ตอนที่ 261 บ้าไปแล้ว
กู่ฉิงซานตบลงบนถุงสัมภาระ คว้าจับขวดหยกที่นางเซียนไป่ฮั่วส่งมอบมันมาให้แก่เขาเป็นพิเศษ แล้วเทเม็ดยารักษาทรงเมล็ดข้าวกลืนลงปากไป
มันคือตัวยาที่ดีที่สุดแล้วสำหรับการฟื้นฟูร่างกายในขณะนี้
ทันทีที่ยาเข้าไปในปาก มันก็แปรสภาพกลายเป็นกระแสธารบริสุทธิ์ไหลลงตามลำคอเข้าสู่ท้องทันที ก่อนจะเริ่มแพร่กระจายไปทั่วทั้งแขนขา
ความเจ็บปวดตามร่างกายลดฮวบลง ความอบอุ่นค่อยๆ ถูกแทรกเข้ามา เส้นชีพจรลมปราณก็ค่อยๆ กลับมาคงสภาพดีดังเดิม
ภายในตันเถียน เมื่อถูกปลอบประโลม พลังวิญญาณที่เดิมวิ่งพล่านอย่างเดือดดาลก็ค่อยๆ สงบลง
ร่างกายถูกรักษาอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นความเจ็บปวดทั้งหมดของเขาก็ค่อยๆ หายไป มันถูกแทนที่ด้วยอาการคันอย่างรุนแรง
ทว่าไม่ช้า อาการคันเหล่านั้นก็หายไป
ตอนนี้กู่ฉิงซานอยู่ในสภาวะบาดเจ็บแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
สมแล้วที่นี่เป็นถึงเม็ดยารักษาที่เข้าตานางเซียนไป่ฮั่ว จากนั้นนางจึงส่งผ่านต่อมาให้กู่ฉิงซาน มันช่างครอบครองสรรพคุณที่พิเศษ แตกต่างจากเม็ดยาธรรมดาทั่วไปจริงๆ
แต่น่าเสียดายที่ปริมาณมันน้อยเกินไป และมีเพียงแค่สองเม็ดเท่านั้น
กู่ฉิงซานปล่อยเรือเหาะให้ลอยลำขึ้น กระโจนขึ้นไปยืนเฝ้ามองสังเกตการณ์สนามรบจากเบื้องบนอย่างเงียบๆ
เขากวาดสายตาไปมาอย่างรวดเร็ว เพื่อต้องการที่จะสังเกตเห็นสถานการณ์การต่อสู้โดยรวมทั้งหมดอย่างชัดเจน
สำหรับในด้านการจู่โจมของเผ่ามนุษย์นั้นกล่าวได้ว่ามีประสิทธิภาพมาก บ่อยครั้งที่การโจมตีเดียวกลับสามารถฆ่าล้างชีวิตของเผ่ามารได้ในปริมาณมาก
ทว่าอย่างไรเสีย ปริมาณของเผ่ามารมันก็มีมากจนเกินไปอยู่ดี
กู่ฉิงซานมองไปยังผู้ฝึกยุทธผู้ใช้เทคนิคมนตราคนหนึ่งที่อยู่ไกลออกไป คนผู้นั้นไม่มีเวลามากพอที่จะหลบหนี และถูกกลืนหายเข้าไปในกระแสมารในทันทีทันใด
ฉากเมื่อครู่เปรียบดั่งภาพสะท้อนจำนวนของผู้ฝึกยุทธกับเผ่ามาร พวกมันยังคงโถมโจมตีอย่างต่อเนื่อง ฆ่าเท่าไหร่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะจบสิ้น ส่งผลให้ในหัวใจของผู้คนที่เฝ้ามองรู้สึกสิ้นหวัง
ทำไมถึงมีเผ่ามารอยู่มากมายขนาดนี้กันนะ?
