webnovel

0207 ถูกกำหนดมาตั้งแต่เกิด

ตอนที่ 207 ถูกกำหนดมาตั้งแต่เกิด

“ตอนนี้ฉันก็ได้ฆ่าคนลงไปแล้ว หลังจากนี้ ถ้าจำเป็นจะต้องฆ่าใครอีกสักคน ฉันคงไม่หวาดกลัวที่จะทำมันอีกต่อไป” ซูเซี่ยเอ๋อร์พูดพึมพำกับตัวเอง ทว่ามันก็ดังพอที่จะให้คนที่ยืนอยู่ใกล้เคียงได้ยินเช่นกัน

ซูเหวินอดไม่ได้ที่จะถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว

ซูเซี่ยเอ๋อร์เอียงคอ สองตาหรี่แคบลง เลื่อนสายตาตามติดไปบนร่างของซูเหวิน

“น้องชาย นายลืมอะไรไปหรือเปล่า ฉันเป็นมืออาชีพผู้ใช้ธาตุลมขั้นสี่นะ”

“ทำไมนายถึงคิดว่าฉันจะต้องทำตามทุกสิ่งอย่างที่นายต้องการด้วย?”

“เพราะความสัมพันธ์ทางสายเลือดอย่างนั้นเหรอ? ถ้าเป็นเรื่องนั้นล่ะก็ อย่าคิดนะว่าฉันจะไม่กล้าลงมือทำอะไรนาย”

“เพราะถ้าความสัมพันธ์ทางสายเลือดมันมีประโยชน์จริงๆ นายคงไม่มีทางทำกับฉันแบบนี้หรอก...ใช่ไหม?”

ฉากงานเลี้ยงเต้นรำจมลงสู่ความเงียบ

ทุกสายตาต่างจ้องมองมายังซูเซี่ยเอ๋อร์ ก่อนจะสลับไปมองร่างไร้วิญญาณบนพื้น

“พะ...พี่ นี่พี่เป็นคุณหนูแห่งตระกูลซูนะ พี่ฆ่าคนต่อหน้าฝูงชนแบบนี้ได้ยังไงกัน”

สีหน้าของซูเหวินซีดเผือดไปนานแล้ว ตรงหน้าเขา คือพี่สาวที่จิตใจดีและง่ายดายต่อการควบคุมคนนั้นจริงๆ น่ะหรือ?

ซูเหวินก้าวถอยหลังไปอีกหลายก้าว แล้วขาของเขาก็สั่นไม่หยุดจนมิอาจถอยต่อได้

“ฉันเป็นคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลซูก็จริง แต่เมื่อถูกผู้คนข่มขู่ต่อหน้า หากฉันไม่ลงมือออกไป มันคงจะน่าละอายและเสียศักดิ์ศรีไม่น้อย”

ซูเซี่ยเอ๋อร์พูดไม่หยุด ทั้งคนทั้งร่างดูราวกับตกอยู่ในสภาวะที่แปลกออกไป

“ทำไมนายถึงเข้าใจผิด คิดว่าฉันจะยอมให้ถูกรังแกอยู่เสมอๆ กัน?”

“เป็นเพราะฉันเอาแต่ตั้งใจเรียน จนเกรดออกมาดีอย่างนั้นเหรอ? หรือเป็นเพราะว่าฉันมักจะแบ่งเวลาไปใช้เงินเพื่อช่วยเหลือพี่ใหญ่ที่มักจะถูกตราหน้าว่าเป็นแค่คนยากจนกัน? คิดว่าฉันมัวแต่ทำเรื่องพวกนั้นจนปล่อยให้ตัวเองอ่อนแอ กระทั่งไม่มีเวลาไปฝึกยุทธรึไง?” เธอเอ่ยพึมพำ

สองเท้าค่อยๆ ก้าวตรงไปยังซูเหวิน

ฟันทั้งบนทั้งล่างของซูเหวินกระทบกันจนส่งเสียงกึกๆๆ ฝืนพยายามบังคับขาที่สั่นสะท้านให้ถอยห่างออกไป ทว่าสุดท้ายขาก็ดันพันกันจนล้มลงกับพื้น ตนจึงเลือกที่จะคลานหนีอย่างรวดเร็ว

“นี่มันเรื่องอะไรกัน!”

