webnovel

0246 คำสั่งของสามปราชญ์

ตอนที่ 246 คำสั่งของสามปราชญ์

กู่ฉิงซานพยายามกล่าวโน้มน้าวทุกวิถีทาง จนสุดท้ายฉินเซี่ยวโหลวจึงยอมแพ้ในเรื่องฉายานี้อย่างไม่เต็มใจ

กู่ฉิงซานถอนหายใจยาวเหยียด เพื่อบรรเทาความตึงเครียดจากเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องลง

หลังจากที่ฟื้นฟูสภาพจิตใจอยู่สักพักจนดีขึ้น เขาก็ออกไปเดินเล่นรอบๆ อีกครั้ง

เมื่อผู้ฝึกยุทธจากนิกายต่างๆ พบเห็นเขา ทั้งหมดก็เข้ามาทักทายอย่างจริงใจ พูดคุยสนทนาทำความรู้จักกัน ทำให้กู่ฉิงซานได้รู้จักเพื่อนใหม่มากมาย

สองวันที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นสี่ดาบแห่งสีซาน หยานหยูขั้นก่อกำเนิดแห่งลั่วเซี่ย หรือแม้กระทั่งผู้นำจากนิกายเล็กๆ ต่างก็ได้เข้ามาพบปะกับเขาจนคุ้นชิน

ในตอนเที่ยงของวันที่สาม กู่ฉิงซานได้ลุกขึ้นมาจากการแช่น้ำยาอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มปล่อยจิตสัมผัสเทวะเข้าไปสำรวจร่างกายอย่างระมัดระวัง

เวลาผ่านไปนาน ก่อนที่ใบหน้าของเขาจะผุดยิ้มออกมา

ในที่สุด ร่างกายของเขาก็ฟื้นฟูกลับมาได้อย่างสมบูรณ์แล้ว

และแทบจะเป็นในช่วงเวลาเดียวกัน เปลวไฟที่ลุกไหม้จากภายนอกก็บินเข้ามาภายในเต็นท์ทหารและตกลงเบื้องหน้าของเขา

กู่ฉิงซานยื่นมือไปคว้าจับยันต์สื่อสาร จากนั้นก็ได้ยินเสียงของนางเซียนไป่ฮั่วดังออกมาจากภายใน

“จงมาที่เต็นท์บัญชาการกลาง พวกเราจะเริ่มจัดวางแผนและมอบหมายภารกิจโจมตี”

กู่ฉิงซานสวมเสื้อผ้า แต่งตัวจนเสร็จ แล้วจึงเดินออกจากเต็นท์ทหาร

ภายในเต็นท์บัญชาการกลาง

นางเซียนไป่ฮั่ว น้อมสวรรค์ซวนหยวน และนักพรตเป่ยหยวน นั่งอยู่ในตำแหน่งบนสุด

ถัดลงมาผู้ฝึกยุทธชั้นนายพลที่สวมเกราะเต็มยศ พวกเขาเพิ่งได้รับคำสั่งเสร็จสิ้น โค้งคาระ แล้วเดินถอยฉากกลับไปยืนประจำตำแหน่งเดิม

กู่ฉิงซานเดินเข้าไป

“อาการบาดเจ็บของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” นักพรตเป่ยหยวนเอ่ยถาม

“ดีขึ้นมากแล้วขอรับ ต้องขอบพระคุณสำหรับยาวิญญาณที่ท่านนักปราชญ์ได้มอบให้” กู่ฉิงซานกล่าวสำนึกคุณ

“อมิตาพุทธ เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว มิเช่นนั้นตัวยาอันแสนเลอค่าของข้าคงจะเสียชื่อแย่”

นักพรตเป่ยหยวนสีหน้าดูไม่ค่อยสู้ดีนัก ราวกับว่าเพิ่งฉุกคิดได้ถึงอะไรบางอย่าง มุมปากของเขาอดไม่ได้ที่จะกระตุกเล็กน้อย

