webnovel

0247 ลางสังหรณ์

ตอนที่ 247 ลางสังหรณ์

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง กลุ่มก้อนเปลวไฟจุดหนึ่งก็ลอยเข้ามา

บนเปลวไฟ แนบติดมาด้วยกลิ่นอายที่มิอาจจะต่อต้าน

นี่คือกลิ่นอายของนักปราชญ์ ที่ซึ่งไม่ว่าใครก็มิอาจเลียนแบบได้ และมันจะถูกแนบติดมาเพื่อใช้ในการออกคำสั่งทางทหารระดับสูงโดยเฉพาะ

ท่าทีของกู่ฉิงซานจู่ๆ ก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมฉับพลัน เขาเอื้อมมือคว้าจับก้อนเปลวไฟ กวาดจิตเทวะลงไปเพื่อยืนยันภารกิจที่ได้รับมอบหมาย

น้ำเสียงของน้อมสวรรค์ซวนหยวนดังขึ้น “นายพลโหยวจี กู่ฉิงซาน ได้รับมอบหมาย ‘ตำแหน่งลาดตระเวน’ มีหน้าที่ตรวจตราในทุกๆ สถานที่ และคอยสอดส่องสถานการณ์ทางทหารในแนวหน้า”

“ตำแหน่งลาดตระเวน? คอยสอดส่องสถานการณ์ทางทหาร?”

กู่ฉิงซานหายเข้าไปในห้วงความคิด

เวลานี้ เขามียศเป็นชั้นนายพลอย่างเป็นทางการคอยรับผิดชอบอยู่แล้ว และด้วยตำแหน่งยศนายพลที่สูงล้ำยิ่งกว่าทหารทั้งหลาย มันจะไม่มีคนมารับหน้าที่นี้ นอกเหนือไปจากเขาได้อย่างไร

นั่นหมายความว่า ในส่วนของการสอดแนมสถานการณ์ทางทหาร ย่อมต้องมีหน่วยงานที่รับหน้าที่นี้อยู่แล้ว แถมยังมีการจัดการเป็นอย่างดีอีกด้วย

เอ…ดูเหมือนว่าฉันก็ไม่ได้ทำเรื่องอะไรผิดพลาดนี่นา

ถ้าอย่างนั้น...เพราะอะไรกันแน่ ตัวฉันถึงได้ถูกจับโยนลงมาให้รับภารกิจนี้?

ขณะที่ในหัวของกู่ฉิงซานเต็มไปด้วยความสงสัย กลุ่มก้อนเปลวไฟอีกหนึ่งก็ลอยเข้ามา

เขาเอื้อมมือไปคว้ามันและทำการกระตุ้นพลังวิญญาณ

เสียงของนางเซียนไป่ฮั่วดังออกมาจากยันต์สื่อสาร “คราก่อนข้ามิได้ใส่ใจดูแลเจ้า ดังนั้นครั้งนี้ ข้าจึงคิดใส่ใจเกี่ยวกับตัวเจ้าให้มากขึ้น เลยมอบตำแหน่งที่ปลอดภัยและสามารถเดินเหินไปไหนมาไหนได้สะดวกให้แก่เจ้า”

ความกดดันที่คิดว่าตนกระทำผิดพลั้งจากทั้งคนทั้งร่างของกู่ฉิงซานพลันระบายออกมาทันที

พอได้ล่วงรู้ความจริง เขาก็ถึงขั้นพูดไม่ออก

‘อาจารย์ ท่านจะปกป้องข้ามากเกินไปแล้ว!’

เกรงว่าคงเป็นเพราะท่านรู้สึกไม่ดีเกี่ยวกับเรื่องราวในครั้งล่าสุด ในครั้งที่ข้าถูกกลั่นแกล้ง ดังนั้นในตอนนี้ท่านอาจารย์จึงบังเกิดความรู้สึกเสียใจขึ้น?

แต่ท่านมิจำเป็นต้องมาปกป้องข้าถึงเพียงนี้ก็ได้!

