webnovel

0115 ประลองยุทธ

ตอนที่ 115 ประลองยุทธ 

ทุกคนพลันเงียบงัน ภาพของเด็กหนุ่มที่ดูอ่อนโยนและอบอุ่นเมื่อครู่ กลับม้วนตลบกลายเป็นหยกกล้าที่อาจหาญเอ่ยคำเหล่านี้ออกมาต่อหน้าฝูงชนได้อย่างไร 

“ช่างโอหังนัก” เสียงของบางคนดังขึ้น 

คนคนนั้นก้าวขึ้นไปยังเวทีและเอ่ยปากกล่าว “อยากจะรู้นักว่าเมื่อเจ้าถูกทุบตีโดยพลังหวนคืนไร้ลักษณ์ของข้า และข่าวนี้แพร่กระจายออกไปยังผู้คนภายนอกมันจะเกิดอะไรขึ้น” 

ทุกฝีก้าวที่ย่างออก ร่างกายของคนที่เอ่ยปากก็จะทวีความใหญ่โตขึ้น พรั่งพร้อมด้วยชั้นพลังของหวนคืนไร้ลักษณ์ที่แพร่กระจายออกจากทั่วทั้งร่างอย่างต่อเนื่อง 

มันกลับกลายเป็นว่าชายผู้คนนี้สามารถปลุกหวนคืนไร้ลักษณ์ของตนได้ก่อนที่จะทันได้ก้าวเข้าสู่นิกาย! 

ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดเขาจึงกล้ายืนหยัดขึ้น และขอท้าทายกู่ฉิงซานเป็นคนแรก 

ก่อนหน้าที่จะขึ้นมายังบนเวที ตัวเขายังเป็นเพียงนักรบอยู่เลย ทว่าเวลานี้ ทั้งคนทั้งร่างกลับกลายเป็นยักษ์ใหญ่ไปเสียแล้ว 

กล้ามเนื้อของเขาหนักและแข็งเหมือนหิน กระทั่งสีผิวก็ยังกลายเป็นสีดำ แม้เขาจะยังคงกำลังเดินมาจากใต้เวที ทว่ากู่ฉิงซานที่อยู่บนเวทีกลับเตี้ยกว่าถึงสองเท่า 

“นี่มันร่างศิลาวัชระ!” ผู้ฝึกยุทธที่คอยตัดสินความสามารถของผู้ทดสอบอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ 

สายตาของอาวุโสในนิกายหวูเต๋าหลายคนตกลงมาบนร่างของยักษ์ใหญ่และฉายถึงความสนใจ 

ในบรรดาพลังศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย หวนคืนไร้ลักษณ์บางชนิดสามารถมีการวิวัฒได้อย่างต่อเนื่องและชนิดนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น นี่จึงเป็นอะไรที่น่าสนใจยิ่ง 

เพราะว่าพลังศักดิ์สิทธิ์พื้นฐานเหล่านี้ จะมีการยกระดับขึ้นไปอย่างต่อเนื่องตามระดับของผู้ฝึกยุทธที่พัฒนาขึ้น และท้ายที่สุดมันก็จะกลายเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังและยิ่งใหญ่เฉกเช่นเดียวกับตัวเจ้าของ 

สำหรับศิลาวัชระ เมื่อมันได้ทะยานขึ้นสู่สถานะสูงสุด มันก็จะวิวัฒขึ้นเป็น ‘วัชระจรัสแสง’ ซึ่งเป็นพลังศักดิ์สิทธิ์อันทรงพลังยิ่ง สำหรับนักสู้หวูเต๋า 

หลังจากพลังของหวนคืนไร้ลักษณ์วิวัฒไปเป็นวัชระจรัสแสง และหากชายผู้นี้ได้เข้าร่วมกับนิกายพุทธะ และทำการขัดเกลาพลังศักดิ์สิทธิ์นี้ต่อไปเรื่อยๆ ต่อไปภายภาคหน้าบางทีเขาอาจถึงขั้นสามารถฝึกฝนพลังศักดิ์สิทธิ์ ‘วัชระไร้ทำลาย’ ของนิกายพุทธะได้เลยก็เป็นได้ 

