ตอนที่ 259 เข้าสู่สงคราม
“เส้นทางแห่งการฝึกยุทธ มิจำเป็นต้องกังวลเร่งร้อนที่จะเสาะแสวงหาความสำเร็จให้มันเร็วนัก ด้วยอายุเช่นเจ้า หากเทียบกับเผ่ามนุษย์คนอื่นๆ มาได้ไกลถึงเพียงนี้ ก็นับว่าไม่เลวแล้ว” เสียงหึ่งๆ ของดาบพิภพกล่าวให้เขารู้สึกผ่อนคลาย
“ข้าน่ะเหรอนับว่าไม่เลว?” กู่ฉิงซานหัวเราะหยันตนเอง
น้ำเสียงของเขาฟังดูค่อนข้างอ้างว้าง “เมื่อครู่ สองดาบกับหนึ่งปลาก็กล่าวว่าข้านั้นอ่อนแอเกินไป หากข้าสามารถแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้ ในยามที่มาถึงที่นี่ ข้าคงได้มีคุณสมบัติร่วมเดินทางไปต่อกับพวกเขาแล้ว”
“ร่างในเกราะดำก็กล่าวเช่นกันว่าข้านั่นอ่อนแอเกินไป”
“กระทั่งระบบภารกิจก็ยังคิดไม่ต่างกัน”
“เช่นนั้น สิ่งที่เจ้าตั้งใจจะทำคือสิ่งใด?” ดาบพิภพเอ่ยถาม
กู่ฉิงซานเงียบ ไม่ได้ตอบกลับไป
เขาวางมือลงบนดิสก์ค่ายกลและทำการกระตุ้นพลังวิญญาณของเขา
ในเสี้ยววินาที ทั้งคนทั้งร่างก็หายวับไปจากตำแหน่งเดิมอย่างไร้ร่องรอย
ณ ค่ายทหารชั้นโหยวจี
“พวกเขายังไม่กลับมาอีกอย่างนั้นหรือ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถาม
นายทหารคนหนึ่งกล่าว “ขอรับ นายพลหนิงได้ทำการส่งยันต์สื่อสารออกไปสอบถามสถานการณ์แล้ว และกำลังระดมผู้ฝึกยุทธจำนวนมากออกไปช่วยเหลือ”
“นำแผนที่มาให้ข้า”
“ขอรับ”
แผนที่ถูกนำมาอย่างถูกเร็ว
สองมือคลี่แผนที่ออก หนึ่งปากเอ่ยถาม “ตำแหน่งที่ว่านั่นอยู่ที่ไหน?”
นายทหารชี้ลงไปในตำแหน่งดังกล่าว
“แล้วสถานการณ์ตอนนี้เล่า เป็นเช่นไร?” กู่ฉิงซานถามต่อ
“พวกเขาได้พบกับกองทัพมารกลุ่มใหญ่ และจำนวนของพวกมันก็มีมากจนเกินไป ฆ่าเท่าไหร่ก็ไม่สิ้นสุดเสียที ดังนั้น สงครามครานี้จึงเยิ่นเย้อ มิอาจมีฝ่ายใดพลิกกระดาน หรือกล่าวนัยหนึ่งคือไม่สามารถถอนตัวกลับมาได้”
กู่ฉิงซานส่งแผนที่กลับคืนให้อีกฝ่าย และสาวเท้าก้าวยาวๆ ออกไป
เขาสวมใส่ชุดเกราะรบนายพลโหยวจี แหวกม่านเดินออกจากเต็นท์ทหาร
ตามมาด้วยเสียงคำรามของเรือเหาะที่ทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า
ห่างจากสนามรบหลายสิบลี้ แต่ทว่าท่านกลับสามารถได้ยินถึงเสียงการฆ่าฟันกันได้อย่างน่าตกใจ
แสงวาวโรจน์ของเทคนิคเต๋าสาดประกายไม่รู้จบ โถมลงไปยังดงมารอย่างต่อเนื่อง
ทว่ากองทัพมารยังคงดาหน้าบุกเข้ามา กระโจนด้วยความบ้าคลั่งเข้าใส่กลุ่มผู้ฝึกยุทธที่กำลังสิ้นหวัง
ผู้ฝึกยุทธถูกสังหารลง ณ จุดนั้น มิอาจถอยหนีได้แม้เพียงครึ่งก้าว
ในใจกลางของสนามรบปรากฏมารยักษาที่สูงกว่าหลายสิบเมตรกำลังโหมกระหน่ำโจมตี สร้างความหายนะอย่างไม่หยุดยั้ง
จุดแสงพลังวิญญาณนับสิบกำลังเวียนว่ายอยู่รอบกายมัน และเมื่อสบโอกาส เหล่าจุดแสงก็ฉวยโอกาสปลดปล่อยเทคนิคมนตราโจมตีได้ในทันทีอย่างสวยงาม!
