webnovel

0114 กำหนดชื่อผู้ท้าทาย

ตอนที่ 114 กำหนดชื่อผู้ท้าทาย 

นี่คือศิษย์แห่งนิกายร้อยบุปผา นิกายของหนึ่งในไตรภาคีที่มีเพียง สามคนเท่านั้นในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธใบนี้ 

มีผู้คนเคยกล่าวกันว่า จำนวนสาวกในนิกายร้อยบุปผานั้นน้อยนิดยิ่ง ทว่าทรัพยากรที่แต่ละคนได้รับนั้นล้วนเป็นของชั้นหนึ่ง 

นับประสาอะไรเมื่อได้เข้าสู่นิกาย ย่อมหมายความว่าไม่มีใครมาแก่งแย่งทรัพยากรที่ใช้ในการฝึกฝน แถมศาสตร์ลับนับไม่ถ้วนก็ยังถูกมอบให้เก็บไว้ แล้วยังมีโอกาสได้รับการฝึกฝนจากนักปราชญ์เป็นการส่วนตัวอีก...แน่นอนหากเป็นเพียงลมปากพวกเขาย่อมไม่มีทางเชื่อ ทว่ากู่ฉิงซานก็ได้พิสูจน์สิ่งที่กล่าวมาให้ได้เห็นแล้ว! 

ฝูงชนโดยรอบเริ่มกระสับกระส่าย 

กู่ฉิงซานจ้องมองเขา นิ่งค้างไปหลายวินาที ก่อนจะกล่าวอย่างเด็ดขาด “หากมิได้มีคำสั่งจากนักปราชญ์ ข้าและศิษย์น้องหญิงก็ไม่อาจยอมรับผู้ใดเป็นสาวกได้ มิฉะนั้น หากเมื่อนักปราชญ์โกรธขึ้นมา แม้กระทั่งพวกเราก็ต้องถูกลงโทษ ทว่าอย่างไรเสียพวกเราก็ยังเป็นศิษย์ของท่าน โทษทัณฑ์คงเป็นเพียงแค่สถานเบา แต่พวกเจ้าที่มิใช่ศิษย์เล่า? มิอาจถึงขั้นรักษาชีวิตเอาไว้ไม่ได้เลยหรอกหรือ” 

เหล่าผู้คนที่ต้องการจะเอ่ยกล่าวบางสิ่งกับกู่ฉิงซานชะงักงันไป กู่ฉิงซานหันไปมองรอบๆ และกล่าวด้วยน้ำเสียงกระจ่างใส “ข้าขอกล่าวว่าในที่นี้ ข้ากับศิษย์น้องของข้าเป็นศิษย์ของนิกายร้อยบุปผา นอกเหนือไปจากเราสอง นิกายร้อยบุปผามิได้มีความตั้งใจใดๆ ที่จะรับสาวกเพิ่มอีก” 

“หากท่านใดมีความจริงใจที่ต้องการจะเข้าสู่นิกายร้อยบุปผา โปรดทำการเลือกรายการทดสอบร้อยบุปผาก่อนเป็นอันดับแรก” 

เมื่อเห็นทัศนคติและแววตาที่ดูมั่นคงไม่โอนอ่อนของกู่ฉิงซาน มือใหม่ที่กำลังรายล้อมตัวเขาก็โยนความคิดนี้ทิ้งไป 

คนที่คุกเข่าในที่สุดก็จำต้องลุกขึ้นและจากไปอย่างไม่เต็มใจ ขณะที่ในปากเอ่ยพึมพำ 

“จำไว้เลยนะเจ้าปีศาจน้อย ทั้งๆ ที่ข้าอุตส่าห์คุกเข่าขอร้องด้วยความจริงใจแท้ๆ...” 