อย่างไรก็ตาม เมื่อผู้คนต่างพากันจ้องมองไปยังนิกายวัดหลิงเย่ กลับเห็นแค่เพียงภิกษุที่ยังคงก้มหน้าก้มตา คล้ายกับไม่ได้สนใจถึงพลังของชายคนนี้เลย 

นิกายพุทธะให้ความใส่ใจกับจิตใจ ทัศนคติ และห้วงอารมณ์ จึงดูเหมือนว่าบุคคลๆ นี้จะยังไม่สามารถอยู่ในสายตาของพวกเขาได้ 

ด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ แม้กระทั่งภายในนิกายวัดหลิงเย่ก็ยังไม่อาจพบเจอได้ง่ายๆ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ชายคนนี้จะกระตือรือร้นที่จะแสดงมันออกมาต่อหน้าผู้คน 

ยักษ์ใหญ่มองไปยังกู่ฉิงซาน เอ่ยปากกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูยั่วยุ “ฮื้ม เจ้าไก่อ่อน ลองชิมสักสามฝ่ามือของข้าหน่อยจะเป็นไร” 

เขาทำเสียงฮึฮะในลำคอ 

กู่ฉิงซานเฝ้ามองอีกฝ่ายอย่างสงบ ไม่เอ่ยปากออกมาแม้เพียงครึ่งคำ 

เมื่อยักษ์ใหญ่เห็นว่าอีกฝ่ายไม่กล้าเอ่ยคำใด มันก็ได้ใจ แรงกดดันทะยานสูงขึ้น “ฮื้ม ไม่ต้องกังวลไปหรอกเจ้าลูกเจี๊ยบ นี่คือเวทีประลองยุทธ ไม่ว่าผู้ใดจะแพ้พ่ายหรือคว้าชัยชนะมันก็เป็นเรื่องธรรมดา ท่านนักปราชญ์จะไม่กล่าวตำหนิเจ้าหรอก” 

ยักษ์ใหญ่กระโจนขึ้นบนเวทีและพุ่งทะยานเข้าหากู่ฉิงซาน 

ร่างกายที่ใหญ่โตราวขุนเขา บดบังได้แม้กระทั่งแสงดวงอาทิตย์ ทอดเงายาวไกลออกไป 

ในขณะเดียวกันกับที่อีกฝ่ายกำลังกระโดดขึ้น กู่ฉิงซานก็กระโจนออกไปอย่างนุ่มนวลต้อนรับเขาเช่นกัน 

ดาบพิภพถูกเหวี่ยงออกไป กระแทกด้วยสันดาบทักทายเข้ากับยักษ์ใหญ่อย่างรุนแรง 

ใช่แล้ว ถูกต้อง กระแทกด้วยสันดาบ 

ดาบนี้เชื่องช้าเป็นอย่างยิ่ง ทว่าด้วยร่างกายที่ใหญ่ยักษ์ ต่อให้อีกฝ่ายอยากที่จะหลบเลี่ยง แต่เขาก็ทำไม่ได้ ได้แค่เพียงใช้ร่างอันทรงพลังเข้ารับกับดาบโดยตรง! 

ทว่ามิใช่แค่ยักษ์ใหญ่ฝ่ายเดียวที่ไม่อาจหลบเลี่ยง ทางฝั่งกู่ฉิงซานก็ด้วยเช่นกัน! 

“หาที่ตาย!” 

ยักษ์ใหญ่คำรามต่ำ มันยกกำปั้นขึ้นและเตรียมที่จะปะทะกันซึ่งหน้า 

ปง... 

ปง! 