กู่ฉิงซานพึมพำ เอ่ยปากกล่าวกับตัวเอง “นี่มันไม่เหมาะสม”

มิใช่ว่าการมอบหมายภารกิจนี้จะไม่ถูกต้อง แต่ทั้งหมดทั้งมวลมันเกี่ยวข้องกับความไม่เหมาะสม กล่าวได้ว่าไม่สมเหตุสมผลโดยสิ้นเชิง

โดยปกติแล้ว นางเซียนไป่ฮั่วจะไม่มีวันปกป้องลูกศิษย์ตน เพียงเพราะตัวศิษย์ได้รับความอัปยศขายหน้าเพียงเล็กน้อยอย่างแน่นอน

ด้วยอุปนิสัยและห้วงอารมณ์ของนาง เกรงว่าคงจะตรงกันข้ามมากกว่า นางคงอยากให้ลูกศิษย์ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันทุกชนิด เพื่อให้พวกศิษย์สามารถผ่านพ้นและฝึกฝนให้พวกเขาแกร่งขึ้น

แต่สุดท้ายแล้ว ทำไมจึงกลายเป็นเช่นนี้?

ขณะที่กู่ฉิงซานกำลังขบคิด กลุ่มเปลวไฟอีกก้อนก็ตกลงมาบนมือของเขา

ก้มมองลงไป มันยังคงเป็นยันต์สื่อสารของนางเซียนไป่ฮั่ว

คว้ายันต์สื่อสาร กระตุ้นพลังวิญญาณ และเสียงของนางเซียนก็ดังขึ้น

“ข้าตริตรองเกี่ยวกับมันมาตลอด และจำต้องบอกความจริงบางอย่างแก่เจ้า เพื่อที่เจ้าจะได้ไม่ต้องออกไปเสี่ยงโดยการวิ่งวนไปทั่ว แล้วสุดท้ายก็หนีไปไหนไม่รอด”

“ในโลกเทวะ ข้า ซวนหยวน และเป่ยหยวนได้ทำการลอบเข้าไปสำรวจมันอย่างรอบคอบแล้ว”

“สถานการณ์ในปัจจุบันของโลกใบนั้นมันแปลกมาก”

“เป่ยหยวนบังเกิดลางสังหรณ์ร้ายอันมิใช่นิมิตหมายที่ดี และตัวข้าเองก็เช่นกัน”

“ลืมมันเถอะ ข้าจะบอกเจ้าต่อหน้าดีกว่า จงเตรียมตัวให้พร้อมแล้วเข้ามาหาข้าเสีย”

กู่ฉิงซานผุดลุกขึ้น และเดินออกไปทันที

คำกล่าวอันคลุมเครือของนางเซียนไป่ฮั่ว ทำให้หัวใจของเขาเริ่มบังเกิดชั้นเงาทะมึนบางๆ เข้าปกคลุม...

ณ เต็นท์บัญชาการกลาง

อีกสองปราชญ์มิได้อยู่ที่นี่ มีเพียงนางเซียนไป่เท่านั้นที่ยังคงนั่งอยู่อย่างสงบ

นางกำลังเฝ้าสังเกตโถดินเผาที่ลอยล่องอยู่เบื้องหน้าอย่างเงียบๆ

กู่ฉิงซานจ้องมองมันอย่างระแวดระวัง และตระหนักได้ว่ามันคือสมบัติที่มารสวรรค์นักปราชญ์เหลือทิ้งเอาไว้นั่นเอง

ในเวลานั้น หากมิใช่เพราะนางเซียนไป่ใช้สกิลเทวะ ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว โฉบไปคว้าโถหม้อดินใบนี้มาได้แล้วล่ะก็ ผลลัพธ์การต่อสู้ในปัจจุบันนี้คงจะแตกต่างออกไปจากปัจจุบันนี้อย่างแน่นอน

“ฉิงซาน” นางเซียนไป่ฮั่วเบนสายตาไปยังเขาและเผยยิ้มออกมา “เจ้าลองคาดเดาดูซี ว่าประโยชน์ของเจ้าสิ่งนี้มันคืออะไร”

กู่ฉิงซานเพ่งสำรวจมันจากระยะไกล ก่อนจะเอ่ยปาก “ใช่อัญเชิญมารสวรรค์หรือไม่?”