ในช่วงเวลาแห่งการต่อสู้อันดุเดือดรุนแรง เรือเหาะลำหนึ่งก็ค่อยๆ ร่อนลงจอดอย่างเงียบๆ บริเวณริมขอบสนามรบ
พื้นที่ต่อสู้ทั้งหมดกินวงกว้างไปมากกว่าหลายร้อยลี้ ทว่าวงกว้างเกือบทั้งหมดที่ว่านั่น ล้วนแล้วแต่เป็นกองกำลังของเผ่ามาร
ดังนั้น เมื่อเรือเหาะร่อนลงจอด จึงไม่มีใครทันสังเกตเห็นฉากนี้
กู่ฉิงซานที่สวมใส่ชุดเกราะทองคำโหยวจีปรากฏกายขึ้น พร้อมกับเก็บเรือเหาะกลับคืน
เขาเหลือบมองไปยังหน้าต่างระบบเทพสงครามในส่วนพลังวิญญาณคงเหลือ
“แต้มพลังวิญญาณปัจจุบัน 0/100”
บังเกิดความเงียบขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่กู่ฉิงซานจะหยิบหน้ากากเงินขึ้นมาสวมใส่ ยื่นมือออกไปในอากาศที่ว่างเปล่า และคว้าจับดาบพิภพที่ตกลงมา
เขาเงยหน้าขึ้น กวาดสายตามองไปในสนามรบ
เหล่าผู้ฝึกยุทธที่รักษาการณ์ในบริเวณนี้ ได้ตกตายลงไปแล้วโดยสมบูรณ์ ดังนั้นกำลังสนับสนุนจึงถูกส่งไปยังใจกลางสนามรบหลักที่ขณะนี้ทั้งสองฝ่ายกำลังอยู่ในสภาวะยื้อยุดกันอยู่
ไกลสุดสายตาที่กู่ฉิงซานสามารถมองเห็น วิสัยทัศน์ทั้งหมดของเขา ล้วนถูกปกคลุมด้วยสีดำทะมึนของเผ่ามารที่กระจุกตัวกันอยู่อย่างหนาแน่น
“มาจัดพวกมันให้เต็มเหนี่ยวกันเถอะ” เขากล่าว
“มิขัดข้อง” ดาบพิภพตอบสวน
ในช่วงวินาทีต่อมา ดาบพิภพในมือของเขาก็เบาลง จนแทบจะไม่รู้สึกว่ากำลังถือจับมันอยู่เลย
กู่ฉิงซานตระหนักได้ว่า ดาบพิภพได้ปลดปล่อยน้ำหนัก 86.37 ล้านจิน ของมันออกมาเรียบร้อยแล้วโดยสมบูรณ์
เขาหันไปมองหัวข้อสมญา
มีทั้ง ‘นายพลชั้นโหยวจี’ ‘สิบห้าดาบ’ ‘ผู้บัญชาการรบ’ ‘ไพ่ตายนักฆ่า’ และกู่ฉิงซานก็ทำการเลือก ไพ่ตายนักฆ่า
“สมญา...ไพ่ตายนักฆ่า (ครอบคลุมสมญานักฆ่า)”
“คำอธิบาย...ใช้ออกเพียงหนึ่งกระบวนท่า แต่กลับสามารถสังหารศัตรูที่แกร่งกว่าตนลงได้”
“เมื่อสวมใส่สมญานี้ จะได้รับสกิลพิเศษ...เก็บเกี่ยว (ขั้นสูง)”
“เก็บเกี่ยว (ขั้นสูง)...เมื่อใดก็ตามที่คุณสามารถสังหารฝ่ายตรงข้ามได้ในกระบวนท่าเดียว พลังวิญญาณที่สูญเสียไปในการโจมตีครั้งนั้นจะถูกฟื้นฟูกลับมาจนเต็มดังเดิม”
ตระเตรียมการเสร็จก็ไม่รอช้า กู่ฉิงซานก้าวเข้าสู่สนามรบในบัดดล
ณ ชายขอบสนามรบ ฝูงมารสัมผัสได้ถึงความผันผวนของคลื่นพลังวิญญาณ ตนแล้วตนเล่าเริ่มหันหน้ากลับไปมอง
แล้วพวกมันก็พบว่า เจ้าของคลื่นความผันผวน แท้จริงแล้วเป็นผู้ฝึกยุทธมนุษย์เพียงคนเดียว
แบบนี้ก็สวยสิ! มีเลือดเนื้อสดๆ มาส่งถึงหน้าประตู ผู้ใดเล่าจะไม่อ้าแขนรับ!