กู่ฉิงซานมองไกลออกไปสุดสายตา เท่าที่วิสัยทัศน์ของเขาจะมองเห็น
มองไปยังฉากเบื้องหลังของเผ่ามาร ฝนเพลิงที่ท่วมฟ้ากำลังกวาดผืนดินเบื้องล่างอย่างไร้ความปรานี
นั่นคือพลังอำนาจอันน่าหวาดหวั่นที่มิอาจต้านทานได้ กระทั่งเผ่ามารก็ยังเลือกที่จะหลบเลี่ยง…นี่เองสินะที่เป็นเหตุผลส่วนหนึ่งที่ทำให้เผ่ามารจำนวนมากเคลื่อนที่มายังทิศทางสนามรบนี้
ดังนั้นแรงกดดันจากเผ่ามารที่เผ่ามนุษย์ได้รับจึงยิ่งทวีคูณสูงยิ่งกว่าเดิม
เมื่อตกอยู่ภายใต้การต่อสู้อันยาวนาน ผู้ฝึกยุทธที่สูญสิ้นพละกำลังกายและพลังวิญญาณอย่างต่อเนื่อง ก็จะมิอาจฟื้นฟูพวกมันได้อย่างรวดเร็ว
แต่จำนวนของเผ่ามารกลับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และกำลังมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ
สมดุลที่ทั้งสองฝ่ายกำลังก้ำกึ่งระหว่างพ่ายแพ้หรือชนะก็จะค่อยๆ เอนเอียงไปทางฝั่งมารอย่างช้าๆ
หากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป มนุษยชาติก็จะต้องพ่ายแพ้ลงในที่สุด
พิกลนัก! เหตุใดฝนเพลิงจึงเกิดขึ้นในตำแหน่งนั้น จนผลพวงของมันออกมาในรูปแบบนี้กัน?
นี่ใช่เป็นเรื่องบังเอิญ หรือเป็นเจตนาของการดำรงอยู่ของตัวตนที่ไม่มีใครรู้จักหรือไม่?
กู่ฉิงซานครุ่นคิดอย่างเงียบๆ ในหัวใจของเขาเริ่มที่จะว่างเปล่า
ที่แห่งนี้คือโลกที่พวกเรายังไม่รู้จักคุ้นเคยโดยสมบูรณ์ ซึ่งจำเป็นต้องการเวลาในการสำรวจตรวจสอบเพื่อทราบถึงความจริงเพิ่มเติม
และตอนนี้
เขาคว้าจับดาบพิภพในมือ และเริ่มทำการกระตุ้นกระบวนท่าเทคนิคดาบ
ดาบพิภพส่งเสียงฮึมฮัม “เจ้ายังคิดต่อสู้อีกหรือ? ถึงแม้ว่าเจ้าจะรักษาอาหารบาดเจ็บด้วยยาวิญญาณชั้นยอดแล้วก็ตามที แต่เจ้ายังคงต้องได้รับการพักฟื้นอีกสองสามวันจึงจะหายดี”
“ข้าจำต้องต่อสู้อีกครั้ง และยังสัมผัสได้ว่าขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดที่จะ…ทะลวงเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิด!”กู่ฉิงซานกล่าว
ดาบพิภพ “ทะลวงเข้าสู่ก่อกำเนิด…ตามกฎแห่งสวรรค์และโลก หลังจากที่ผู้ฝึกยุทธยังคงบุกทะลวงยกระดับอย่างต่อเนื่อง หากต้องการที่จะฝ่าขอบเขตใหญ่อีกครั้ง ทัณฑ์สวรรค์จะรุนแรงยิ่งกว่าในทุกครั้งที่เป็นมา”
“อะไรอย่างทัณฑ์สายฟ้าน่ะมันเป็นสิ่งไกลตัวจากคนทั่วๆ ไป กระทั่งผู้ฝึกยุทธขั้นก่อกำเนิดก็ยังไม่กล้าเอ่ยพูดได้เต็มปากว่าพวกเขาสามารถต้านทานมันได้ นอกจากนี้เจ้ายังได้รับบาดเจ็บอีก…”
“ไม่เป็นไรหรอก จะดีจะร้ายอย่างไรเสียมันก็เป็นแค่ทัณฑ์สวรรค์เท่านั้นเอง”
กู่ฉิงซานกล่าวจบ เขาก็กระโจนลงไปเบื้องล่างโดยไร้ซึ่งความลังเลแม้แต่น้อย
ชั่ววินาทีต่อมา เส้นแสงสีทองก็ร่วงตกลงกลางดงทะเลมาร ตามติดด้วยเศษนิ้ว แขน ขา นับไม่ถ้วนของเผ่ามารที่กระจายไปทั่ว เริ่มก่อร่างธารโลหิตจากการฆ่าขึ้นในบริเวณนั้น
เมื่อมารยักษาอันทรงพลังบุกเข้ามา แสงสีทองก็วูบออกไปต้อนรับมันทันทีก่อนที่อีกฝ่ายจะทันได้ตั้งตัว
หลังจากนั้นไม่กี่ลมหายใจต่อมา หนึ่งหรือสองมังกรแหวกธาราก็ปรากฏขึ้นกลางดงมาร กวาดทำลายพวกมันจนย่อยยับ!