หลี่ฉางอันที่ยืนอยู่ห่างออกไป หัวเราะคิกคักออกมาคำหนึ่งแล้วเอ่ยความคิดในหัวออกมา “นิกายร้อยบุปผาไม่คิดจะยอมรับสาวก ทว่าหากมือใหม่คนใดสามารถเอาชนะสองศิษย์แห่งนิกายร้อยบุปผาได้ เหล่านิกายใหญ่มากมายคงพร้อมที่จะอ้าแขนต้อนรับเขา” 

แม้เสียงที่เอ่ยกล่าวจะไม่ดังมากมายนัก ทว่าผู้ฝึกยุทธโดยรอบกลับสามารถได้ยินมันอย่างชัดเจน 

หลายคนเผยสีหน้ากลับกลาย จ้องมองไปยังกู่ฉิงซานและซิวซิว 

ในขณะนั้นเอง การทดสอบรอบที่สามก็ได้สิ้นสุดลง 

หนิงเยว่ฉานลงจากเวทีจัตุรัส 

จากนั้น ก็ได้มาถึงการทดสอบประจำปีรอบสุดท้าย 

สี่ผู้นำนิกายเดินขึ้นไปบนเวที ก่อนจะหันไปคารวะวังสวรรค์อย่างพร้อมเพรียง จากนั้นก็เดินไปวางมือลงบนเสาร์ทั้งสี่มุมของเวทีจัตุรัส 

พวกเขากระตุ้นพลังวิญญาณและถ่ายเทมันลงไปยังเสาแต่ละมุม 

ไม่นานนัก สี่เสาก็ปรากฏรัศมีแสงสว่างขึ้น เปล่งประกายไปทั่วทั้งเวทีจัตุรัส 

รัศมีแสงสีทองจากทั้งสี่มุมพุ่งทะยานขึ้นไปเบื้องบน หายลับขึ้นไปบนท้องฟ้า 

หนึ่งในผู้นำนิกายประกาศอย่างเคร่งขรึม “รอบสุดท้าย ‘การคัดสรรศักดิ์สิทธิ์ ’ ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว!” 

การคัดสรรศักดิ์สิทธิ์ ในคำอธิบายที่ถูกบันทึกไว้ในสมัยบรรพกาล มันคือการแข่งขันของมนุษย์ว่าจะสามารถดลใจให้ราชันวิญญาณเบิกฟ้า แหงนมองลงมาเฝ้าดูได้หรือไม่ หากมือใหม่คนใดสามารถทำให้ราชันวิญญาณเบนสายตามามองดูได้ ราชันวิญญาณก็จะมอบของขวัญอันเลอค่าที่จะช่วยส่งเสริมการฝึกปรือวรยุทธเป็นรางวัล 

แม้ยามนี้ราชันวิญญาณจะได้หายตัวไปแล้วอย่างไร้ร่องรอย ทว่ามนุษยชาติก็ยังอนุรักษ์ประเพณีนี้สืบต่อกันมาเนิ่นนานหลายนับหลายพันปี 

เวทีจัตุรัสถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วน แต่ละส่วนแบ่งแยกจากกันอย่างอิสระ 

มือใหม่คนหนึ่งกระโดดขึ้นไปบนเวที ปากเอ่ยตะโกนลั่น “ผู้น้อยจางกง มีผู้ใดต้องการท้าทายข้าบ้าง?” 

“ข้าเอง!” มือใหม่อีกคนกระโจนขึ้นไปบนเวที 

ผู้ตัดสินมองไปยังทั้งสอง และพบว่าขอบเขตของสองมือใหม่อยู่ในช่วงปราณปรับแต่ง เขาพยักหน้าและเอ่ยกล่าว “นี่เป็นเพียงแลกเปลี่ยนวรยุทธ หากเป็นไปได้จงอย่าหนักมือจนเกินงาม” 

“ทราบแล้ว!” ทั้งสองตอบรับ 

“เช่นนั้น...ก็เริ่มได้!” 