นักปราชญ์อันสูงส่ง ยามเอ่ยคำเหล่านี้ออกมา น้ำเสียงของเขากลับฟังดูสั่นเล็กน้อย

การกระทำนี้ถือว่าเข้าใจได้ เพราะตัวยาจำนวนมหาศาลที่ประเมินค่าเป็นเงินตราไม่ได้ ถูกนำไปใช้อย่างฟุ่มเฟือย ทั้งๆที่สำหรับคนธรรมดาทั่วไปกระทั่งหม้อดินโถเดียว ก็ยังไม่มีโอกาสได้สัมผัสมันและจำต้องตกตายลงไปอย่างไม่ยินยอม

นางเซียนไป่ฮั่วเบนสายตาไปทางอื่นทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนกู่ฉิงซานก็มีไหวพริบพอตัว จึงมิได้เอ่ยทักท้วงออกไป

ลืมมันเถอะ ไม่ว่าอย่างไรก็ได้รับผลประโยชน์มาแล้ว อย่าไปโรยเกลือใส่บาดแผลของผู้อื่นเพื่อซ้ำเติมพวกเขาเลย

น้อมสวรรค์ซวนหยวนรีบเปลี่ยนประเด็น “เราจะเข้าโจมตีโลกเทวะในทันที เวลานี้กำลังจัดเตรียมภารกิจให้แก่ทหารชั้นนายพล ที่พวกเราเรียกเจ้ามา ก็เพื่อต้องการฟังในสิ่งที่เจ้าคิด แล้วจากนั้นจึงค่อยทำการตัดสินใจว่าจะมอบหมายภารกิจใดให้แก่เจ้า”

กู่ฉิงซานประสานหนึ่งกำปั้นหนึ่งฝ่ามือ ปากเอ่ยกล่าว “ข้ายินดีที่จะรับมอบภารกิจนำกองทัพ”

นี่คือสายอาชีพเก่าในโลกก่อนหน้าของเขาอยู่แล้ว ดังนั้นการที่จะได้รับหน้าที่เดิมอีกครั้ง จึงมิใช่เรื่องยากเย็นอะไร

แม้ว่าพื้นฐานวรยุทธในยามนี้จะไม่สูงส่ง ทว่าความสามารถในการต่อสู้และบัญชาการรบยังคงอยู่ แถมตอนนี้เหล่าผู้ฝึกยุทธต่างก็ยอมรับในตัวของเขาแล้ว ดังนั้นหากเอ่ยคำสั่งใดออกไป ย่อมที่จะไม่เกิดอุปสรรคมากนัก

ความกังวลเพียงอย่างเดียวของเขาก็คือ โลกเทวะ

มันเป็นโลกใบใหม่

ในชีวิตก่อนหน้า มันไม่เคยถูกบุกโจมตีโดยมนุษย์ และไม่เคยมีใครเข้าไปยังโลกเทวะมาก่อน

แต่หลังจากที่กู่ฉิงซานได้กลับมาจุติใหม่อีกครั้ง เขาก็ได้ถูกส่งตัวไปยังโลกเทวะโดยกงซุนซี ทว่าก็เป็นแค่ระยะเวลาสั้นๆ แม้จะมีต่อสู้อยู่บ้าง แต่เกือบทั้งหมดก็เพียงแค่วิ่งหนีเท่านั้น

ดังนั้นด้วยระยะเวลาสั้นๆ ตัวเขาย่อมไม่มีทางเข้าใจถึงสถานการณ์และสภาพภูมิประเทศโดยรอบของโลกเทวะโดยอย่างละเอียดได้

อย่างไรก็ตาม การเผชิญหน้าท้าทายกับสิ่งที่ไม่รู้จัก แม้จะน่ากังวล แต่ขณะเดียวกันมันก็น่าตื่นเต้นไม่น้อย