หลังจากที่ทำการฆ่าสังหารอย่างคลุ้มคลั่ง
จู่ๆ กู่ฉิงซานก็เหลือบมองไปบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม
“คุณได้เพิ่มพูนพลังวิญญาณจนเพียงพอ ระยะเวลาคูลดาวน์ในการใช้เทคนิคฝึกยุทธทะลวงขอบเขตเสร็จสิ้นลงแล้ว”
ให้มันได้อย่างนี้สิ!
อีกด้านหนึ่ง
ณ ตำแหน่งใจกลางสนามรบ
รามสูรไร้พักตร์หวีดคำรามเป็นครั้งสุดท้าย
ก่อนที่ร่างของมันจะแปรเปลี่ยนเป็นสีเทา ตามด้วยค่อยๆ ล่มสลายลงและจางหายไป
นี่คือฉากการตายของอสูรกายปฐมบทแห่งความโกลาหล
หนิงเยว่ฉานทิ่มปลายกระบี่ยาวลงบนพื้น ยื่นมือขึ้นไปเช็ดเลือดตรงริมฝีปากแล้วเอ่ยถาม “สถานการณ์ทางฝั่งเราที่ยังอยู่ที่นี่เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ผู้ฝึกยุทธทีมที่สามกับห้าตกตายลงกันจนหมดสิ้นแล้ว แต่พวกเรายังคงเหลือทีมที่สี่ที่ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์” เหลิงเทียนสิงที่ทั้งร่างถูกปกคลุมไปด้วยเลือด เอ่ยปากตอบพลางหอบหายใจ
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยนั้นเอง สายตาของพวกเขาก็เบนไปเห็นอสูรกายขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างไกลกำลังเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ
ตึงๆๆ!
ทุกย่างก้าวของพวกมันช่างหนักหน่วง ย่ำลงมาแต่ละครั้งพื้นดินถึงกับสั่นสะเทือน
“ส่งยันต์สื่อสารออกไป ว่าให้เร่งส่งกำลังเสริมมาโดยเร็ว” หนิงเยว่ฉานขมวดคิ้ว ปากเอ่ยเสียงแผ่ว
ในเวลานี้ กระทั่งเธอก็ยังค่อนข้างที่จะรู้สึกอ่อนล้าเล็กน้อย
แต่เธอคือผู้บัญชาการสูงสุด ดังนั้นจึงมิอาจเปิดเผยถึงร่องรอยดังกล่าวบนใบหน้าออกมาได้ มิฉะนั้น มันจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อกองทัพทั้งหมดอย่างแน่นอน
ทว่าทันใดนั้นเอง ท้องฟ้าพลันมืดสลัวลง
ลมกระพือสูงขึ้น เมฆทะมึนแขวนต่ำอยู่บนท้องฟ้า
โลกทั้งใบก้าวเข้าสู่ช่วงเวลาค่ำคืนในพริบตา
เปรี้ยง!