“มิใช่ หน้าที่หลักของมันคือเป็นการเชื่อมต่อระหว่างสองโลกเข้าด้วยกัน และสร้างรอยแยกมิติเพื่อเปิดทางไปยังโลกของมารสวรรค์”

“เช่นนั้น หากพึ่งพาสมบัตินี้ พวกเราก็จะสามารถออกเดินทางไปได้ทั่วทุกสถานที่ในโลกแห่งมารสวรรค์ใช่หรือไม่?”

“โถใบนี้มิได้ทรงประสิทธิภาพอย่างที่เจ้าคิด มันสามารถสร้างช่องว่างมิติได้ก็จริง แต่ผู้ใช้มันจำต้องเป็นคนของอีกฝั่งหนึ่งเพียงเท่านั้น” นางเซียนไป่ส่ายหัว ปากเอ่ยกล่าวด้วยความเสียดาย “สิ่งนี้มันมีประโยชน์ใดๆ กับพวกเราเลย”

เธอเก็บโถดินเผากลับคืน ปากเอ่ยกล่าว “เอาละ พวกเรามาเข้าเรื่องกันเถอะ เกี่ยวเนื่องกับภารกิจของเจ้า”

“ท่านอาจารย์ ศิษย์ยินดีและมีความตั้งใจจะนำทัพทหารจริงๆ” กู่ฉิงซานกล่าวเสียงหม่น

“ในตอนแรกข้าก็ตั้งใจจะให้เจ้านำทัพนั่นแหละ แต่ตอนนี้ พอข้าได้ลองตริตรองเกี่ยวกับมันดูแล้ว จึงตัดสินใจว่าไม่ดีกว่า เจ้าก็จงลืมมันซะเถอะ”

“เพราะเหตุใด?”

นางเซียนไป่จ้องมองเขาอย่างใจเย็น และกล่าวว่า “ลางสังหรณ์ของข้าสัมผัสได้ถึงความตายที่กำลังคืบคลานเข้ามา และเรื่องนี้ก็ได้รับการยืนยันแล้วด้วยเทคนิคทำนายชะตา”

“ว่าไงนะ! นั่นมันจะเป็นไปได้อย่างไร!” กู่ฉิงซานกล่าวเสียงหลง

นางเซียนไป่ฮั่วเป็นผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดในมนุษยชาติ ทว่านางกลับบังเกิดลางสังหรณ์ถึงความตาย!

ยิ่งตัวบุคคลทรงอำนาจมากเท่าไหร่ ลางสังหรณ์ของพวกเขาก็จะยิ่งคลาดเคลื่อนน้อยลงเท่านั้น หรืออาจกล่าวได้ว่ามันมักจะถูกต้องเสมอๆ

“ในบรรดาพวกเราสามปราชญ์ มีเพียงข้าเท่านั้นที่มีการรับรู้ทางวิญญาณที่แข็งกล้าที่สุด ดังนั้นข้าจึงตระหนักได้ถึงสิ่งที่กำลังจะมาถึงล่วงหน้าได้ดียิ่งกว่าคนอื่นๆ”

“ข้ากำลังปิดซ่อนความจริงจากพวกเขา แล้วลองพยายามแง้มชะตาเพื่อเปลี่ยนอนาคตด้วยเทคนิคทำนายชะตาจากสมัยบรรพกาลอยู่หลายครา จ่ายออกด้วยราคาที่แสนสาหัส ทว่าผลลัพธ์ของมันกลับมิคลาดเคลื่อนหรือเบี่ยงเบนไปจากทิศทางเดิมเลยแม้แต่น้อย”

กู่ฉิงซานจ้องมองไปยังนางเซียนไป่ฮั่วอยู่ครู่หนึ่ง ในจิตใจของเขา มันยากเกินทนที่จะยอมรับข่าวนี้