เมื่อทั้งปะทะกัน หนึ่งในนั้นแปรเปลี่ยนกลับกลายเป็นภาพติดตา ถูกเป่ากระเด็นร่วงตกจากกลางเวหา 

บนท้องฟ้าสาดกระจายไปด้วยหมอกเลือด พร้อมกับปรากฏหลุมลึกอยู่บนพื้นเวที 

ทุกคนชะโงกหน้ามอง ก่อนจะพบว่ากู่ฉิงซานยังคงยืนหยัดอยู่ที่เก่า ขณะที่ยักษ์ใหญ่ได้หายตัวไปแล้ว 

ผู้ฝึกยุทธบังคับกฎหลายคนรีบวิ่งตรงไปยังหลุมดังกล่าวทันที 

ไม่นานนัก ภายในหลุมลึกก็ปรากฏเสียงคร่ำครวญดังขึ้น 

“เจ็บ...มันเจ็บเหลือเกิน อ๊าก!” 

เมื่อได้ยินเสียงนี้ ผู้ฝึกที่รายล้อมก็ไม่อาจทนไหว คนแล้วคนเล่าปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะออกมา และกวาดลงไปยังหลุมลึก 

และผู้คนจำนวนมากก็ต่างพากันตะลึงงันโดยพร้อมเพรียง 

“อ่อนยวบเป็นโคลนเหลว…” บางคนเอ่ยงึมงำ 

“กระดูกแตกเป็นเสี่ยงๆ เช่นนี้แม้หากจะทำการรักษาอย่างเต็มกำลัง คงจำต้องใช้เวลาหลายปีจึงจะกลับมาดีขึ้น...แค่ดีขึ้นนะ มิใช่เป็นปกติ” บางคนกล่าวกระซิบ 

ความเจ็บปวดในเวลานี้ หากเทียบกับนับจากนี้อีกหลายปี มันราวกับเป็นการตกนรกทั้งเป็น 

ผู้คนโดยรอบหันไปมองกู่ฉิงซาน การแสดงออกทางสีหน้าของพวกเขาก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย 

หนึ่งในบรรดาผู้นำนิกาย เอ่ยกล่าวอย่างลังเล “แม้จะได้เห็นแค่เพียงเล็กน้อย แต่นี่มันดูเหมือนกับเทคนิคดาบเผยขุนเขา ทว่ากลับทรงพลังยิ่งกว่าเผยขุนเขา นี่มันเทคนิคดาบอะไรกันแน่?” 

หลังจากที่นักปราชญ์ได้ชี้ทางสว่างให้แก่กู่ฉิงซาน เทคนิคดาบทั้งหนึ่งพันหกชนิดก็ได้ถูกผสมผสานหลอมรวมเข้าด้วยกันโดยตัวเขา และเมื่อหนุนเสริมเข้ากับแรงกระแทกหกหมื่นจินของของดาบพิภพ จึงเป็นธรรมดาที่ผู้นำนิกายจะไม่อาจรับรู้ได้ว่านี่คือเทคนิคดาบชนิดใด 

“เทคนิคดาบเช่นนี้ ไม่เคยได้ถูกบันทึกเอาไว้ในนิกายของข้า หากเขามิใช่เป็นผู้รังสรรค์มันขึ้นมาเอง เช่นนั้นก็สมควรเป็นเทคนิคลับของนักปราชญ์” 

ผู้ฝึกยุทธรุ่นใหญ่เริ่มจะเกิดความสนใจขึ้นมาบ้างแล้ว แต่เขายังคงเลือกที่จะเฝ้าดูต่อไป 

“มาอีกครั้ง” กู่ฉิงซานสะบัดเลือดที่ติดบนตัวดาบ และเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา 

ผู้ฝึกยุทธหนึ่งใน ยี่สิบอันดับแรกที่เป็นชายผอม และมีระดับวรยุทธสูงส่งกว่าคนอื่นได้ตะโกนออกมาจากฝูงชน 

“จงอย่าได้ดูถูกคนอื่นนัก ดาบนี้แม้รุนแรงทว่าเชื่องช้า นั่นมันคือข้อบกพร่องร้ายแรงของเจ้า และนั่นคือเหตุผลที่เจ้าจะไม่อาจโจมตีข้าได้!” 