กู่ฉิงซานรู้สึกว่าตัวเขาพร้อมแล้ว

มันจะเป็นการต่อสู้เพื่อเรียกคืนสถานะผู้บัญชาการสงครามของเขาในครั้งอดีต

สามปราชญ์หันมามองหน้ากันและกัน แม้จะผ่านไปครู่หนึ่ง แต่ก็ยังไม่มีใครเอ่ยอะไรออกมา

นางเซียนไป่ฮั่วผุดยิ้มที่แท้จริงขึ้นบนใบหน้า สายตานางจ้องมองไปยังศิษย์ตน ในหัวใจบังเกิดความพึงพอใจออกมาเป็นพิเศษ

นายพลหลายคนที่เพิ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่ง ส่วนใหญ่แล้วมักจะเลือกภารกิจที่ต้องทำงานคนเดียว ไม่มีใครคิดจะรับภารกิจที่ยากลำบากและน่าปวดหัวอย่างการนำกองทัพ

เพราะการนำทัพ มันหมายถึงความรับผิดชอบที่เพิ่มสูงขึ้น

การอยู่รอดของทหารแต่ละคนจะเกี่ยวโยงกับนายพลโดยตรง นอกจากนี้ นายพลยังต้องเป็นคนคอยวางแผนการล่วงหน้า ว่าจะโจมตีหรือล่าถอย เพื่อให้บรรลุภารกิจสงคราม และเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน บังเอิญเผชิญหน้ากับกองกำลังอื่นๆ เข้า เขาจะต้องตัดสินใจอย่างฉับไว ว่าจะเลือกบุกโจมตี ป้องกัน หรือล่าถอยเพื่อรายงานสถานการณ์

นอกจากนี้ เมื่อทหารในบังคับบัญชาต้องเผชิญหน้ากับอสูรกายที่ไม่สามารถจัดการได้ นายพลจะต้องเป็นคนลงมือออกหน้าเป็นการส่วนตัว ทั้งยังต้องสั่งการมาตรการตอบโต้ มิฉะนั้น การที่ทั้งกองกำลังของเขาจะหลบหนีไปมันจะเป็นการยากยิ่ง ‘หากการตอบสนองเป็นไปอย่างไร้ประสิทธิภาพ’ นายพลที่คุมกองกำลังก็จะถูกลงโทษตามวินัยทหาร

ดังนั้นยศนายพลจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะได้รับ ทว่าหน้าที่ที่นายพลจำต้องปฏิบัติต่างหากที่นับว่าเป็นเรื่องยากเย็นและเครื่องพิสูจน์ฝีมือขนานแท้

น้อมสวรรค์ซวนหยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะจัดเรียงคำพูดและกล่าวว่า “สำหรับเจ้า แม้ว่าจะมีความประสบความสำเร็จที่ดี และแสดงให้เห็นว่าตนเองมีฝีมือในด้านกลยุทธ์อย่างแท้จริง ทว่าด้วยอายุที่น้อยกว่ายี่สิบปี การให้เจ้ามาเป็นผู้นำทัพ มันจะเป็นเรื่องยากที่จะโน้มน้าวใจทหารให้ฟังคำสั่งได้”

“เป็นดั่งที่ท่านนักปราชญ์กล่าว เช่นนั้นในคราแรก ขอให้ลดหลั่นจำนวนทหารที่ผู้น้อยจำต้องสั่งการควบคุมลงจะได้หรือไม่” กู่ฉิงซานกล่าว

กู่ฉิงซานยังคงไม่ยินยอม ณ ขณะนี้ เขากำลังมองการณ์ไกล ไปถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับในภายภาคหน้า

ภารกิจแห่งโชคชะตาของระบบเทพสงครามที่กำลังจะได้เริ่มทำนี้ เกรงว่ามันจะไม่ง่ายดายเหมือนที่แล้วๆ มา