เสียงฟ้าผ่าดังกึกก้อง
ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดอดไม่ได้ที่จะชะงักงัน และแหงนหน้ามองออกไปด้วยความประหลาดใจ
กระทั่งเผ่ามารก็ยังเหลียวหลังกลับไปในแนวทัพของพวกมัน
ทั้งหมดในฉากนี้แหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความเหลือเชื่อ
“ความรู้สึกนี้มัน…ทัณฑ์สวรรค์?” เหลิงเทียนสิงเอ่ยด้วยความแปลกใจ
หนิงเยว่ฉานกล่าวลั่น “เจ้าบ้าที่ไหนกัน กล้ามารับทัณฑ์สวรรค์กลางสนามรบเช่นนี้ มันกลัวว่าตนเองจะตกตายเร็วขึ้นไม่พออีกหรืออย่างไร!”
ในสนามรบ ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยผู้ฝึกยุทธและเผ่ามาร
ตราบใดที่ผู้ฝึกยุทธย่างกราบเข้าสู่อาณาเขตของทัณฑ์สวรรค์ ทัณฑ์สวรรค์ก็จะนึกคิดไปในทันทีว่านี่คืออีกคนที่เพิ่มเข้ามาเพราะต้องการรับโทษทัณฑ์ แล้วพลังอำนาจของทัณฑ์สายฟ้าที่ฟาดผ่าลงมาจะน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม ดังนั้นย่อมหมายความว่าไม่มีใครยินดีที่จะก้าวไปช่วยเขา
นอกจากนี้ รอบข้างยังมีมารมากมายที่เฝ้ารออยู่ นั่นหมายความว่ายามเมื่อผู้ฝึกยุทธพบเจอปัญหาใด พวกมันก็จะลอบเข้าไปโจมตีโดยไม่หวาดเกรงสายฟ้าที่ฟาดลงมาไม่หยุดเป็นแน่แท้
ภายใต้สภาพแวดล้อมที่แสนจะซับซ้อนและอันตรายเช่นนี้ หากคิดหมายว่าตนจะประสบความสำเร็จในการก้าวข้ามผ่านโทษทัณฑ์ นี่มันเป็นแค่เพียงความฝันของคนโง่เท่านั้น!
มนุษย์คนนั้น แท้จริงแล้วใช่สมองถูกเผาจนไหม้ไปหมดไม่มีหลงเหลืออยู่แล้วหรือไม่ ถึงได้คิดตัดผ่านอย่างกะทันหันในที่แบบนี้?
ร่างเส้นแสงที่เปล่งสว่างสีฟ้าสดใสร่วงโรยลงมาจากฟากฟ้า ฟาดปะทะลงกับพื้นโลก
ปัง!
คลื่นอัดอากาศกวาดกระออกไปเป็นวงกว้าง ส่งผ่านสายลมอันสดชื่นพัดกระพือไปไกล
ทุกคนหันหน้าไปยังทิศทางนั้น และเห็นว่าทัณฑ์สายฟ้าได้ตกลงในมุมตะวันออกของสนามรบ
ผู้ฝึกยุทธที่คุมบริเวณนั้นล้วนตกตายลงแล้วจนหมดสิ้นอย่างแน่นอน มันหลงเหลืออยู่เพียงแค่กองทัพมารเท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ เผ่ามารกลับส่งเสียงกรีดร้องด้วยความหวาดกลัว บังเกิดความอลหม่านขึ้น ตนแล้วตนเล่าวิ่งแตกฮือ หลบหนีออกไปทิศทาง
พลังวิญญาณสายฟ้านั้นเป็นที่รู้จักกันดีในนาม ‘ทัณฑ์ปีศาจ’ และด้วยพลังนี้ นั่นหมายความว่าผู้ฝึกยุทธจะสามารถกำจัดมารด้วยอำนาจทำลายล้างของมันที่เพิ่มพูนขึ้นเป็นสองเท่า
แต่ตอนนี้ ที่เผ่ามารกำลังเผชิญหน้าอยู่ด้วยคือทัณฑ์สวรรค์
นี่อาจกล่าวได้ว่ามันทรงพลังยิ่งกว่าสายฟ้าทั้งมวล!
