webnovel

0169 ผิดแล้วล่ะ

ตอนที่ 169 ผิดแล้วล่ะ 

สีหน้าของน้อมสวรรค์ซวนหยวนไม่สู้ดีนัก 

ตามหลักการและผลกระทบ ในช่วงก่อนหน้านี้ หากกู่ฉิงซานมิได้ค้นพบความจริงได้ทันเวลา และทำการจัดวางกลยุทธ์ตอบโต้ได้อย่างทันท่วงที กองทัพมนุษยชาติก็มีแนวโน้มที่จะพ่ายแพ้หรืออาจถึงขั้นล่มสลายลงเลยก็เป็นได้ และตัวสามปราชญ์อย่างพวกเขาเองก็คงพลาดพลั้งถูกส่งตัวไปยังโลกของมารสวรรค์ สูญเสียวิถีแห่งเต๋าและตกตายลง 

ทว่าหนี้ก้อนใหญ่นี้ยังมิทันได้ตอบแทน ศิษย์ของเขากลับใส่ร้ายและคิดไม่ซื่อกับผู้มีพระคุณเสียแล้ว 

ถึงแม้ว่ามารสวรรค์จะเป็นต้นเหตุของปัญหา แต่หากหวู่สิงเหวินมีใจบริสุทธิ์ ไม่มีความคิดชั่วร้าย มารสวรรค์ก็มิอาจที่จะลอบเข้าไปในทะเลแห่งห้วงสติของเขาได้ 

หลังจากนั้น แม้ว่าจะถูกครอบงำโดยมารสวรรค์ แต่หวู่สิงเหวินก็ไม่อาจหนีไปจากความรับผิดชอบได้ 

หากไม่จัดการเรื่องนี้ให้มันจบๆ ไป ซวนหยวนคิดว่า แม้กระทั่งจิตแห่งเต๋าของตนเองก็คงจะว้าวุ่น และอาจเกิดปัญหาในภายหลังได้ 

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ซวนหยวนก็คว้ายันต์สีดำออกมา และเหวี่ยงมันออกไป 

“แปะมันลงบนหน้าผากซะ” เขาเอ่ยอย่างเศร้าสร้อย 

หวู่สิงเหวินเมื่อเห็นยันต์สีดำ และสีหน้าของอาจารย์ตน กรามเขาก็ขบแน่น และหยิบยันต์สีดำขึ้นมาแปะบนหน้าผากตนเอง 

ซวนหยวนวาดมือไปผ่านอากาศไปยังยันต์สีดำเบาๆ กล่าวคำหนึ่ง “จงปรากฏ” 

ทันใดนั้นเอง ยันต์สีดำก็บังเกิดหมอกจางๆ ก่อนที่พวกมันจะลอดผ่านเข้าไปในรูหูของหวู่สิงเหวิน 

สองตาของหวู่สิงเหวินเหม่อลอยทันที ทั้งคนทั้งร่างยืนนิ่งเป็นท่อนไม้อยู่บนแท่นเวที 

“ยันต์ค้นวิญญาณอย่างงั้นหรือ?” นางเซียนไป่ฮั่วเอ่ยถาม 

“อา ภายในนิกายชิงหยุนของข้า ทุกการกระทำและความประพฤติต้องซื่อตรง ตราบใดที่เกิดอาชญากรรมขึ้น ข้าก็จะแสดงให้ทุกคนได้เห็น ว่าจะมีวิธีจัดการกับมันอย่างไร” ซวนหยวนกล่าว 

นางเซียนไป่ฮั่วพยักหน้าด้วยความพอใจ 

“เอ่ยถามเขาอีกครั้ง” ซวนหยวนหันไปบอกกับผู้ฝึกยุทธที่รับผิดชอบการสอบปากคำทั้งสอง 

“ขอรับ” 

สองผู้ฝึกยุทธมิกล้ารอช้า เร่งเดินกลับไปและเอ่ยถาม “เรื่องของกู่ฉิงซาน ท่านทำอะไรกับเขา?” 