แต่ถ้าหากเขามีทีมเป็นของตัวเอง ก็จะสามารถกระทำหลายสิ่งได้โดยพึ่งพาพลังของทุกคน

ถึงแม้ว่าภารกิจที่ได้จะเป็นภารกิจที่ยาก ทว่าหากผู้ฝึกยุทธนับร้อยนับพันช่วยเหลือซึ่งกันและกัน กระบวนการภารกิจมันก็ย่อมที่จะง่ายกว่าการคลำหาหนทางเพียงลำพังอย่างแน่นอน

ในระหว่างที่กู่ฉิงซานคิด นักพรตเป่ยหยวนก็เอ่ยปากออกมา “อมิตาพุทธ เราพระผู้ชราคิดว่าประสกกู่ยังเยาว์เกินไปเช่นกัน มันจะเป็นการดีกว่า หากให้เขาฝึกฝนจนคุ้นเคยกับตำแหน่งนายพลเสียก่อน จากนั้นจึงค่อยมาพูดคุยกันถึงเรื่องให้ออกนำทัพกันอีกครั้ง”

เมื่อได้ฟังถึงสิ่งที่สองปราชญ์กล่าว กู่ฉิงซานก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

แม้ใบหน้าของข้าจะยังคงอ่อนเยาว์ ทว่าพวกท่านมิรู้เลยหรือ ว่าประสบการณ์สู้รบมากมายเหลือคณามันฝังลึกลงไปในกระดูกข้าตั้งนานนมแล้ว นี่ข้าจะมิได้รับกระทั่งโอกาสที่จะได้ทดลองเลยหรือ?

เขามองไปยังนางเซียนไป่ฮั่วและกล่าวว่า “เช่นนั้น มิต้องนำทัพ แต่ข้าขอแค่เพียงนำทีมเล็กๆ สิบคน และมิต้องการเพิ่มเติมมากไปกว่านี้ จะได้หรือไม่?”

นางเซียนไป่ฮั่วส่ายหัวอย่างอ่อนโยน “หากเจ้าหามีประสบการณ์ไม่ ไม่ว่าจะสิบคนหรือสามคน มันก็เป็นไปมิได้ จงทำความคุ้นเคยกับหน้าที่ของตัวเองเสียก่อนเป็นอันดับแรก”

ความหวังสุดท้ายพังทลาย

นางเซียนไป่ฮั่วมองไปยังศิษย์ตนและเอ่ยปากสั่งสอน “ที่พวกเขากล่าวออกมานั้นสมเหตุสมผล ข้าก็เห็นด้วยเช่นกัน พวกเรายังไม่ทราบถึงสถานการณ์ในโลกเทวะ เจ้าจะปลอดภัยมากกว่าหากอยู่ลำพัง เมื่อเจ้าเริ่มคุ้นเคยกับสถานการณ์เมื่อไหร่ ข้านี่แหละ จะเป็นผู้มอบทหารให้เจ้าคุมทัพเอง”

นั่นสินะ ท่านอาจารย์ดูจะเป็นกังวลเกี่ยวกับเขาไม่น้อย นางกระทั่งยอมเสียหน้า กล่าวเห็นด้วยกับนักปราชญ์ทั้งสอง

นอกจากนี้ หากสามปราชญ์ได้ยืนกรานออกมาแล้ว ทว่ายังมีใครคิดจะยอมหักไม่ยอมงอกับพวกเขาอีกล่ะก็ นั่นเท่ากับว่าตนกำลังมองหาความตาย

กู่ฉิงซานประสานหนึ่งกำปั้นหนึ่งฝ่ามือ ขานน้อมรับ “ทราบแล้วขอรับ”

พอสามปราชญ์เห็นว่าอีกฝ่ายยินยอมแล้ว พวกเขาก็พยักหน้าเล็กน้อย

“เอาล่ะ เจ้าออกไปก่อน ไว้เราจะหารือเกี่ยวกับมัน และจะรายงานภารกิจที่เจ้าจะได้รับมอบหมายอีกครั้งในภายหลัง”

“น้อมรับคำสั่ง”