นางเซียนไป่เฝ้ามองเขาและเอ่ยกล่าว “ฉะนั้น เจ้าต้องใส่ใจตนเอง ระมัดระวังตนให้มากในยามที่ไปยังโลกเทวะ จงค้นหาสถานที่ปลอดภัยและโยนตัวเองไปอยู่ที่นั่น หากในกรณีที่เจ้าพบเจอกับสถานการณ์แปลกประหลาดใดๆ ขอจงรีบวิ่งหนีทันที”

“ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าคือมิใช่มนุษย์ ฉินเซี่ยวโหลวก็ยังมิมีไฟที่จะที่เรียนรู้วิถียุทธ ซิวซิวก็ยังเด็กเกินไป หากยามที่ข้าไปล่วงลับไปแล้ว นิกายร้อยบุปผาจำต้องพึ่งพาการสนับสนุนของเจ้า ดังนั้นเจ้าจะต้องปกป้องและรักษาตนเองเอาไว้ให้ดี”

ว่าจบนางก็หยิบบุหงา (ถุงใส่เครื่องหอม) ออกมา แล้วยื่นมันให้แก่กู่ฉิงซาน

“มรดกทั้งหมดของนิกายอยู่ภายในนี้ ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคฝึกยุทธหรือการหลอมกลั่นเม็ดยารักษา ก็ได้ถูกเตรียมเอาไว้พร้อมแล้ว นี่มันเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับศิษย์พี่ศิษย์น้องของเจ้า เพื่อใช้ในการยกระดับในภายภาคหน้า”

“หากข้าล่วงลับไป เจ้าจำต้องรับหน้าที่เป็นแสงส่องทาง นำพาพวกเขาไปสู่ชีวิตที่ดีต่อจากข้า เข้าใจไหม?”

กู่ฉิงซานมองไปยังถุงเครื่องหอม และเห็นแค่ว่ามันเป็นเพียงผ้าไหมที่ถูกทอด้วยสีสันธรรมดา มิได้ดูสะดุดตาใดๆ

“ท่านอาจารย์ หากท่านต้องการให้ข้าหลบหนี ท่านก็ต้องหลบหนีไปกับข้าด้วย พวกเรามิจำเป็นต้องไปยังโลกเทวะก็ได้” กู่ฉิงซานกล่าว

นางเซียนไป่ฮั่วยิ้ม “ยามสถานการณ์ปกติ แน่นอนว่าข้าย่อมสามารถทำตัวเกียจคร้าน มิจำเป็นต้องออกหน้าก็ได้ ทว่าบางครั้ง…ดังเช่นในครั้งนี้ ตัวข้ามิอาจหลีกเลี่ยงที่จะต้องไปยืนอยู่แนวหน้าได้จริงๆ”

“เพราะเหตุใด?”

“เพราะหากข้าหลบลี้จากมัน จะกลับกลายเป็นเจ้าแทนที่มิอาจหลบหนีมันไปได้”

แม้คำกล่าวนี้จะฟังดูอ้อมค้อม ทว่าสำหรับกู่ฉิงซาน เขากลับตระหนักถึงใจความสำคัญของมันได้อย่างสมบูรณ์

“เจ้ามิจำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับข้า โชคชะตามักจะให้โอกาสผู้คนที่จะหมายมั่นจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเสมอ บางทีคำที่ว่าตาย อาจจะมิได้หมายถึงการตกตายโดยสมบูรณ์ก็ได้”

“อาจารย์เจ้าทำนายชะตาและพลิกผันมันให้แก่ผู้อื่นมามากครั้ง ครานี้ก็เพียงแค่ถึงทีพลิกมันให้แก่ตนเองเท่านั้น เจ้าเชื่อใจข้าเถอะ”

นางเซียนไป่ฮั่วกล่าวเสร็จ เธอก็มอบถุงหอมให้แก่กู่ฉิงซานที่อยู่เบื้องหน้า ในจิตใจรู้สึกโล่งขึ้นหลายส่วน

“อ้อจริงสิ มีอีกสิ่งหนึ่ง มันเป็นความลับสิ่งสุดท้ายที่ข้าจะบอกมันแก่เจ้า แต่เจ้าจงอย่าแพร่งพรายมันออกไปแก่คนนอกเด็ดขาด”

