือนภัยของยานอวกาศเปิดทำงานตลอด

ดังนั้น ตอนนี้ยังไม่เป็นไร

ซูเสวี่ยเอ้อร์ลุกขึ้นก่อนเดินเข้าสู่ห้องด้านในสุดของห้องควบคุม

กู่ฉิงซานกองอยู่ที่นี่ ดวงตาหลับอยู่ราวกับกำลังนอนหลับ

ซูเสวี่ยเอ้อร์นั่งลงข้างกู่ฉิงซาน

นางจ้องกู่ฉิงซาน ดวงตาค่อยๆ อ่อนโยนลง

ไม่มีเสียงรอบข้าง

นางยังคงคุ้มกันเขาอย่างเงียบงัน

ร่างวิญญาณของกู่ฉิงซานกำลังเดินอยู่ท่ามกลางกำแพงหิน

มีทางเดินเพียงแค่ทางเดียว ไม่รู้ว่ามันนำไปที่ใด

เขาทำได้เพียงก้าวทะยานไปตามขั้นบันไดอย่างต่อเนื่อง

ใช้เวลาสองชั่วโมงในการเดินไปตามทางนี้ก่อนเส้นทางค่อยๆ กว้างขึ้น

กลุ่มเมฆขนาดใหญ่ปกคลุมเส้นทาง เป็นการยากจะมองเห็นทิศทาง

กู่ฉิงซานปล่อยจิตเทพออกไป

จิตเทพไม่สามารถทะลวงหมู่เมฆได้

เป็นไปไม่ได้ที่จะสำรวจเส้นทางที่ถูกปกคลุมในหมู่เมฆได้

เมื่อหันมองกลับไป เส้นทางกลับทอดยาวไปไกล มองไม่เห็นจุดสิ้นสุด

มาถึงที่นี่แล้ว หากไม่ได้อะไรติดมือไปก็คงกลับไม่ได้

กู่ฉิงซานถอนหายใจ หยิบดาบสองเล่มออกมา ถือพวกมันเอาไว้แล้วตวัดเข้าใส่หมู่เมฆ

จากนั้นตรงไปข้างหน้า

ตรงไปข้างหน้าโดยไม่มีอะไรปิดกั้น

อีกหนึ่งชั่วโมงผ่านไป

ตอนนี้ กู่ฉิงซานวิตกแล้ว

เพราะเขาสังหารลูกน้องของราชาโหมวลัวไปมากมาย อีกทั้งยังสังหารผู้ฝึกยุทธ์ในชิ้นส่วนโลกของยมโลกไปอีกด้วย เขาจึงทำให้อีกฝ่ายตกอยู่ในความโกรธ

ถ้าอีกฝ่ายรวบรวมกองกำลังที่สั่งสมไว้แล้วทุ่มกำลังทั้งหมดเพื่อมาแก้แค้น เช่นนั้นพวกซูเสวี่ยเอ้อร์ก็ตกอยู่ในอันตราย

ตอนนี้เขาทำได้เพียงภาวนาว่าคนเหล่านั้นจะไม่สามารถตามหาพวกซูเสวี่ยเอ้อร์ได้

แต่กู่ฉิงซานมีลางสังหรณ์บางอย่าง

ทางเดินลับคือสถานที่ของราชาโหมวลัว ต่อให้ผู้ฝึกยุทธ์เหล่านั้นจะไม่สามารถตามหาพวกซูเสวี่ยเอ้อร์เจอได้ แต่ราชาโหมวลัวย่อมต้องคิดมุมกลับอย่างแน่นอนว่า ต่อให้ราชาโหมวลัวจะจะไม่สามารถตามหาภูตได้ ผู้ฝึกยุทธ์จากชิ้นส่วนโลกของยมโลกอาจจะมีทางตามหาภูตจนเจอ

พูดง่ายๆ เขาต้องเร่งมือ

ด้วยความวิตกและความตึงเครียด กู่ฉิงซานเร่งความเร็ว

เขามุ่งตรงไปข้างหน้าไม่หยุด

ผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมง

ขณะกู่ฉิงซานกำลังจะหมดลมหายใจ หมู่เมฆที่ปกคลุมทางเดินพลันหายไป

เขาออกจากหมู่เมฆแล้ว!

