webnovel

0168 อุบัติเหตุ

ตอนที่ 168 อุบัติเหตุ 

หนิงเยว่ฉานรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย หางตาของเธอเหลือบมองไปยังกู่ฉิงซาน 

กู่ฉิงซานยืนอยู่เบื้องหลังนางเซียนไป่ฮั่ว เขายิ้มและส่งผ่านคลื่นความคิดให้เธอ “นี่คือสิ่งที่ท่านนักปราชญ์ต้องการ” 

“ทว่าข้ายังมิได้ทำสิ่งใดเลย” หนิงเยว่ฉานกล่าว 

“เจ้าจะมิได้ทำสิ่งใดได้อย่างไร? เป็นเจ้าที่ช่วยชีวิตข้าไว้ หากไร้เจ้า ข้าคงตกตายไปแล้ว ถ้าข้าตาย นักปราชญ์จะรับรู้ถึงความลับของพวกอสูรวิญญาณได้อย่างไร?” กู่ฉิงซานกล่าว 

หนิงเย่วฉานขบคิดอย่างรอบคอบ 

“แต่ไหนๆ เจ้าก็ได้เลื่อนยศแล้ว หากอยากตอบแทนข้า ไว้หลังจากกลับไป ก็มาเลี้ยงข้าวข้าซักมื้อเป็นไร” เขาเอ่ยเสริม 

“ไม่ขัดข้อง” หนิงเย่วฉานกบล่าว 

“อย่างงั้นหรือ เช่นนั้นพอจะบอกได้ไหมว่าเจ้าจะทำอะไรให้ข้ากิน” กู่ฉิงซานดีดนิ้วไปทีหนึ่ง 

“อ้อ ได้คืบจะเอาศอกซีนะ ให้ข้าช่วยป้อนเจ้าเลยหรือไม่เล่า?” สองตาของหนิงเยว่ฉานหรี่แคบลง 

“ฮ่าฮ่าฮ่า มิต้องถึงขั้นนั้นหรอก ข้าเพียงแค่ล้อเล่นน่ะ” กู่ฉิงซานรีบเก็บจิตสัมผัสเทวะกลับคืน หยุดบทสนทนาทันที 

“ฮึ!” หนิงเยว่ฉาน ทำเสียงในลำคอด้วยความโกรธเล็กน้อย 

นายพลติงหยวนอีกคนเร่งเอ่ยถามทันที “ภารกิจลับที่ว่า นั้นคืออะไร แล้วร่วมมือสนับสนุนที่ว่านั่นเล่า? เหตุใดจึงได้รับแต้มความสำเร็จมากมายอย่างกะทันหันถึงเพียงนี้?” 

หวู่สิงเหวินกล่าว “ภารกิจลับที่ว่า คือภารกิจที่ช่วยให้สามารถเปิดเผยความจริงว่าอสูรวิญญาณนั้นก่อกบฏกับพวกเรา” 

หมิงฮุ่ยเผยสีหน้าตระหนักรู้อย่างชัดเจน และไม่คิดเอ่ยถามอีกต่อไป 

การล่วงรู้ถึงการลอบจู่โจมของอสูรวิญญาณในครั้งนี้ ส่งผลให้ผลลัพธ์ทุกอย่างเปลี่ยนไป สามารถล่อลวงให้เผ่ามารตกตายไปมากมาย ส่วนหนึ่งก็ยอมจำนน อาจกล่าวได้ว่านี่หนึ่งในกุญแจสำคัญของสงครามครั้งนี้เลยก็ว่าได้ 

ดังนั้นหากหนิงเยว่ฉานเข้าร่วมภารกิจลับในการเปิดโปงอสูรวิญญาณจริงๆ ย่อมไม่มีผู้ใดขัดข้องกับการเลื่อนตำแหน่งในครั้งนี้ 

หวู่สิงเหวินยังคงกล่าวต่อ “นายทหารชั้นพันเอกเหลิงเทียนสิง ได้เข้าร่วมการรบขั้นแตกหัก และค้นพบเบาะแสของภารกิจลับ ประจวบกับแต้มความสำเร็จเดิมที่สะสมเอาไว้ค่อนข้างมากอยู่แล้ว ดังนั้นแต้มความสำเร็จในยศจึงถูกเติมเต็ม ได้รับการเลื่อนชั้นขึ้นเป็นนายพลชั้นโหยวจี” 

นายพลอีกคนหนึ่งแล้ว! 