หวู่สิงเหวินขยับปากงึมงำราวกับท่อนไม้ “ด้วยความที่หลี่เดอเหวินแห่งนิกายหลิงเฉายังเยาว์วัยนัก ความคิดและจิตใจยังคงบริสุทธิ์ เมื่อค้นพบว่าพี่ชายตนได้ตกตายและบังเกิดความโกรธแค้นขึ้น ข้าจึงฉวยโอกาสนั้นใช้คำพูดกระตุ้นจิตใจเขา เพื่อที่จะป้ายสีกู่ฉิงซาน” 

หลี่เดอเหวินพอได้ยินถึงประโยคนี้ เขาก็เริ่มรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง 

“ข้าเพียงแค่ยืมมือเขาเท่านั้น โดยการทำให้เรื่องราวทุกอย่างเป็นไปโดยสะดวก มิคาดคิดเลยว่า หลังจากนั้นห้วงสติอารมณ์และสภาวะจิตใจจะค่อยๆ เลือนรางลง จนมิอาจไตร่ตรองตัดสินใจในหลายๆ สิ่งได้” 

“ท่ามกลางความมืดมิด ในหัวใจค่อยๆ บังเกิดความคิดอันหลากหลายขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทุกการกระทำของข้า ข้ามิอาจควบคุมมันได้เลย จากนั้นข้าก็ค่อยๆ หลงเลือนเกี่ยวกับการสู้รบขั้นแตกหัก และขบคิดถึงแต่เพียงเรื่องที่จะทำการวางแผนฆ่าสังหารอีกฝ่าย” 

ผู้ฝึกยุทธพอได้ยิน ต่างก็พากันถอนหายใจพร้อมกัน 

หวู่สิงเหวินคิดหมายที่จะทำร้ายใครบางคน ทว่าสุดท้ายกลับนำความพินาศและอับอายมาสู่ตนเอง ในที่สุดแล้วก็ถูกใช้ประโยชน์โดยมารสวรรค์ ยั่วยุทั้งค่ายทหารให้ปลีกตัวออกห่างจากกู่ฉิงซาน 

โชคดีที่สามปราชญ์มาถึงได้ทันเวลาเสียก่อน หากสายเกินไป หวู่สิงเหวินคงดำเนินแผนลอบสังหารไปเรียบร้อยแล้ว 

ส่งผลให้ ณ เวลานี้ เขาไม่เพียงแต่ถูกใช้ประโยชน์โดยมารสวรรค์เท่านั้น แต่ยังถูกค้นวิญญาณโดยอาจารย์ของตนเอง นับจากนี้ไปชื่อเสียงอันมั่งคั่งของหวู่สิงเหวินก็คงจะแทบไม่หลงเหลืออยู่อีกต่อไปแล้ว 

ด้วยผลของการกระทำดังกล่าว ไม่น่าแปลกใจเลยที่คนอื่นจะพากันตำหนิเขา 

หลี่เดอเหวินมองไปยังฉากนี้ ในปากเอ่ยพึมพำ “เพราะเหตุใด เหตุใดท่านจึงต้องโกหกข้า” 

ในที่สุดเขาก็รู้สึกตัว ว่าตนเองถูกยืมมือใช้ประโยชน์ 

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ พี่ชายของเขาไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งทางทหารจริงๆ ดังนั้นจึงถูกตัดสินโทษตายโดยกู่ฉิงซาน 

หลี่เดอเหวินร่ำไห้สะอึกสะอื้น แข้งขาอ่อนล้าคุกเข่าลงกับพื้น 

สองผู้ฝึกยุทธหันมามองหน้ากัน และกล่าวรายงาน “คำให้การจากการค้นวิญญาณ ทั้งหมดเป็นเรื่องจริง” 

ซวนหยวนส่ายหัว คลายมือที่ค้างอยู่ในอากาศลง 

และหวู่สิงเหวินก็ได้สติกลับคืน 

แน่นอนว่าเขารับรู้ถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ทว่าเขากลับไม่สามารถหยุดยั้งตนเองมิให้เอ่ยออกไปได้ 

เวลานี้ ทุกอย่างมันพังลงหมดแล้ว 

เขายืนนิ่งอยู่บนเวทีเพียงลำพัง 

ผู้ฝึกยุทธจ้องมองเขา สายตาที่เดิมแฝงไว้ซึ่งความเคารพบูชาอย่างลึกซึ้ง บัดนี้แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา 

สงครามอยู่ใกล้แค่เอื้อม แต่ในจิตใจกลับคิดถึงแต่การใส่ร้ายผู้อื่น การกระทำและความคิดเช่นนี้ จะสามารถเป็นผู้บัญชาการและโน้มน้าวจิตใจคนได้อย่างไร 

หวู่สิงเหวินรู้สึกว่าจิตใจของเขาค่อยๆ ร่วงหล่นลงไปในเหวลึก 

ซวนหยวนมิได้เหลือบแลเขาอีกต่อไป ทำแค่เพียงเบนหน้าไปยังนางเซียนไป่ฮั่วและกล่าว “เจ้าคิดเห็นว่าสมควรจัดการกับเขาอย่างไร?” 