ระหว่างกล่าว ร่างกายของเขาก็วูบไหว และวินาทีต่อมาเขาก็มาหยุดยืนอยู่บนเวทีแล้ว 

“ด้วยท่าร่างของข้านี่แหละ จะหลบเร้นดาบหนักของเจ้าเอง!” เขาเอ่ยอย่างภาคภูมิใจขณะที่สาดสายตาไปยังกู่ฉิงซาน

ทว่ากู่ฉิงซานกลับไม่แม้จะเหลือบแลเขา สายตาของกู่ฉิงซานยังคงมองลงไปยังเบื้องล่างเวทีและเอ่ยกล่าว “เจ้าน่ะได้ตายลงไปแล้ว ข้าไม่จำเป็นต้องเสียเวลากับเจ้าอีก” 

“เจ้า!” ชายผอมโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก เขาคิดว่าตนกำลังโดนอีกฝ่ายดูถูก จึงเตรียมที่จะสับขาพุ่งทะยานไปยังกู่ฉิงซาน 

ทว่าเพียงยกเท้าขึ้น สีหน้าของทุกผู้คนเบื้องล่างเวทีก็พลันแปรเปลี่ยนไป 

เอ๋? เกิดอะไรขึ้น? 

ชายผอมบังเกิดข้อสงสัย และในวินาทีนั้นเองเขาก็ได้ยินเสียงตะโกนขึ้นมาจากเบื้องล่าง “อย่าขยับ!” 

นี่เป็นเสียงของอาวุโสจากนิกายที่รับเลือกเขาเข้าสู่นิกายในการทดสอบประจำปี 

อีกฝ่ายนั่นดีต่อเขาจริงๆ และเขาก็ประทับใจเป็นอย่างมาก และตั้งใจที่จะเข้าร่วมกับนิกายนี้ 

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ปัจจุบันได้แปรเปลี่ยนไปแล้ว ตัวตนที่ยิ่งใหญ่อย่างนิกายชิงหยุนอยู่ใกล้แค่เอื้อม กล่าวได้ว่าอยู่ใกล้แค่เพียงปลายนิ้วสัมผัส เพียงแค่ล้มคนตรงหน้าเขาก็จะได้เข้าร่วม ดังนั้นจึงต้องจำใจกัดฟันละทิ้งนิกายที่แสนดีนี้ 

ผู้ฝึกยุทธผอมแห้งแม้จะได้ฟัง แต่ก็แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ร่างของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสายลมกรรโชก และกวาดตรงไปยังทิศทางของกู่ฉิงซาน 

ทว่าในวินาทีต่อมา เขากลับเห็นว่ามีร่างกายส่วนหนึ่งปรากฏขึ้นในวิสัยทัศน์ของตน 

เอ๋? ทำไมร่างกายส่วนนั้นช่างคุ้นเคยราวกับว่ามันเป็นร่างของข้ากัน 

เพียงแค่คิด ทันใดนั้นความรู้สึกปวดแปลบก็พุ่งทะยานเป็นเท่าทวี จากนั้นวิสัยทัศน์ของเขาก็มืดบอดและไม่อาจรับรู้ได้ถึงความรู้สึกใดอีกเลย 

สำหรับในสายตาของคนอื่นๆ แท้จริงแล้วจะเห็นเพียงว่าชายร่างผอมพุ่งตรงไปยังเบื้องหน้า ทว่าในระหว่างกระบวนท่าดังกล่าวนั้นทั้งมือ แขน ขา เท้า ก็พลันปรากฏเส้นตัดสีเลือด ก่อนที่พวกมันจะแยกออกจากลำตัวอย่างสิ้นเชิง และในส่วนสุดท้ายที่แยกออกก็คือส่วนหัวที่ลอยกระเด็นออกไป 

แขน ขา ชิ้นส่วนต่างๆ ของร่างกายเขาร่วงแผละกระจัดกระจายไปทั่วทุกหนแห่งบนพื้นเวที ทว่าตรงส่วนลำตัวกลับยังคงพุ่งตรงมายังเบื้องหน้า ก่อนที่มันจะค่อยๆ ร่วงตกลงตรงใต้เท้าของกู่ฉิงซานและทะลักล้นไปด้วยเลือด 