ฝูงชนโดยรอบบังเกิดความปั่นป่วน 

เขาจะต้องเป็นหนึ่งในผู้ที่เกี่ยวข้องกับภารกิจการกบฏของอสูรวิญญาณซึ่งเป็นตัวตัดสินแพ้ชนะอย่างแน่นอน เลยทำให้เหลิงเทียนสิงสามารถเลื่อนยศขึ้นเป็นชั้นนายพลได้ทันที! 

เหลิงเทียนสิงหันไปพยักหน้าให้แก่กู่ฉิงซาน และอีกฝ่ายก็พยักหน้าตอบรับเล็กน้อย 

ไม่จำเป็นต้องกล่าวอะไรให้มากความ ทั้งสองก็รับรู้และเข้าใจถึงความหมายที่แต่ละฝ่ายสื่อออกมาได้เป็นอย่างดี 

หวู่สิงเหวินกล่าวท่อนสุดท้าย “ส่วนปัญหาของกู่ฉิงซานแห่งนิกายร้อยบุปผา ทางกองทัพได้ทำการตรวจสอบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และพบว่าเขาถูกใส่ร้ายโดยอสูรวิญญาณ ตัวเขามิได้วางแผนคิดจะฉวยโอกาสสังหารสหายร่วมทีมแต่อย่างใด” 

ผู้ฝึกยุทธได้ฟัง ต่างก็พากันพยักหน้าอย่างเงียบๆ 

ก็แล้วใครมันจะไปนึกได้กันล่ะว่าเพื่อนที่แสนดีอย่างอสูรวิญญาณที่ภักดีต่อมนุษย์อยู่เสมอๆ แท้จริงแล้วจะเป็นเพียงตัวโป้ปด คิดคดทรยศเช่นนี้? 

สถานการณ์นี้สามารถเอ่ยได้ว่ามิมีผู้ใดคาดคิดถึงมัน 

ชายคนนี้ก็เป็นแค่เพียงคนที่โชคร้าย แต่หลังจากผ่านพ้นสงครามในครั้งนี้ไป ความผิดบาปของเขาก็สมควรที่จะถูกชะล้างออกไปในที่สุด 

หวู่สิงเหวินยอมรับตรงๆ ว่าตนก็แอบเสียดายอยู่ไม่น้อยเช่นกัน 

เขาจำต้องใช้ความพยายามอย่างมาก เพื่อก่อให้เกิดสถานการณ์นี้ขึ้น ทว่าสุดท้ายอีกฝ่ายก็ยังคงปลอดภัยไร้รอยขีดข่วน แม้ว่าตนเองจะยังโกรธมากมายเพียงใด แต่ทว่าก็มิอาจล่วงเกินนักปราชญ์ไป่ฮั่วได้จริงๆ มันไม่คุ้มค่ามากเกินไป 

แม้ว่าสุดท้ายแล้วมันจะถูกสรุปได้ว่าการกระทำอันร้ายแรงของเขาส่วนใหญ่เป็นฝีมือของมารสวรรค์ที่ลอบเร้นเข้ามาครอบงำจิตใจ แต่ตัวหวู่สิงเหวินในตอนนี้ก็ยังมิได้ไร้มลทินโดยสมบูรณ์

ที่หวู่สิงเหวินกล่าวในตอนก่อนหน้า เรื่องมารสวรรค์ในทะเลห้วงสติ เขาหมายถึงตนเองก็ถูกมารสวรรค์ครอบงำเช่นกัน และสุดท้ายก็ถูกช่วยเหลือไว้โดยเป่ยหยวนนั่นเอง

เอาไว้ในอนาคต เขาค่อยคิดวางแผนการที่รอบคอบยิ่งกว่านี้เล่นงานกู่ฉิงซานก็ได้ 

แต่ในตอนนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา “ข้าไม่เชื่อหรอก! เขานั่นแหละต้องเป็นตัวปัญหาอย่างแน่นอน!” 