นางเซียนไป่ฮั่วมองไปยังนักพรตเป่ยหยวนและกล่าว “ข้ามิได้คุ้นเคยกับกฎทางทหารมากมายนัก ภิกษุคิดเห็นเช่นไร ข้าก็จะทำตามเช่นนั้น” 

“อามิตตาพุทธ เขาคงไม่เหมาะสมกับตำแหน่งนายพลอีกต่อไปแล้ว” เป่ยหยวนเอ่ยอย่างเฉียบขาด “ข้าคิดว่าตามกฎทางทหารแล้วนั้น สมควรริบยศนายพลกลับคืน และให้ไปเริ่มต้นสะสมแต้มความสำเร็จตั้งแต่ต้นในฐานะพลทหาร” 

มองไปยังคิ้วดั่งใบหลิวของนางเซียนไป่ฮั่วยกสูงขึ้น นักพรตเป่ยหยวนก็รีบเอ่ยเสริมต่อทันที “นอกจากนี้ จากการที่ได้ป้ายสีศิษย์ของนักปราชญ์ ทำให้ตัวศิษย์และนักปราชญ์อับอาย ได้รับซึ่งความอัปยศ สมควรถูกพิพากษาโบยด้วยแส้อีก สองครั้ง” 

การพิพากษาโบยนั้น คือการใช้แส้ที่ถ่ายเทพลังวิญญาณลงไปฟาดใส่ผู้ถูกลงทัณฑ์ แถมผู้ที่ถูกโบยยังต้องถอดชุดคลุมของตนออก โดยไม่ได้รับอนุญาตให้ต่อต้านหรือใช้เทคนิคฝึกยุทธใดๆ หากเผลอกระทำก็จะถูกฟาดเพิ่มขึ้นอีกสิบแส้ 

ผู้ถูกลงโทษมิเพียงแต่ต้องถูกกระทำอย่างไร้เกียรติเท่านั้น ทว่ายังต้องทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดอีกด้วย 

แม้ว่าการลงโทษนี้จะยังคงเป็นสถานเบา และไม่ได้ถึงกับต้องการชีวิตของหวู่สิงเหวิน แต่มันก็นับได้ว่าเป็นการปล้นศักดิ์ศรีของเขาในฐานะผู้ฝึกยุทธไปแล้วอย่างสมบูรณ์ 

นางเซียนไป่ฮั่วพอใจยิ่ง กับทัศนคติที่ซวนหยวนแสดงออกมา ดังนั้นนางจึงมอบเรื่องนี้ให้แก่เป่ยหยวนเป็นคนจัดการ 

ด้วยวิธีนี้ ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับกฎทางทหารโดยสมบูรณ์ ไม่มีการต้องเผชิญหน้าหรือขัดแย้งกันระหว่างสองปราชญ์ และยังคงสามารถรักษาเกียรติของกันและกันได้ 

ด้วยการลงโทษวิธีนี้ มันเป็นการใส่ใจถึงความรู้สึกของซวนหยวนในทางอ้อม ขณะเดียวกันก็ช่วยให้คลายความไม่พอใจของนางเซียนไป่ฮั่วลง 

พอได้ฟัง สีหน้าของน้อมสวรรค์ซวนหยวนก็มีเลือดฝาดขึ้นเล็กน้อย 

เซี่ยเต๋าหลิงหันไปอีกทาง เอ่ยถามกู่ฉิงซาน “เจ้าคิดเห็นเช่นไร?” 

กู่ฉิงซาน ขบคิดและกล่าว “ข้ายังต้องการจะพูดอะไรบางอย่างกับเขา” 

“เอาสิ” 

ต่อหน้าสามปราชญ์ ต่อหน้าเหล่าผู้ฝึกยุทธทั้งมวล กู่ฉิงซานเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าหวู่สิงเหวิน 

หวู่สิงเหวินแสยะยิ้มเย็น จ้องตากู่ฉิงซานชนิดหัวชนฝา 

‘บัดซบ ไอ้เด็กนรกนี่มันยังมีปัญหาอะไรอีก?’ 

“เจ้ายังคิดจะมามอบความอัปยศให้ข้าอีกกระนั้นหรือ” เขาเอ่ยเสียงทะมึน  

กู่ฉิงซาน “มิใช่ ข้าแค่อยากจะเอ่ยถามเจ้าเพียงไม่กี่คำ” 

“ทุกสิ่งได้มาถึงจุดนี้แล้ว เจ้ายังมีอะไรที่จะต้องถามอีก?”