น้ำเสียงของชายวัยกลางคนที่ดูอ่อนโยนดังขึ้น

ทุกคนเบนสายตาไปมอง และก็พบว่าเจ้าของเสียงคือเสาหลัก หนึ่งในกระดูกสันหลังของตระกูลซู และยังเป็นบิดาของซูเซี่ยเอ๋อร์ ‘ซูเซิงเหวิน’

“เซี่ยเอ๋อร์ สถานการณ์ในตอนนี้มันอะไรกัน ทำไมจู่ๆ ลูกถึงฆ่าคนในที่สาธารณะ?” เขาดุด่าออกมา แต่ดูเหมือนว่าเรื่องที่กังวล จะไม่ใช่เรื่องศพที่ตายลง แต่เป็นเรื่องอื่นเสียมากกว่า

ซูเซี่ยเอ๋อร์หันไปมองบิดาของตน ปากเอ่ยกล่าวอย่างเป็นเรื่องเป็นราว “เพราะเขาเป็นเพียงแค่ผู้ติดตาม พลังอำนาจที่ครอบครองก็เล็กจ้อย แต่ดันกล้าที่จะข่มขู่คุกคามหนู บังคับให้หนูทำในสิ่งที่เขาต้องการ”

พ่อของซูเซี่ยเอ๋อร์ตะลึงงัน เนิ่นนานไม่อาจเอ่ยปากกล่าวออกมาได้

เขาไม่คิดว่าบุตรสาวของตนให้คำตอบแบบนี้กลับมา

เดิมเขาตั้งใจที่จะใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์ที่ลูกสาวทำผิดพลั้ง สั่งสอนเธอสักเล็กๆ น้อยๆ แต่พอลองมองย้อนกลับไป ดูเหมือนว่าเขาไม่สมควรจะทำเช่นนี้เลย

ซูเซิงเหวิน มองไปยังร่างไร้วิญญาณบนพื้น

นี่มันก็นับว่าเป็นครั้งที่สองแล้ว ที่ลูกสาวของเขาถูกเข้ามาคุกคามโดยตรงแบบนี้ (ครั้งแรกคือพวกนักฆ่าในมหาลัย)

ถ้าอย่างนั้นบทลงโทษนี่ ก็สมควรแล้วที่แกจะได้รับ ไอ้เจ้าบ้าเอ๊ย!

ความโกรธเกรี้ยวปะทุขึ้นใจจิตใจของเขา ซูเซิงเหวินหันไปขยิบตาส่งสัญญาณให้ลูกน้องคนข้างๆ

และไม่นาน ศพก็ถูกเก็บกวาดออกไปอย่างรวดเร็ว พร้อมกับรอยเลือดบนพื้น และฉากในงานเต้นรำก็กลับมาสะอาดเอี่ยมดังเดิม ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

กลุ่มชนชั้นสูงทุกเพศทุกวัย หันมามองหน้ากันและกัน ก่อนที่จะเบนสายตาไป เดินขวักไขว่ แยกย้ายกันไปตามจุดต่างๆ ในงานเลี้ยงต่อ แต่ก็ไม่วายเอ่ยพูดคุยกัน

“เอาเถอะ มันเป็นเรื่องเล็กน้อยๆ เซี่ยเอ๋อร์นับว่าทำถูกแล้ว”

นั่นสินะ ผู้ติดตามแบบนี้ มาอยู่ในตระกูลได้ยังไงกัน มันสมควรถูกทุบตีจนตายแล้ว”

“เมื่อกี้ฉันไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม มิสซูเป็นชนชั้นสูงผู้ใช้ธาตุลมขั้นสี่อย่างนั้นเหรอ?”