และเมื่อฝูงชนหันไปมอง พวกเขาก็พบกับเด็กหนุ่มจากนิกายหลิงเฉา 

เด็กหนุ่มคนนี้คือศิษย์น้องและยังเป็นน้องชายของหลี่ชูเฉิน เรียกว่า หลี่เดอเหวิน 

หลี่เดอเหวินชี้มายังกู่ฉิงซาน ปากเอ่ยตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยว “เจ้ากล้าที่จะให้ทำการค้นวิญญาณหรือไม่?” 

ความวุ่นวายอีกระลอกบังเกิดขึ้นในฝูงชน 

อสูรวิญญาณได้รับการพิสูจน์แล้วว่าพวกมันคิดกบฏต่อมนุษยชาติ และกู่ฉิงซานก็เป็นศิษย์ที่แท้จริงของนักปราชญ์ ดังนั้นตัวเขาก็เปรียบดั่งตัวตนที่เป็นหน้าเป็นตาให้กับนางเซียนไป่ฮั่ว  การกระทำเช่นนี้ย่อมมิส่งผลดีเลย 

ในสถานการณ์เช่นนี้ หลี่เดอเหวินยังกล้าเหิมเกริม นี่เขาไม่กลัวตายเลยกระนั้นหรือ? 

หวู่สิงเหวินลอบกรีดร้องในใจว่า ‘ฉิบหายแล้ว’ อย่างลับๆ 

เจ้าเด็กหนุ่มสมองหมูนี่ การกระทำหุนหันพลันแล่นของมันเช่นนี้ แถมยังเป็นในช่วงเวลานี้อีก จะส่งผลให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป เปลี่ยนแปลงไปเป็นปัญหาอย่างแท้จริง 

แน่นอน พอเขาเอ่ยจบ นางเซียนไป่ฮั่วก็เปิดปากทันที 

“เหตุใดต้องทำการค้นวิญญาณเขาด้วย?” เซี่ยเต๋าหลิงเอ่ยถาม 

“เพราะเขาฆ่าพี่ชายข้า!” 

ภายใต้การจับจ้องของนักปราชญ์ ร่างของหลี่เดอเหวินสั่นสะท้าน แต่ตัวเขายังคงดื้อดึงเกินกว่าจะหุบปากลง 

ผู้นำนิกายหลิงเฉาและเหล่าอาวุโสเคลื่อนไหวทันที และรีบลากตัวเขาออกมา 

ทว่านางเซียนไป่ฮั่วกลับโบกมือขึ้นห้ามเหล่ารุ่นใหญ่นิกายหลิงเฉาอย่างอ่อนโยน 

“ไม่เป็นไร ให้เขาอยู่ที่นี่แหละ เรานักปราชญ์ต้องการที่จะสอบถามเกี่ยวกับเรื่องนี้” เซี่ยเต๋าหลิงกล่าว 

‘จบสิ้นแล้ว’ เหล่ารุ่นใหญ่นิกายหลิงเฉากรีดร้องอย่างขมขื่นอยู่ในจิตใจ 

“เป็นเจ้าเองสินะ! ที่ปล่อยข่าวลือทำให้ผู้คนสับสนเข้าใจผิด หลอกลวงแม้กระทั่งนายพล ตามกฎวินัยทางทหาร สมควรที่จะถูกลากตัวไปตัดหัว!” หวู่สิงเหวินหยิบป้ายสัญลักษณ์บางอย่างขึ้นมา ใช้สิ่งนั้นเอ่ยบัญชา 

“ข้าบอกว่าให้เขาอยู่ที่นี่” เซี่ยเต๋าหลิงเอ่ยอย่างไม่แยแส 

หวู่สิงเหวินกัดฟันกรอด หลังจากทั้งหมดนี้ เกรงว่าเขาคงมิอาจลงมือทำอันใดได้อีกแล้ว เขาชักมือกลับรีบเก็บป้ายสัญลักษณ์คืน ตัวหดลีบถอยกลับไปเบื้องหลัง 