“ขอรับ”

นางเซียนไป่ฮั่วกล่าว “โลกใบเทวะมันผิดปกติ”

“ผิดปกติ?” กู่ฉิงซานชะงักงัน

“ถูกต้อง กระทั่งเวลานี้ โลกเทวะก็ยังมิได้ตกอยู่ในการควบคุมของเผ่ามารโดยสมบูรณ์” นางเซียนไป่ฮั่วเอ่ยกล่าวด้วยความฉงน “แม้จะน่าหวาดกลัวตรงที่ในโลกใบนั้นเต็มไปด้วยอสูรและมารอยู่ทั่วทุกสารทิศ ทว่าช่างน่าประหลาด ที่แม้พวกมันจะครอบครองความแข็งแกร่ง แต่ก็มิได้สูงส่งหรือถึงขั้นดังเช่นพวกอสูรหรือมารชั้นสูงที่มักจะคอยออกคำสั่ง”

“กล่าวโดยสังเขปก็คือ โลกใบนี้มันผิดปกติ และข้ากำลังตรวจสอบเรื่องนี้อยู่”

กู่ฉิงซานพอได้ฟัง ก็จมหายเข้าไปในห้วงความทรงจำ

เมื่อครั้งที่เขาเข้าสู่โลกเทวะ สิ่งแรกที่เขาได้เห็นก็คือฝนเพลิง

ฝนเพลิงที่โปรยปรายลงจากท้องฟ้า ราวกับว่ามันไม่มีที่สิ้นสุด

แต่นับว่ายังโชคดีที่ครั้งก่อนในจุดที่กู่ฉิงซานถูกส่งตัวมา เขาอยู่ห่างไกลจากตำแหน่งบริเวณที่ฝนเพลิงร่วงโรยอยู่พอสมควร

จากนั้นก็วุ่นอยู่กับการต่อสู้ฝ่าวงล้อม ดังนั้น ฉากอันงดงามอย่างเม็ดฝนเพลิงที่ร่วงหล่นลงจากท้องฟ้าจึงมิได้สลักตรึงแน่นอยู่ในความทรงจำของเขา

ตอนนี้พอมาคิดๆ ดูแล้ว มันก็น่าแปลกจริงๆ นั่นแหละ เพราะกระทั่งตัวเขาเองก็ยังไม่เคยพบเห็นปรากฏการณ์เช่นนั้นมาก่อนเลย

“ข้าพอจะจดจำได้แล้วขอรับท่านอาจารย์” กู่ฉิงซานกล่าวหนักแน่น

“แล้วดาบของเจ้าเล่า?” นางเซียนเอ่ยถามฉับพลัน

“นี่ขอรับ”

กู่ฉิงซานหยิบดาบพิภพออกมาด้วยสีหน้างงงวยว่าจู่ๆ ทำไมถึงฉีกมาเอ่ยถามถึงเรื่องนี้?

“ไหนลองให้ข้าดูมันหน่อยซิ”

“ขอรับ”

หากเป็นผู้อื่นคิดหมายจะขอสำรวจดูดาบของกู่ฉิงซาน แน่นอนว่าเขาย่อมต้องระเบิดรังสีฆ่าฟันออกมาและสับมันทิ้งไปแล้ว

ทว่าหากเป็นคำขอของท่านอาจารย์ นี่มันก็ย่อมถือว่าเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

นางเซียนไป่ฮั่วเป็นคนที่เขาไว้ใจมากที่สุดในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ

กู่ฉิงซานผละดาบพิภพออกไป

นางเซียนไป่คว้าดาบ และเฝ้ามองดูมันอย่างเงียบๆ สีหน้าของนางเผยให้เห็นถึงความคะนึงหาในห้วงทรงจำ

“ช่างน่าเสียดาย ที่ในครั้งอดีตห้วงอารมณ์และอุปนิสัยของข้ามันดื้อดึงเกินไป จึงมิได้ก้าวเดินไปด้วยกันกับดาบเล่มนี้” ปากเอ่ยกล่าว พลางถอนหายใจออกมา…

.......................................................