ซูเหวินเซิงพยักหน้าให้ซูเซี่ยเอ๋อร์ และส่งสัญญาณให้บุตรสาวเดินตามตนเองมา

ทั้งสองเดินออกจากห้องโถงเต้นรำ ข้ามผ่านลานกว้างและกำแพงหนา จนในที่สุดก็มาถึงห้องศึกษาของซูเซิงเหวิน

ประตูถูกกระแทกปิดลง

ซูเซิงเหวินกล่าวด้วยความโกรธ “ลูกต้องการอะไรถึงทำแบบนั้น รู้ตัวรึเปล่าว่าสิ่งที่ทำลงไปต่อหน้าสายตาของสาธารณชนมันจะส่งผลถึงเรื่องการแต่งงานของลูกโดยตรง?”

ซูเซี่ยเอ๋อร์ก้มหน้าลง ปากเอ่ยถาม “ท่านพ่อต้องการให้หนูแต่งงานจริงๆ เหรอ? หนูเป็นมืออาชีพขั้นสี่ที่หาตัวจับได้ยากเชียวนะ พ่อจะยอมให้หนูไปตกอยู่ในมือของคนนอกจริงๆ น่ะหรือ?”

ซูเหวินเซิงขบคิด และในที่สุดเขาก็เข้าใจอะไรบางอย่าง

สีหน้าของเขาดูอ่อนลง และน้ำเสียงก็เช่นกัน “พ่อไม่ได้ต้องการให้เจ้าแต่งงานหรอก แต่นั่นคือสิ่งที่แม่เจ้าต้องการ เธอคิดว่าตัวลูกสมควรจะได้รับที่พักพิงที่ดี แต่นั่นมันก็เป็นเรื่องที่ดีมิใช่หรือ”

“พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันนะ ย่อมเป็นธรรมดาที่จะคาดหวังให้ลูกมีอนาคตที่ดี”

พอได้ยินคำพูดนี้ ซูเซี่ยเอ๋อร์ก็เงยหน้าขึ้นมามองพ่อของเธอ

และอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกไป “ถ้าอย่างนั้นทำไมถึงไม่เลือกกู่ฉิงซานล่ะ เขาเป็นหัวหน้านักวิจัยหุ่นรบแห่งรัฐบาลกลาง กระทั่งองค์หญิงแอนนาก็ยังชื่นชมเขา ตัวตนแบบนั้น ทำไมท่านพ่อถึงไม่ยอมรับ?”

“เด็กโง่เอ๋ย เทคโนโลยีทั้งหมดที่เขาสรรค์สร้างนั้นเป็นของรัฐบาลกลาง และถูกควบคุมโดยเทพธิดากงเจิ้ง พวกเราไม่อาจแทรกแซงมันได้เลย”

ทว่าในแววตาของซูเหวินเซิงกลับเปล่งประกายถึงร่องรอยของความหยั่งรู้เล็กน้อย ปากเอ่ยกล่าว “ยังไงก็ตาม หุ่นรบของเขาก็อยู่ในมือของลูกแล้ว เทคโนโลยีพวกนี้มันสามารถถอดชิ้นส่วนมาเพื่อนำมาใช้ในการค้นคว้าและลอกเลียนได้ตลอดเวลา แล้วค่อยประกอบกลับคืนให้เหมือนเดิมก็ได้”

“ดังนั้นตัวเขาจึงไม่นับว่ามีความสำคัญใดๆ”

ซูเซี่ยเอ๋อร์กล่าวอย่างร้อนรน “แต่ในอนาคต เขาจะต้องก้าวหน้ายิ่งกว่านี้อย่างแน่นอน เขาจะสรรค์สร้างความสำเร็จมากขึ้น และมีผลงานที่ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้นกว่านี้”

“เรื่องในอนาคตใครจะไปคาดเดาได้กัน? เขาเป็นเพียงแค่คนทั่วไป ไม่ได้มีอำนาจและอิทธิพลใดๆ!”