เผ่ามารเดิมทีก็มีความหวาดเกรงเกี่ยวกับสายฟ้าสวรรค์จากในส่วนลึกของจิตวิญญาณตามธรรมชาติอยู่ก่อนแล้ว
และการโหมโรงของทัณฑ์สวรรค์ก็เปิดม่านขึ้นอย่างช้าๆ
สายฟ้าสวรรค์หนึ่งเส้นฟาดข้ามผ่านเหล่าผู้ฝึกยุทธนับหลายสิบทีมลงมายังเป้าหมาย
กู่ฉิงซานยืนอยู่ใจกลางทัณฑ์สวรรค์ ในมือควงดาบพิภพ เพื่อปัดป้องสายฟ้าระลอกแรกออกไปรอบๆ
พลังงานสายฟ้าแตกระยิบ มันถูกกวาดกระพือจนปลิวออกไปแลคล้ายดาวกระจายจำนวนมหาศาล พุ่งปะทะเข้าใส่มารอสูรบริเวณใกล้เคียงจนตกตายลงกองใหญ่!
“เจ้าจะต้องตายแน่ๆ ข้าอยู่มานานกว่าหนึ่งแสนปี ยังไม่เคยเห็นผู้ฝึกยุทธที่จิตวิปริตคลุ้มคลั่งเช่นนี้มาก่อนเลย” ดาบพิภพกล่าวด้วยความหนักอึ้ง
“มนุษย์ถ้าไม่บ้า มันก็ไม่ได้รสชาติชีวิตน่ะสิ!” กู่ฉิงซานที่ทั้งร่างถูกปกคลุมไปด้วยเลือดมารที่สาดกระเซ็น เอ่ยตอบกลับด้วยท่าทีสบายๆ
หลังจากที่ใช้พลังวิญญาณทะลวงผ่านไปยังแก่นทองคำขั้นปลาย เขาก็กระโจนเข้าไปแทรกซึมกลางดงมาร ฆ่าสังหารอย่างหนัก และขจัดช่วงเวลาคูลดาวน์ลงได้ในที่สุด
ต่อมาในเวลานี้ เขาก็กำลังพยายามที่จะทะลวงเข้าสู่ขอบเขตก่อกำเนิด!
ในการต่อสู้ครั้งนี้ กู่ฉิงซานมุ่งมั่นที่จะเพิ่มพูนความแข็งแกร่ง ยกระดับจากขอบเขตแก่นทองคำ ทะยานขึ้นสู่ขั้นก่อกำเนิดอย่างกะทันหันเลยโดยตรง
ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไม แม้กระทั่งดาบพิภพก็ยังไม่อาจทำความเข้าใจได้
สายฟ้าสวรรค์ระลอกที่สองฟาดผ่าลงมา
กู่ฉิงซานยกดาบขึ้นอีกครั้ง ใช้ใบดาบกระทบมัน เบนวิถีเหวี่ยงเข้าใส่มารอีกกลุ่มหนึ่ง
ปัง!
เสียงสายฟ้าระเบิดออก ตำแหน่งของเผ่ามารที่ถูกสายฟ้าฟาดใส่เมื่อครู่ บัดนี้ทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่า มิหลงเหลือสิ่งใดอยู่อีกเลย
เมื่ออยู่ต่อหน้าสายฟ้าสวรรค์ เผ่ามารที่อยู่ต่ำกว่าขอบเขตประทับเทพจะมีจุดจบเดียวเท่านั้น นั่นคือความตาย!
แต่แล้วกู่ฉิงซานก็กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง
คราวนี้ มิใช่แค่ร่างกายของเขาได้รับบาดเจ็บอีกต่อไป หลังจากที่ทำการตัดผ่านอย่างต่อเนื่อง ในที่สุด มันก็ไม่สามารถทานทนต่อการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ได้อีกต่อไป จิตเทวะของเขาเริ่มได้รับความเสียหายบ้างแล้ว!
......................................................