ป้ายสัญลักษณ์ในมือถูกบดขยี้จนแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยความโกรธ 

“เขาฆ่าพี่ชายเจ้า ก็เพราะพี่ชายเจ้ามิได้ปฏิบัติตามกฎทางทหาร” เซี่ยเต๋าหลิงมองหลี่เดอเหวิน เอ่ยอธิบาย 

“แต่ผู้ใดกันเล่าจะสามารถพิสูจน์ได้ว่าที่เขากระทำนั้นมิได้แฝงไว้ด้วยเจตนาร้าย?” หลี่เดอเหวินกล่าว 

“จากคำให้การในตอนสอบปากคำของเขา มีผู้ฝึกยุทธจากสำนักเหยากวางและนิกายเทียนจิได้ทำการสอบปากคำเช่นกัน และพวกเขาสามารถตอบคำถามได้ตรงกัน ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ดังนั้นตามกฎทางทหารของมนุษยชาติจึงนับได้ว่า เขาพ้นผิดแล้ว” เซี่ยเต๋าหลิงกล่าวต่อ 

“นั่นต้องมิใช่ความจริงอย่างแน่นอน นายพลหวู่ได้บอกข้ามา ว่าตัวกู่ฉิงซานนั่นแหละที่มีปัญหา!” หลี่เดอเหวินตะโกนอย่างมิยินยอมให้อภัย 

เมื่อได้ฟังประโยคดังกล่าวนี้ ฝูงชนโดยรอบก็ตกใจ 

“จงถอนคำพูดเสีย อยากให้เลือดออกปาก” หวู่สิงเหวินโกรธสุดขีด เตรียมที่จะผละตัวออกไป 

“แย่ล่ะสิ ท่านนายพลเริ่มจะคุมอารมณ์ไม่อยู่แล้ว!” ผู้ฝึกยุทธบังคับกฎเริ่มเอะอะโวยวาย 

“นายพลหวู่! เหตุใดท่าน” ดวงตาของเด็กหนุ่มเบิกกว้าง เขากำลังมองหวู่สิงเหวินอย่างไม่เชื่อสายตา 

“หยุดมือ!” ผู้นำนิกายหลิงเฉากระโจนออกมา ยืนหยัดขวางหน้าเด็กหนุ่มด้วยความโกรธ 

พริบตาเดียว ฉากโดยรอบตกอยู่ในความวุ่นวายโดยสมบูรณ์ 

มองไปยังนางเซียนไป่ฮั่วยังคงนั่งนิ่งไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ เธอเพียงจับจ้องไปยังฉากนี้อย่างเงียบๆ 

แต่ซวนหยวนที่นั่งอยู่ข้างเธอ มิอาจนิ่งเฉยได้อีกต่อไป เขาเอื้อมมือออกไปคว้าอากาศที่ว่างเปล่า  ยันต์สีเหลืองก็บินตรงไปหาเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็วและตกลงในมือของเขา สร้างปราการป้องกันโปร่งใสครอบตัวเอาไว้ 

“เจ้าศิษย์ตัวร้าย คิดจะทำอันใด!” เขาตะคอกถามคำหนึ่ง 

หวู่สิงเหวินหดคอกลับ ตอบคำด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธ “ท่านอาจารย์ อ้ายทารกนี่ กล้าป้ายสีข้าต่อหน้าผู้คน” 

“เขาเป็นเพียงทหารตัวน้อย จักกล้าป้ายสีเจ้าได้อย่างไรกัน?” ซวนหยวนเอ่ยอย่างช้าๆ 

เขาจ้องมองไปยังศิษย์ตน ในสายตาฉายแววผิดหวัง 

น้อมสวรรค์ซวนหยวนถอนหายใจ ปากเอ่ยสั่ง “ใครก็ได้ มาทำการสอบปากคำเขาที” 