พริบตาที่สิ้นประโยค ทั้งสองก็พุ่งเข้าห้ำหั่นกัน 

ไม่นานนักก็มีคนหนึ่งพ่ายแพ้ ส่วนอีกคนหนึ่งแน่นอนว่าย่อมต้องได้รับชัยชนะและไต่อันดับขึ้น 

ในอีกสามส่วนที่แบ่งแยกเป็นอิสระต่อกันโดยสิ้นเชิง ก็เริ่มที่จะมีผู้ฝึกยุทธขึ้นไปทำการต่อสู้ 

“ศิษย์พี่ พวกเราสมควรทำเช่นไร?” ซิวซิวเอ่ยถาม 

“พวกเรามาดูกันก่อนเถอะ” กู่ฉิงซานตอบ 

“พวกเราอุตส่าห์มาแล้ว หากมิคิดทำอันใดเลย ท่านอาจารย์จะไม่โกรธหรือ” ซิวซิวกล่าวด้วยความกังวล 

กู่ฉิงซานยิ้มและกล่าว “นี่เจ้าลืมถ้อยคำของท่านอาจารย์ไปแล้วรึ?” 

“แน่นอนว่าข้าจดจำได้ ‘จงเดินทางอย่างปลอดภัยทั้งขาไปและขากลับ’” ซิวซิวกล่าว 

กู่ฉิงซาน “ถูกต้อง พวกเราเพียงมาปรากฏตัวที่นี่ เพื่อบ่งบอกว่านิกายร้อยบุปผาก็ได้ส่งคนมาเช่นกัน และจากนั้นก็เฝ้ามองการต่อสู้ของคนอื่นๆ เพื่อเป็นการเปิดหูเปิดตา เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว” 

เขาลูบหัวของซิวซิวและกล่าว “เผื่อเจ้าลืม ข้าจะย้ำอีกครั้งว่าซิวซิวของพวกเรามีอายุเพียงแค่แปดขวบปีเท่านั้น เรื่องการต่อสู้ฆ่าแกงกันน่ะเอาไว้อีกหลายปีค่อยมาว่ากันใหม่” 

ซิวซิวยิ้ม และเริ่มผ่อนคลายลง 

เธอมองไปยังการต่อสู้บนเวที ไม่นานนัก แววตาของเธอก็เผยถึงความสนอกสนใจเป็นอย่างมาก 

กู่ฉิงซานก็ดูจะจ้องมองลงไปไม่ว่างตาเช่นกัน 

หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็หันหน้าลงไปมองหนิงเยว่ฉานอยู่สักพัก และเบนสายตาออกไป ทว่าสักพักก็หันกลับมามองอีกหลายครั้ง จนใบหน้าเรียวเล็กของอีกฝ่ายเริ่มปรากฏริ้วเล็กๆ สีกุหลาบ 

เปรี้ยง! หนึ่งในคู่ต่อสู้บนเวทีทำการจู่โจมจนเกิดประกายแสงจ้า หนิ่งเยว่ฉานฉวยโอกาสนั้นที่ไม่มีใครกำลังสนใจเธอจิกสายตาไปยังกู่ฉิงซานด้วยเจตนาร้าย 

กู่ฉิงซานสะดุ้งเฮือก และไม่กล้าไปแกล้งยั่วยุเธออีก 

ขอบเขตระหว่างทั้งสองห่างกันอยู่หลายช่วงชั้นใหญ่ หากหนิงเยว่ฉานตั้งใจจะสร้างความยุ่งยากให้แก่เขาจริงๆ เพียงสาดสายตามอง เส้นเลือดกว่าครึ่งในร่างเขาคงขาดสะบั้น และกลายเป็นมนุษย์ฉ่ำเลือดไปแล้ว 

ในที่สุด การทดสอบประจำปีก็รอบสุดท้ายก็ได้ปรากฏสุดยอดเมล็ดพันธุ์ที่โดดเด่นในยี่สิบอันดับแรก 

ผู้นำนิกายต่างๆ ที่กำลังเฝ้าดูเหล่ามือใหม่อยู่บนเวที กล่าวฮึมฮำชื่นชมในปาก และเริ่มคัดสรรเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นอย่างรวดเร็วในจิตใจ 