บนเวทีจัตุรัสกู่ฉิงซานสะบัดดาบในมือเบาๆ 

“เป็นเจ้าเองที่มองหาความตาย ไม่มีความหมายใดๆ มากไปกว่านั้น” เขากล่าว 

สิ้นคำกล่าว ปรากฏเส้นใยที่ซ่อนเร้นและบางใสยิ่งกว่าผ้าไหม ถูกรวบกลับคืนจากทุกทิศทาง มุ่งตรงสู่ดาบพิภพและหายวับไป 

“แปรสภาพปราณดาบให้กลายเป็นเส้นด้าย? ด้วยอายุแค่เพียงเท่านี้...!?”  หนึ่งในอาวุโสนิกายหวังเจี้ยนเอ่ยปากออกมาด้วยความประหลาดใจ 

นี่คือเทคนิคควบคุมปราณดาบอันยอดเยี่ยม มันคือการควบกลั่นปราณดาบให้มีขนาดเล็กลงถึงเล็กที่สุด จนกลายเป็นเส้นด้ายบางใส จากนั้นก็ทำการจัดตั้งมันชั้นแล้วชั้นเล่าเพื่อทำเป็นกับดัก 

กู่ฉิงซานยกดาบชี้ไปยังอีก สิบแปดคนที่เหลืออยู่และกล่าว “เข้ามา มาพร้อมกันทั้งหมดนั่นแหละ ข้าได้เอ่ยปากกล่าวไปแล้วว่าจะพิชิตพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจงขึ้นมาให้ข้าพิชิตเสีย” 

ผู้ฝึกยุทธเบื้องหน้าที่เห็นสภาพอันน่าสมเพชของสองคนก่อนหน้า ก็สัมผัสได้ถึงความเย็นเยือกที่เสียดแทงเข้ามาในกระดูก 

พวกเขากัดฟันกรอด หันมามองหน้ากันและกัน และรับรู้ได้ถึงความคิด ความปรารถนาของอีกฝ่ายในสายตา 

“เข้าไปลุยด้วยกันเถอะ!” 

“ฆ่าเขา! มิเช่นนั้นทุกคนจะต้องตาย!” 

หลายสิบคนทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า เตรียมจะร่อนลงมายังเวทีจัตุรัส 

“ต้องอย่างนั้นสิ ข้าจะได้ไม่ต้องเสียเวลาจัดการปัญหา” กู่ฉิงซานยกดาบขึ้นและชี้ไปยังผู้คนในอากาศ 

ดาบยาวยกสูงขึ้น เอ่อล้นไปด้วยเจตนาฆ่าอันเชี่ยวกรากที่เริ่มกระจายตัวออกไปรอบๆ ฉากนี้ช่างฉีกกระชากจิตใจผู้คนที่เฝ้ามองและทำให้พวกเขาสั่นสะท้าน 

ทว่ากลับมีอะไรที่มันแปลกออกไป เนื่องเพราะปลายดาบของกู่ฉิงซานมิได้มุ่งเป้าไปยังคนใดคนหนึ่งที่กำลังร่อนลงมา 

ปลายดาบของเขา ชี้ขึ้นไปเหนือหัวเบื้องบนของทุกคนที่กำลังร่อนลงมาแทน 

สวรรค์และโลกพลันเงียบสงัด 

บนดาบพิภพ ราวกับมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ถูกปลุกขึ้นมาอย่างฉับพลัน มันสาดเสียงกระซิบอันแสนอภิรมย์ออกมา 

พริบตานั้นเอง 

ตูมๆๆ! 

ประหนึ่งยักษาในสมัยบรรพกาล กระหน่ำกรองศึกส่งสัญญาณเตรียมพร้อมรบ 

รัศมีดาบพร่างพราวระเบิดออกจากปลายดาบพิภพ มันทะยานออกไปยังเบื้องหน้าพร้อมส่งเสียงคำรามอึกทึกไปตลอดเส้นทาง 

“นั่นมันเทคนิคลับแห่งดาบ!”  หนึ่งในฝูงชนที่เฝ้าดูตะโกนออกมา 

ผู้อาวุโสจากหนึ่งในหลากหลายนิกาย เพียงมองวูบหนึ่ง เขาก็พยักหน้าและกล่าว “ถูกต้องนั่นคือเทคนิคลับฝ่าวารีเชี่ยว ข้ามิได้พบเห็นมันมาเนิ่นนานหลายปีแล้ว” 