“ไอ้เจ้าสิ่งที่เรียกว่าอำนาจหรืออิทธิพลมันสำคัญมากเลยอย่างนั้นหรือ?” ซูเซี่ยเอ๋อร์กัดฟันพูด

ซูเซิงเหวินมองไปยังลูกสาวของตน เฝ้ามองใบหน้าอันงดงามละเอียดลออของเธอก่อนจะถอนหายใจออกมา

“ลูกพ่อ หากเจ้าไร้ซึ่งอำนาจและอิทธิพล วันใดวันหนึ่งในอนาคตข้างหน้า ชีวิตเจ้าคงไม่แคล้วพบเจอแต่ความทุกข์ยาก และตกอยู่ในสภาพน่าสังเวช”

“ท่านพ่อ ไม่คิดเลยหรือว่าหากหนูได้อยู่ร่วมกันกับเขา หนูจะได้รับอำนาจและอิทธิพลมากมายยิ่งกว่านี้”

ซูเซิงเหวินมองดูบุตรสาวตนเอง ย้อนนึกไปถึงพลังธาตุขั้นสี่ที่ถูกปลดผนึกออก และส่วนหนึ่งเกิดขึ้นก็เพราะมีกู่ฉิงซานเป็นตัวกระตุ้น สำหรับเรื่องนี้เขาก็รู้สึกเห็นด้วยอยู่บ้างเหมือนกัน

เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ แล้วเอ่ยปากอย่างไม่ทันคิด “ถ้าเจ้าไม่ใช่บุตรสาวสายตรงของตระกูลซูแล้วล่ะก็ พ่อคงไม่ห้ามเจ้าแล้วล่ะ ขอบอกเลยว่าลูกคงจะได้แต่งงานกับกู่ฉิงซานตามที่ใจต้องการไปแล้วอย่างแน่นอน”

ประโยคเมื่อครู่ช่างแปลกประหลาดนัก ซูเซี่ยเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะลืมตาขึ้นและเอ่ยถาม “ไม่ใช่บุตรสาวสายตรง? หนูไม่เข้าใจว่าพ่อกำลังหมายถึงอะไร”

ซูเซิงเหวินเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็หัวเราะออกมา เอ่ยเบี่ยงประเด็นออกไป “เจ้าหนุ่มคนนั้น สามารถรอดชีวิตมาได้ยาวนานถึงขนาดนี้ นับว่าดวงดีโดยแท้”

พอได้ฟัง เรื่องก่อนหน้าก็ถูกโยนทิ้งไว้เบื้องหลังทันที สีหน้าของซูเซี่ยเอ๋อร์แปรเปลี่ยนไป เธอเร่งเอ่ยถาม “ที่พูดนั่นหมายความว่ายังไง? หรือท่านพ่อจะบอกว่ามีใครกำลังคิดร้ายกับเขา?”

“ไม่มีใครคิดร้ายกับเขาหรอกลูกสาวที่รักของพ่อ” ซูเซิงเหวินถอนหายใจ “แต่รู้อะไรไหม ตั้งแต่ที่เขาสารภาพรักกับลูก ไม่เพียงแต่เรา แต่คนอื่นๆ ของเก้าตระกูลหลัก ก็เริ่มเพ่งเล็งไปยังเขาแล้ว ต่อจากนี้ไปเจ้าหนุ่มนั่นคงจะใช้ชีวิตลำบากไม่น้อยเลยล่ะ”

“ทำไมกัน!” ซูเซี่ยเอ๋อร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง

“เพราะตั้งแต่ลูกเกิดมา คู่ครองของลูกก็ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ว่าต้องเป็นรุ่นเยาว์สายตรงของเก้าตระกูลใหญ่เท่านั้น”

“คู่ครองของหนูถูกกำหนดมาตั้งแต่แรกเกิดแล้ว…?”