เลือดเนื้อสดๆ สุโก้ย!
ฝูงมารกรีดร้องตะโกนอย่างบ้าคลั่ง ตนแล้วตนเล่าสับฝีเท้าโจนทะยานพรวดเข้าหากู่ฉิงซาน หมายมั่นว่าตนจักต้องไปถึงก่อนเป็นตนแรก
ฝูงมารวิ่งตรงดิ่งเข้ามา
กู่ฉิงซานย่อเข่าลงเล็กน้อย จนทั้งคนทั้งร่างโค้งตัวลง และเสี้ยวพริบตาก็หายวับไปจากจุดเดิมในทันที
ต่อมา บังเกิดประกายแสงสีทองระยับ พุ่งพรวดเข้าสวนกระแสฝูงมารอันไร้ที่สิ้นสุด ตามเส้นทางที่มันวาบผ่าน แฝงไว้ซึ่งเส้นแสงสีขาวที่แลคล้ายรัศมีดวงจันทร์สีขาวนวล ฟุ่บ! กวาดสะบั้นแยกส่วนมารอสูรนับไม่ถ้วน
ยามเมื่อรังสีดาบสีนวลจางหาย พลันบังเกิดลมพัดกระพือ เป่าหมอกเลือดนับพันสาดขึ้นไปในชั้นอากาศ
ท่ามกลางสายลมที่พัดกระพือ ร่างของกู่ฉิงซานก็ปรากฏกายขึ้นอีกครั้งในที่สุด
พริบตาที่ปรากฏกาย เขาก็ต้องเผชิญหน้ากับเผ่ามารนับไม่ถ้วน ดาบในมือขยับไหววูบวาบเป็นเงาจนมิอาจมองเห็นถึงคมของมันด้วยตาเปล่า
ครอบครองชั้นผิวหนังที่แข็งแกร่ง? สวมใส่สมบัติมนตราชั้นยอด? ทั้งหมดล้วนไร้ค่าเมื่ออยู่ต่อหน้าดาบพิภพ! ยิ่งเป็นพวกเผ่ามารตัวเปล่ายิ่งไม่ต้องกล่าวถึง!
คมดาบยาวอันคมกริบ วาดผ่านฝูงมาร เริ่มก่อร่างธารโลหิตขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ฟังก์ชันในส่วนของข้อมูล เด้งแจ้งเตือนขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง
“ตัดสินว่านี่คือการสังหารในกระบวนท่าเดียว คุณได้รับพลังวิญญาณกลับคืน”
“ตัดสินว่านี่คือการสังหารในกระบวนท่าเดียว คุณได้รับพลังวิญญาณกลับคืน”
“ตัดสินว่านี่คือการสังหารในกระบวนท่าเดียว คุณได้รับพลังวิญญาณกลับคืน”
“ตัดสินว่านี่คือการสังหารในกระบวนท่าเดียว คุณได้รับพลังวิญญาณกลับคืน”
กู่ฉิงซานเหวี่ยงใบดาบ สะบัดคราบเลือดที่เกรอะกรัง และเริ่มย่างสามขุมมุ่งหน้าตรงไปใจกลางสนามรบ
ตอนนี้ตัวเขาไม่สามารถได้รับแต้มพลังวิญญาณจากการฆ่าสังหารเผ่ามารในขอบเขตก่อตั้งได้อีกต่อไปแล้ว ดังนั้นจึงจำต้องมองหาเผ่ามารที่ทรงพลังยิ่งกว่านี้
ระหว่างทางมีเพียงเผ่ามารระดับต่ำ กู่ฉิงซานไม่แม้แต่จะชายตามอง เขาตวัดดาบยาวออกไปในท่วงท่าสบายๆ เชือดเฉือนมารตัวประกอบไปตลอดทางอย่างไร้คู่ต่อสู้ขัดขวาง
วิ้ง!