นางเซียนไป่ฮั่วยังคงเงียบ มิได้เอ่ยอันใด 

สองผู้ฝึกยุทธก้าวเข้ามา หยุดยืนอยู่ตรงข้ามกับหวู่สิงเหวิน 

ทั้งสองประสานกำปั้น โค้งคารวะ “เป็นบัญชาของท่านนักปราชญ์ ร้องขอให้ท่านนายพลโปรดยินยอมด้วย” 

หวู่สิงเหวินกำลังจะเปิดปาก แต่สุดท้ายก็ปิดลง มิสามารถเปล่งเสียงออกมาได้อยู่นาน 

คำสั่งของท่านอาจารย์ ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รับฟัง คงได้แต่ต้องบอกความจริงออกไปเท่านั้น

ผู้ฝึกยุทธเฝ้ารออยู่สักพัก ต่างฝ่ายต่างหันมามองหน้ากันและกัน ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะเอ่ยกล่าว “ท่านนายพล ได้โปรดอธิบายถึงเรื่องราวนี้ตั้งแต่ต้นจนจบด้วย พวกเราสัญญาว่าจะทำทุกอย่างให้จบสิ้นโดยเร็ว” 

“ข้า...” หวู่สิงเหวินเอ่ยปากอย่างยากลำบาก “ข้าคิดว่าการตายของหลี่ชูเฉิน มีบางสิ่งที่ผิดแผกไป” 

สองผู้ฝึกยุทธพยักหน้า 

หวู่สิงเหวิน “ข้าได้ทำการเรียกตัวคนของนิกายหลิงเฉา และเอ่ยถามถึงเรื่องถุงอสูรวิญญาณของหลี่ชูเฉิน จากนั้นก็ให้พวกเขานำมันมาและฟังคำของอสูรวิญญาณ” 

สองผู้ฝึกยุทธพยักหน้าอีกครั้ง 

หวู่สิงเหวิน “พอได้ฟัง ข้าจึงเรียกกู่ฉิงซานมา และในเวลาเดียวกันก็ทำการเรียกคนของนิกายหลิงเฉาอีกครั้ง เพื่อให้พวกเขาเผชิญหน้ากันตัวต่อตัวด้วยเหตุผล” 

สองผู้ฝึกยุทธส่ายหัวพร้อมกัน 

พวกเขามองไปยังหวู่สิงเหวินแววตาที่เปลี่ยนไป 

หนึ่งในนั้นหันไปยังสามปราชญ์ กล่าวรายงาน “ท่านนายพล...โกหก!” 

สีหน้าของน้อมสวรรค์ซวนหยวนหม่นทะมึนลง ราวกับแอ่งน้ำโคลน 

เขาถอนหายใจและกล่าว “ศิษย์ข้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดเจ้าจึงอ่อนล้าจากการที่มารสวรรค์ที่เข้าไปในทะเลแห่งห้วงสติของเจ้า ทว่ากงซุนซีกับหมิงฮุ่ยกลับไร้ซึ่งอาการอ่อนล้าหรือบาดเจ็บใดๆ?” 

“ศิษย์ไม่ทราบ” หวู่สิงเหวินกล่าว

“นั่นเพราะในจิตใจเจ้ามันเป็นเต็มไปด้วยความคับแค้น และคิดหมายแต่ใส่ร้ายผู้อื่น มันถือเป็นการก่อร่างกิเลสรูปแบบหนึ่งในจิตใจ นั่นจึงทำให้มารสวรรค์มีโอกาสรอดเร้นเข้าไปครอบงำเจ้าได้” 

“ในฐานะที่เจ้าเป็นถึงหนึ่งในสามนายพลติงหยวนแห่งมนุษยชาติ แต่กลับถูกใช้ประโยชน์โดยมารสวรรค์เช่นนี้ หากมิได้รับการค้นพบได้อย่างทันท่วงที มิเพียงแต่เจ้าที่ตกตาย แต่ผู้ฝึกยุทธจำนวนมากก็จะตกตายไปกับเจ้าด้วย” 

น้อมสวรรค์ซวนหยวนกล่าว ส่ายหัวอย่างเศร้าสลด

..............................