กู่ฉิงซานมองตรงไปยังหวู่สิงเหวิน ปากเอ่ยกล่าว “ในฐานะนายพลชั้นติงหยวน ช่วงเวลาที่มนุษย์และมารทำการสงครามขั้นเด็ดขาด  ทว่าสมาธิและจิตใจกลับเพ่งเล็งมายังคนเพียงคนเดียว เจ้าคิดว่าสิ่งที่ตนทำมันถูกต้องหรือไม่?” 

หวู่สิงเหวินจ้องลึกเข้าไปในแววตาเขา กัดฟันกรอด ขยับปากงึมงำ “นั่นเพราะข้าเป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่แห่งนิกายชิงหยุน ทว่าศิษย์น้องเล็กรุ่นเยาว์ของข้ากลับถูกเจ้าฆ่าตายในการทดสอบประจำปี” 

กู่ฉิงซานมิได้หลบเลี่ยงสายตาของอีกฝ่าย เขากล่าวอย่างเป็นเรื่องเป็นราว “ตลอดทุกขั้นตอนในการทดสอบประจำปี นิกายร้อยบุปผาของข้ามีหน้าที่เพียงแค่เฝ้าดูพอเป็นพิธี แท้จริงแล้วเป็นฝ่ายหลี่ฉางอันต่างหากที่ปลุกปั่นคนนับสิบ ไม่เพียงแต่คิดจะกำจัดข้า ทว่ายังเอ่ยหยามอัปยศนิกายข้า ใครกันแน่ที่เป็นคนผิด?” 

หวู่สิงเหวินไม่เอ่ยตอบกลับไป 

“หากเจ้าใส่ใจดูแลศิษย์น้องจริง ในยามที่เขายังมีชีวิตอยู่ เหตุใดจึงมิใส่ใจดูแลในช่วงนั้น เหตุใดจึงมิสอนสั่งให้เขารู้ว่าสิ่งใดควรมิควร สอนให้เข้าอกเข้าใจถึงจิตใจของผู้อื่น มิใช่หมายแต่จะคิดทำลายชื่อเสียงของบุคคลและนิกายอื่นๆ เช่นนี้” 

กู่ฉิงซานจ้องตาอีกฝ่ายและกล่าว “เจ้าเป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่ในนิกาย แต่ไม่เพียงสอนสั่งแนะนำศิษย์น้องของตนเอง จนสุดท้ายเขาจึงมีอุปนิสัยหยิ่งยโส ระรานใช้อำนาจที่มีมอบความอัปยศให้แก่นิกายอื่นๆ สุดท้ายจึงจำต้องละซึ่งวิถีเต๋า ตกตายลงไป นี่มิใช่ความรับผิดชอบของเจ้าหรอกหรือ?” 

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างช้าๆ “ก่อนหน้าที่ศิษย์น้องเจ้าจะตาย เจ้ามีเวลามากมายที่จะสอนสั่งเขา ทว่าหลังจากที่เขาตายไปแล้ว เจ้ากลับยังทำสิ่งที่น่าอับอายอย่างการป้ายสีคนอื่น โดยคิดว่านี่มันเป็นการแก้แค้นให้แก่ศิษย์น้องของตน” 

“มีอำนาจถึงขั้นเป็นหัวหน้าสาวกผู้ควบคุมนิกาย เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้ แท้จริงแล้วเป็นความผิดข้า แต่มิใช่เจ้า?” 

หวู่สิงเหวินทั้งคนทั้งร่างตกตะลึง มิอาจเอ่ยคำใดอยู่เนิ่นนาน 

กู่ฉิงซานส่ายหัว เดินกลับไป 

มุมปากของเซี่ยเต๋าหลิงเชิดสูงขึ้นเล็กน้อย แต่ดูเหมือนนางจะรู้สึกตัวว่ามันไม่เหมาะสม จึงรีบปั้นหน้าให้สงบลงอีกครั้ง ปากเอ่ยบัญชา 

“ใครก็ได้ มาจัดการต่อที” 

สิ้นคำกล่าวของเธอ หวู่สิงเหวินก็ถูกสองผู้ฝึกยุทธบังคับกฎ ปลดชุดเกราะรบต่อสู้ เพื่อดำเนินการลงโทษ 

ภายใต้แส้ที่โบกสะบัดไปมาอย่างต่อเนื่องท่ามกลางสายตาของทุกผู้คน หวู่สิงเหวินก็เริ่มได้รับการลงโทษในที่สุด 

เสียงระทมอันน่าหวาดหวั่นของเขาเล็ดลอดออกมาจากไรฟัน ดังขึ้นเป็นระยะๆ… 

........................................