นี่คือกระบวนการที่แทบไม่มีการกล่าวเตือน มันเกิดขึ้นไวมากจนกู่ฉิงซานรีบชักดาบสองเล่มมาตรงหน้าเพื่อป้องกันทุกการโจมตีที่เป็นไปได้

แต่ไม่ช้า เขาลดดาบลง

“อะไรเนี่ย… นี่มันที่ไหนกัน…”

กู่ฉิงซานพึมพำขณะมองรอบข้าง

เขาเห็นตัวเองยืนอยู่บนบันไดที่ยื่นออกไป มันคือขั้นสุดท้ายของบันไดแล้ว

มีหมู่เมฆปกคลุมรอบข้าง

ทะเลหมู่เมฆทอดยาวจากใต้เท้าของเขาไปยังทุกทิศทาง กระจายออกไปไกลสุดสายตา

เหนือทะเลหมู่เมฆ ความว่างเปล่าเข้าเติมเต็มจนสิ้น ไม่มีอะไรเลยนอกจากกู่ฉิงซาน

กู่ฉิงซานเงยหน้ามอง

ไม่มีอะไรจริงๆ แม้กระทั่งกำแพงก็หายไปแล้ว

หรือว่านี่จะเป็นนอกกำแพงแล้ว

แต่ทำไมที่นี่ถึงไม่มีอะไรเลยล่ะ

กู่ฉิงซานยืนอยู่บนขั้นบันไดขณะจมสู่ห้วงความคิด

เขาเหยียบลงไปบนขั้นบันไดใต้เท้า

การที่ใครบางคนก้าวจนมาถึงขั้นนี้ ย่อมต้องมีแรงจูงใจเสมอ

ขั้นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ไร้ความหมาย

เมื่อคิดได้เช่นนี้ กู่ฉิงซานสูดหายใจเข้าก่อนตะโกนว่า “มีใครอยู่ที่นี่ไหม”

อยู่ที่นี่ไหม

ที่นี่ไหม

ที่นี่ไหม

ไหมๆ

เป็นเวลาเนิ่นนานกว่าเสียงก้องจะค่อยๆ หายไป

ไม่มีคำตอบ

ขณะยืนอยู่บนยอดหมู่เมฆ จิตเทพไม่ถูกจำกัด กู่ฉิงซานปล่อยจิตเทพออกไปเพื่อตรวจสอบรอบข้าง

ยังไม่พบอะไร

กู่ฉิงซานยืนนิ่งสักพัก

ทันใดนั้น ทะเลหมู่เมฆปั่นป่วนอย่างรุนแรงก่อนก่อตัวเป็นวังวนขนาดใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลนัก

ศีรษะขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นจากวังวน

จากนั้นตามด้วยแขนหนึ่งคู่ที่เต็มไปด้วยรอยสัก

แขนของเขากดลงไปบนหมู่เมฆอย่างแรง ร่างกายท่อนบนพลันเผยออกมา

เมื่อร่างกายครึ่งหนึ่งถูกเผยอยู่เหนือเมฆ ตัวตนนั้นก็ไม่เคลื่อนไหวอีก

มันใช้เวลาหลายอึดใจก่อนก้มมองกู่ฉิงซาน

ไม่จริงน่า ร่างของอีกฝ่ายไม่ใช่เล็กๆ เลย น่าจะเท่าตึกสูงหลายสิบชั้น

กู่ฉิงซานมองอีกฝ่ายเช่นกัน

หนึ่งตา

หนึ่งเขา

ปากใหญ่

ร่างของเขาเต็มไปด้วยรอยสัก มีคลื่นพายุอยู่บนผิวของเขา

นี่คล้ายกับยักษ์ที่ไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน

ทำไมยักษ์ถึงมาปรากฏตัวในที่แบบนี้กันล่ะ

ไม่ใช่ว่าสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในทางเดินทางลับถูกสังหารโดยราชาโหมวลัวจนเหลือแต่ภูตที่อยู่รอดหรอกหรือ

กู่ฉิงซานสงสัย

ตอนนี้ ยักษ์หนึ่งตาหนึ่งเขาเริ่มพูด เสียงของมันยิ่งใหญ่และสั่นสะเทือนไปทั่วความว่างเปล่า

“ไม่ว่าจะเป็นมดหรือเทพ ทุกคนที่มาที่นี่มีชะตากรรมที่ทำให้ต้องมา ข้าได้เตรียมชะตากรรมให้เจ้าไว้แล้ว”

“แต่ก่อนอื่นเลย เจ้ามาเป็นคนที่สอง เจ้ากับข้าต้องรอให้คนแรกพบชะตากรรมก่อน”

เมื่อยักษ์พูดจบ มันหยุดมองกู่ฉิงซานก่อนหันไปมองอีกทางหนึ่ง

มันเริ่มรอจริงๆ

กู่ฉิงซานกำลังจะพูด แต่กลับเห็นแถวหิ่งห้อยขนาดเล็กบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

“ท่านได้เห็นยักษ์แห่งการเริ่มต้น มันคือยักษ์ตนแรกที่เกิดในโลกคู่ขนานนับพัน”

“ปกติแล้วยักษ์มีภูมิต้านทานการโจมตีด้วยเวทมนตร์ทั้งหมด เป็นอิสระจากการโจมตีกายภาพทั้งหมด มีสิทธิ์ที่จะผ่านหมู่เมฆ สามารถทำการแลกเปลี่ยนได้และไร้เทียมทาน”

“ข้อควรระวัง ท่านต้องสื่อสารด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง”

………………………………….