ซูเซี่ยเอ๋อร์ขบเคี้ยวคำพูดนี้อยู่ในปาก สายตามองไปยังบิดาตนด้วยประกายที่ยากจะอธิบาย

ซูเซิงเหวินส่ายหัวและถอนหายใจออกมา

ไหนๆ เรื่องราวก็มาถึงจุดนี้แล้ว มันจะเป็นการดีกว่าที่จะอธิบายถึงสิ่งต่างๆ ออกไปให้มันชัดเจน

“ลูกพ่อ เจ้ารู้ไหมว่า บุตรสาวทุกคนในเก้าตระกูลใหญ่ จะต้องแต่งงานกับลูกหลานสายตรงของเก้าตระกูลใหญ่ด้วยกันเองเท่านั้น นี่คือกฎ”

ซูเซี่ยเอ๋อร์ตะลึงงัน ก่อนจะย้อนนึกขึ้นมาได้ว่า ภรรยาทุกคนที่ตบแต่งเข้าไปยังเก้าตระกูลใหญ่คนอื่นๆ ล้วนแล้วแต่เป็นชนชั้นสูงทั้งสิ้น

“ไม่ ไม่นะ... เธอเอ่ยพึมพำด้วยใบหน้าซีดเซียว “ทำไมถึงมีกฎแบบนี้ ทำให้ถึงไม่ให้หนูเป็นคนเลือกเอง”

ซูเซิงเหวินลุกขึ้นเดินวนไปวนมารอบๆ ห้อง เอ่ยกล่าวด้วยความกระวนกระวาย “ปกติเรื่องพวกนี้ ลูกจะได้รับรู้มันหลังจากที่แต่งงานแล้วเท่านั้น แต่พ่อก็เลือกที่จะบอกมันให้ลูกได้รู้ล่วงหน้า หวังว่าหลังจากนี้ไปลูกคงจะไม่คิดหลีกเลี่ยงพวกชนชั้นสูงรุ่นเยาว์อีกนะ”

“ทายาทสายตรงของเก้าตระกูลใหญ่ จะต้องหลอมรวมเข้าด้วยกันเท่านั้น เพื่อให้มั่นใจว่าความลับที่เก้าตระกูลคอยปกป้องมันจะไม่รั่วไหลออกไป” ซูเซิงเหวินกล่าว

“ความลับอะไรกัน?”

“พ่อก็ไม่รู้เหมือนกันว่าความลับนั้นคืออะไร มีเพียงผู้ได้รับสืบทอดตำแหน่งหัวหน้าตระกูล และภรรยาของเขาเท่านั้นจึงจะได้ล่วงรู้ถึงความลับนี้”

“แต่เท่าที่พ่อได้รับรู้มา มันเป็นความลับที่ได้รับการปกป้องมายาวนานกว่าเจ็ดร้อยปีแล้ว”

“ความลับมันไม่เคยรั่วไหลออกมา แล้วพ่อจะไปรู้ได้ยังไง?” ซูเซี่ยเอ๋อร์ถาม

“สามสิบปีก่อน มีนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดนามว่าเหลียวฮัง เขาได้ใช้เทคโนโลยีจัมป์ของตนสอดแนมจนกระทั่งล่วงรู้ได้ถึงความลับนี้”

“ก็นับว่าเขาประสบความสำเร็จล่ะนะ”

“แต่น่าเสียดาย ที่วันต่อมาเขาก็ต้องจบชีวิตลง” ซูเซิงเหวินส่ายหัว “สภาพศพถูกทุบจนเละ สับเป็นชิ้นๆ และถูกเผาลงทั้งๆอย่างนั้นในสถานที่เกิดเหตุ…”

............................................................