บังเกิดเสียงดังขึ้น กู่ฉิงซานชักคมดาบกลับคืน ก้าวถอยหลังไปหลายก้าว สายตาเบนมองไปยังมารฝ่ายตรงข้าม
เบื้องหน้าเขา มันคือมารเวหาเขาเดียวที่อยู่ในขอบเขตแก่นทองคำขั้นปลาย ความว่องไวของมันรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ บทบาทโดยทั่วไปของมันในสงครามก็คือการลอบสังหารและเน้นการจู่โจมอย่างฉับไว!
กล่าวได้ว่า แม้กระทั่งผู้ฝึกยุทธขอบเขตก่อกำเนิด หากวิ่งแข่งกันก็ยังมิอาจแซงหน้ามันได้!
มารเวหาเขาเดียวจ้องมองดูกู่ฉิงซานด้วยรอยยิ้มโหดเหี้ยม และวูบ! ร่างของมันพลันหายวับไปอีกครั้ง
กู่ฉิงซานหยุดนิ่ง จับกุมดาบพิภพในมือด้วยสีหน้าที่ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ
แล้วทันใดนั้น จู่ๆ เขาก็จ้วงแทงดาบออกไป!
พร้อมกับร่างของมารเวหาเขาเดียวผุดออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่า และวูบหลบคมดาบนี้ไป
ดาบนี้จ้วงแทงอย่างประณีต มารเวหาจำต้องรีดความเร็วออกมาถึงขีดสุด มันจึงสามารถหลบเลี่ยงจากในจุดที่ซ่อนตัวอยู่ได้
มารเขาเดียวคำรามต่ำ หลังจากที่มันสามารถหลบคมดาบยาวได้ ตัวมันก็พุ่งเข้าหาอ้อมอกของกู่ฉิงซาน หมายมั่นที่จะจ้วงและกระชากหัวใจของอีกฝ่ายออกมาบดขยี้ให้เละ!
ทุกสิ่งอย่างบังเกิดขึ้นและแปรเปลี่ยนอย่างฉับไว
‘ฉับๆๆ ’
บังเกิดห้าเสียงของคมดาบที่ตัดสะบั้นที่เชือดเฉือนเนื้อหนังศัตรูราวกับเต้าหู้เหลว
มารเขาเดียวไม่มีเวลาแม้กระทั่งจะสงสัยหรือรวบรวมความคิดของมันว่าเพราะเหตุใด เพราะบัดนี้มันก็ถูกตัดหั่นไปแล้วโดยตรง และแปรสภาพกลับกลายเป็นชิ้นเนื้อฉ่ำเลือด ร่วงหล่นลงกระจายไปทั่วบริเวณ
บรรทัดตัวอักษรเส้นหนึ่งเด้งเตือนขึ้นมาบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม
“ตัดสินว่านี่คือการสังหารในกระบวนท่าเดียว คุณได้รับพลังวิญญาณกลับคืน”
“แต้มพลังวิญญาณบวกห้าสิบ”
พลังวิญญาณในตันเถียนถูกเติมเต็มกลับมาอีกครั้ง และกู่ฉิงซานก็รับดาบกลับคืน
เขายืนกวาดสายตาไปทั่วสารทิศรอบกาย และยังคงเห็นแค่เพียงเสียงกรีดร้องโวยวายอย่างไม่รู้จบของมวลมารตลอดทุกทิศทาง
เทคนิคลับแห่งดาบ วาดเงา!
เมื่อเปิดใช้งานเทคนิคลับนี้ ก็พลันบังเกิดคมดาบหลากหลายรูปแบบขึ้นในเวลาเดียวกัน โถมจู่โจมเข้าด้วยกันโดยพร้อมเพรียงกับดาบหลักที่วาดผ่าน
จำนวนคมดาบของร่างเงานี้ จะเถรตรงโดยอิงกับสกิลดาบที่ได้เรียนรู้และจะแปรผันตรงตามระดับของผู้ฝึกดาบ
และร่างเงาดาบแต่ละเล่ม ล้วนมีพลังโจมตีเทียบเท่ากับคมดาบหลักทุกประการ!