บังเกิดพายุลมกรรโชกอันดุร้าย กระหน่ำซัดไปยังผู้ฝึกยุทธมากมายที่เหินทะยานอยู่กลางอากาศ ระเบิดใส่พวกเขาจนกระเด็นกระจัดกระจายออกไปคนละทิศทาง 

ทั้งหมดถูกกวาดกระจัดกระจายโดยลมกรรโชกนี้ รัศมีดาบสั่นสะท้าน มันปรากฏรอยร้าวลึกไปทั่ว ก่อนจะร่วงตกลงไปยังทิศทางของวังสวรรค์และสลายหายไป 

ผู้ฝึกยุทธบังคับกฎหลายคนเหินบินออกไป และใช้สมบัติมนตราของพวกเรารับมือใหม่มากมายที่ลอยคว้างอยู่กลางอากาศ 

มือใหม่นับสิบถูกนำมาวางนอนเรียงรายกันบนพื้นเป็นทิวแถว ดวงตาของพวกเขาปิดสนิท 

กู่ฉิงซานมองไปยังผู้นำนิกายและเอ่ยกล่าว “บุคคลเหล่านี้ยังพอจะมีประโยชน์ต่อมนุษยชาติ ดังนั้นข้าจะปล่อยให้พวกเขามีชีวิตอยู่ต่อไป” 

จากนั้นเขาก็มองไปยังผู้ฝึกยุทธมากมายที่รายล้อมอยู่เบื้องล่างเวทีจัตุรัสและเอ่ย “นับจากนี้ไปในอนาคต หากมีผู้ใดกล้าดูหมิ่นเกียรติของข้าและนิกายร้อยบุปผาอีก ข้าจะฆ่ามันสถานเดียว” 

น้ำเสียงของเขาแน่วแน่ หนักแน่น ขณะเดียวกันก็สงบ 

ผู้ฝึกยุทธหลายคนขบคิดเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ และทำการตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว 

เด็กหนุ่มผู้นี้ยังมิได้เผยคมดาบที่แท้จริงของตนออกมา มิฉะนั้นแล้ว ด้วยพลังของดาบเมื่อครู่ ย่อมเพียงพอแล้วที่จะฆ่าสังหารคนเหล่านี้ 

กู่ฉิงซานเก็บดาบกลับคืน มองไปยังสามผู้ฝึกยุทธมือใหม่ใต้เวทีที่ยังหลงเหลืออยู่ 

“อ้าว? พวกเจ้ายังอยู่ที่นี่อีกหรือ?” เขาเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ “เช่นนั้นหมายความว่ายังต้องการจะสู้กับข้า?” 

พริบตานั้นทั้งสามพลันคุกเข่าลง โขกหัวกรีดร้องสาบาน “ข้าผิดไปแล้ว ข้าพลาดพลั้งไป ท่านมิใช่คนเลวร้าย มิจำเป็นต้องข้ามเส้นมาสนใจพวกข้าหรอก” 

ในฐานะที่เป็นถึงผู้ฝึกยุทธ การโขกหัวสาบานต่อหน้าผู้อื่นเช่นนี้ ย่อมหมายถึงจิตแห่งเต๋าของเขาได้แตกสลายลงแล้ว 

กู่ฉิงซานไม่เหลือบแลทั้งสามอีกต่อไป เขาสูดหายใจลึกและหันไปยังหลี่ฉางอัน 

“ถึงตาเจ้าแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าวด้วยรอยยิ้ม 

หลี่ฉางอันหัวเราะร่าและกล่าว “เจ้า กำลังคิดว่าข้ากลัวเจ้าอย่างงั้นสินะ?” 