กู่ฉิงซานถอยฉากออกจากเต็นท์บัญชาการกลาง

ในคืนนั้น ค่ายทหารเริ่มกลับมาวุ่นวายอีกครั้ง

ทั่วทั้งค่ายถูกปกคลุมไปด้วยบรรยากาศคุกรุ่น

พรุ่งนี้เช้าจะเป็นวันที่ทุกคน ได้ก้าวเข้าสู่โลกเทวะอย่างเป็นทางการ ทุกคนเลยอดไม่ได้ที่จะบังเกิดความรู้สึกแตกต่างกันออกไป บ้างกังวล บ้างตื่นเต้น

ช่วงกลางดึก สามนายพลติงหยวน กงซุนซี หมิงฮุ่ย และหนิงเยว่ฉาน ก็นำทีมของตนแยกตัวออกไป เพื่อเตรียมการก้าวเข้าสู่โลกเทวะ

พวกเขาใช้เวลาส่วนหนึ่งในการจัดตั้งค่ายกลในทะเลมาร สร้างค่ายทหาร เพื่อรองรับการมาถึงของกองกำลังหลักในวันพรุ่งนี้

ส่วนทางด้านกู่ฉิงซาน ขณะนี้เขากำลังวุ่นอยู่กับการทาสีเรือเหาะ เพื่อปกปิดตัวอักษรที่เขียนว่า ‘ฉิง’

ในวันพรุ่ง หากบังเกิดการต่อสู้อันรุนแรงขึ้น แล้วทุกคนเห็นว่าเรือบินสองลำลอยเคียงคู่กัน หนึ่งฉิง หนึ่งโหลว (รวมเป็นหอนางโลม) กู่ฉิงซานนึกภาพไม่ออกจริงๆ ว่าเหล่าผู้ฝึกยุทธจะมองหน้าพวกเขาด้วยสายตาเช่นไร

หากใครบางคนเกิดหลุดหัวเราะขึ้นมา แล้วทำให้ตัวคนคนนั้นเกิดเสียสมาธิจนถูกฆ่าในสนามรบ นี่มันจะไม่กลายเป็นว่าเป็นความผิดของพวกเขาหรอกหรือ

บังเกิดจุดเปลวไฟลอยเข้ามาเบื้องหน้าเขา

กู่ฉิงซานคว้ามัน และพบกับข้อความของหนิงเยว่ฉานที่อยู่ภายใน

“ก่อนหน้านี้ข้าได้เคยข้ามผ่านเข้าไปสำรวจในโลกเทวะมาก่อนแล้ว ที่แห่งนั้นอันตรายมาก หากเจ้าพบเจอกับวิกฤตใดๆ ขอให้เรียกหาข้า แล้วข้าจะไปช่วยเหลือเจ้าในทันที”

กู่ฉิงซานถือยันต์สื่อสาร ขณะที่สีหน้าการแสดงออกของเขาเปลี่ยนเป็นซับซ้อน

หญิงนางนี้เจตนาดี แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาจึงมักจะรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลอยู่เสมอเลย

กู่ฉิงซานส่ายหัว แล้วส่งข้อความกลับไปว่า “เจ้าก็ใส่ใจกับตนเอง ระวังตัวให้ดีๆ ด้วยล่ะ” ลงในยันต์สื่อสาร

เขาเร่งทาสีกลบคำว่า ‘ฉิง’ อย่างรวดเร็ว และทาทับด้วยตัวอักษรสีแดงขนาดใหญ่ว่า ‘ซาน’ ลงไปแทน

เขาถอยหลังออกไป เฝ้าสังเกตมันอย่างใกล้ชิด และพบว่าอักษรสีแดงได้เขียนลงตรงหน้าเรือพอดิบพอดี องศาไม่มีเบี้ยวเลยแม้แต่น้อย

เสร็จสักที...

กู่ฉิงซานพยักหน้าด้วยความพอใจ

....................................................