เผ่ามารจำนวนมากตระหนักได้ถึงการต่อสู้เมื่อครู่ พวกมันตนแล้วตนเล่าหันมาทางเขา ปากอ้าขู่ฟ่อพ่นน้ำลายกระเซ็น
กู่ฉิงซานห้อยปลายดาบพิภพลงบนพื้นดิน ก้าวเดินไปยังเบื้องหน้าทีละก้าว ทีละก้าว
เงาดาบทมิฬยังคงผุดออกมาจากความว่างเปล่า มันปกคลุมอยู่รอบกายเขา แลคล้ายกับฝูงชนที่กำลังใช้ออกด้วยเพลงดาบ ปกป้องล้อมรอบกายเขาขณะที่เจ้าตัวยังคงก้าวเดินไปยังเบื้องหน้า
เพียงแค่การใช้ออกด้วย ‘วาดเงา’ เมื่อครู่ จนกระทั่งบัดนี้ กระบวนท่าดาบทั้งหมดก็ยังไม่ถูกเผยออกมาจนครบจบสมบูรณ์
จากเท่าที่รับรู้ แค่สกิลดาบเพียงอย่างเดียว นับตั้งแต่ที่นางเซียนไป่ฮั่วได้เปิดภูมิความรู้ในวิชาดาบของเขา กู่ฉิงซานก็ได้ก้าวล้ำข้ามผ่านตนเองในชีวิตก่อนหน้าไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
หลังจากนั้นมา ด้วยประสบการณ์การต่อสู้ที่สั่งสมมาเป็นระยะเวลานาน ทำให้บัดนี้กู่ฉิงซานได้มาหยุดยืนอยู่บนจุดสูงสุดอย่างที่ไม่เคยได้ปีนป่ายขึ้นมาเหยียบย่างมาก่อน!
ดังนั้น เมื่อ ‘วาดเงา’ ของเขาถูกใช้ออกไปเพียงครั้งเดียว ร่างเงาของกระบวนท่าดาบเพลงแล้วเพลงเล่า ก็ถูกปลดปล่อยออกมาอย่างมิมีเว้นว่างหรือหยุดพัก
ในวิสัยทัศน์เต็มไปด้วยฝูงมารนับไม่ถ้วน พวกมันโถมเข้ามาดั่งกระแสธารหลาก ทว่ากู่ฉิงซานกลับไม่แม้แต่จะชายตามองพวกมัน เขายังคงย่างฝีเท้าอย่างสงบท่ามกลางสนามรบ
ทั้งคนทั้งร่างของเขาถูกรุมล้อมอัดแน่นไปด้วยร่างเงาดำของกระบวนท่าดาบ ที่ปรากฏขึ้นและตกลง ก่อนที่สุดท้ายจะปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
เผ่ามารมิอาจทันได้ต้านทาน พวกมันทั้งหมดที่ย่างกรายเข้ามาถูกสับทำลาย หั่นๆๆ จนเป็นชิ้นๆ ด้วยร่างเงาดาบอันไร้ที่สิ้นสุดนี้
และหวังว่าคงยังจำกันได้ แต่ละคมดาบนี้ ล้วนแฝงไว้ซึ่งแรงกระแทกที่หนักหน่วงถึงแปดหมื่นหกพันสามร้อยเจ็บสิบ ล้านจิน!
ร่างเงาดาบแลคล้ายบุปผาที่กำลังเบ่งบานเต็มที่
กู่ฉิงซานบัดนี้มิต่างอันใดจากเครื่องบดเนื้อเคลื่อนที่อันทรงประสิทธิภาพ ทุกย่างก้าวของเขาสามารถเก็บเกี่ยวชีวิตของเผ่ามารได้อย่างรวดเร็ว
บนหน้าต่างระบบเทพสงคราม ปรากฏบรรทัดตัวอักษรเด้งเตือนขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง
“ตัดสินว่านี่คือการสังหารในกระบวนท่าเดียว คุณได้รับพลังวิญญาณกลับคืน”
“ตัดสินว่านี่คือการสังหารในกระบวนท่าเดียว คุณได้รับพลังวิญญาณกลับคืน”
“ตัดสินว่านี่คือการสังหารในกระบวนท่าเดียว คุณได้รับพลังวิญญาณกลับคืน”
“ตัดสินว่านี่คือการสังหารในกระบวนท่าเดียว คุณได้รับพลังวิญญาณกลับคืน”
“ตัดสินว่านี่คือการสังหารในกระบวนท่าเดียว คุณได้รับพลังวิญญาณกลับคืน”
“แต้มพลังวิญญาณบวกสิบ”
“แต้มพลังวิญญาณบวกแปด”
“แต้มพลังวิญญาณบวกสิบเอ็ด”
“แต้มพลังวิญญาณบวกสิบห้า”
......................................................