“เจ้ามีเทคนิคลับแห่งดาบ ฉะนั้นคงต้องรู้ใช่หรือไม่ว่าข้าก็ย่อมมีมันไว้ในครอบครองเช่นกัน?” เขาก้าวขึ้นมาบนจัตุรัสทีละก้าว ทีละก้าว “สำหรับศิษย์นักปราชญ์รุ่นใหม่ มิว่าจะสูงต่ำก็ล้วนครอบครองมันกันทั้งนั้น” 

หอกยาวปรากฏขึ้นในมือของเขา 

กู่ฉิงซานยืนเป็นไม้ตายซาก มิเอ่ยคำใด 

หลี่ฉางอันถือหอกยาวและหมุนควงมันจนปรากฏเป็นภาพสีติดตา 

“โปรดชี้แนะด้วย” เขากล่าว 

มองไปยังท่าทีหยิ่งผยองที่ปรากฏ และคำกล่าวขอชี้แนะเมื่อครู่ เขาก็เข้าใจความหมายที่ฝ่ายตรงข้ามต้องการจะสื่อทันที 

ไม่รีรอให้กู่ฉิงซานเอ่ยตอบ หอกยาวพลันวูบไหว 

จากความสงบเมื่อครู่ พริบตาเดียวกลับกลายเป็นว่องไวราวกับสายฟ้าที่ฟาดผ่า เจตนาฆ่าฟุ้งกระจัดกระจายไปห้วงอากาศบริเวณโดยรอบ หอกยาวฉีกกระชากอากาศจนเกิดเสียงหวีดแหลม 

หลี่ฉางอันทั้งคนทั้งหอกราวกับผสานกันเป็นหนึ่งเดียว พุ่งพรวดมายังเบื้องหน้าดั่งศรแหลมที่ถูกผละออก 

หอกยาวนี้ถูกใช้ออกด้วยผู้ที่เข้าใจถึงเทคนิคหอกอย่างลึกซึ้ง มันจึงทิ่มแทงพุ่งตรงมาอย่างเกรี้ยวกราดไม่มีเบี่ยงเบน 

ไม่มีใครคาดคิดว่าจิตใจของหลี่ฉางอันจะลึกล้ำเช่นนี้ เขาไม่คิดไม่สนจะฟังคำกล่าวของอีกฝ่าย ประเดิมลงมือด้วยกระบวนท่าสังหารในทันที 

หากกู่ฉิงซานมิได้เตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้วหรือไม่ทันจะตอบสนอง นั่นย่อมหมายถึงบนร่างของจะต้องถูกจะทะลุจนพรุนเป็นรูโบ๋ 

หอกยาวแทงลึกเข้าสู่ร่างของกู่ฉิงซาน แน่นิ่งค้างอยู่อย่างนั้น 

แทงโดนแล้ว! 

ไปดีนะสหาย! 

หลี่ฉางอันเผยอ้าปากเตรียมหัวเราะ ทว่าเขากลับพบว่าสัมผัสจากปลายหอกมันไม่ถูกต้อง 

มองอีกครั้งอย่างใกล้ชิด กลับพบว่าแท้จริงแล้วนี่เป็นเพียงภาพติดตาที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง ส่วนร่างกายที่แท้จริงนั้นไม่รู้ว่าได้หายตัวไปที่ใดแล้ว 

เช่นนี้ไม่ดีแน่! 

หลี่ฉางอันลากหอยาวหมุนกลับมาเตรียมที่จะถอยฉากออกไป 

ทว่าพริบตานั้น เบื้องบนเหนือศีรษะของเขาพลันสัมผัสได้ถึงความเย็นเยียบ และเขาไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อยที่จะจ้วงแทงหอกเสยขึ้นไปหมายมั่นที่จะตีสวนกลับไปยังอีกฝ่าย 

อาวุธทั้งสองปะทะกันกลางอากาศ บังเกิดเสียงอึกทึกกังวานไปทั่ว 

หลี่ฉางอันตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด “เจอตัวแล้ว! จงตายเพื่อฉันซะ!”

หอกยาวกรีดผ่านอากาศก่อเกิดเสียงหวีดหวิวของสายลมจ้วงแทงไปยังร่างของเป้าหมาย ทว่ากลับสัมผัสถูกแค่เพียงภาพติดตา 

ร่างกู่ฉิงซานได้หายตัวไปในความว่างเปล่าอีกครั้ง

........................................