สามารถก้าวมาได้ถึงขั้นนี้ ย่อมเป็นผู้ฝึกยุทธที่มีพรสวรรค์โดยธรรมชาติ หากฝึกฝนโดยตนเพียงลำพังแล้วยังได้ขนาดนี้ ในอนาคตหากได้รับการฝึกฝนโดยนิกาย มันย่อมต้องเจิดจรัสยิ่งกว่า 

“ยอดเยี่ยมจริงๆ เอาล่ะเจ้าเป็นผู้ที่ได้รับชัยชนะมากครั้งที่สุดบนเวที ดังนั้นเจ้าจึงมีสิทธิ์เลือกคู่ต่อสู้ก่อนเป็นคนแรก เมื่อวนต่อสู้จนครบก็จะได้จบการคัดสรรศักดิ์สิทธิ์เสียที” ผู้นำนิกายคนหนึ่งกล่าว 

“ผู้น้อยสามารถเริ่มกำหนดชื่อผู้ท้าทายได้เลยใช่หรือไม่” 

สิ่งที่เรียกว่าการกำหนดชื่อผู้ท้าทายก็คือ หากท่านต้องการจะท้าทายใคร ก็จงตะโกนชื่อคนคนนั้นออกมา และอีกฝ่ายก็ต้องลุกขึ้นมาต่อสู้ มิฉะนั้นจะถูกตัดสิทธิ์ไปโดยปริยาย 

ทั้งยี่สิบคนหันมาสบตากัน ข้ามองเจ้า เจ้ามองข้า  และรีบหันมองไปยังรอบๆ เพื่อเฟ้นหาคู่ต่อสู้ของตนเอง 

นี่นับเป็นหนึ่งในการทดสอบพลังแห่งความสังเกตและการตัดสินใจ อีกด้วย 

ทันใดนั้นเอง หนึ่งในยี่สิบอันดับก็พลันเอ่ยปาก “ข้าขอท้าทายกู่ฉิงซานแห่งนิกายร้อยบุปผา” 

ผู้ชมโดยรอบตกตะลึง 

คนแล้วคนเล่าเบนสายตามายังกู่ฉิงซานและซิวซิว 

“ศิษย์พี่...” ซิวซิวเอ่ย 

“ไม่เป็นไรหรอก” กู่ฉิงซานยิ้ม 

เขามองไปยังคนที่เอ่ยกล่าว และพบว่าแท้จริงแล้วคนคนนั้นก็คือคนที่พึ่งคุกเข่าต่อหน้าเขาเมื่อครู่นั่นเอง 

ต้องการที่จะได้รับชื่อเสียงจนเป็นบ้าไปแล้วหรือไร? 

เหลิงเทียนสิงที่เป็นหนึ่งในผู้ตัดสินตะคอกออกมาคำหนึ่ง “กู่ฉิงซานมิได้อยู่ในยี่สิบอันดับแรก หากเจ้าต้องการจะท้าทายใคร ขอจงท้าทายผู้ที่อยู่ในขอบเขตดังกล่าวด้วย” 

คนผู้นั้นกล่าว “ทว่าตามกฎการคัดสรรศักดิ์สิทธิ์ หากผู้ที่อยู่ในยี่สิบอันดับแรกต้องการที่จะท้าทายใคร คนผู้นั้นก็ไม่อาจจะอยู่เหนือไปกว่าการตัดสินใจได้” 

นี่ก็ใช่ว่าจะไม่ถูกต้อง ทว่ามันเป็นสิ่งที่แทบจะไม่มีใครเคยทำมาก่อนเลย 

สำหรับผู้ที่ไม่ได้แม้แต่จะอยู่ในยี่สิบอันดับแรก ย่อมแน่นอนอยู่แล้วว่าต้องอ่อนด้อยยิ่งกว่า  

หากเจ้าเป็นผู้เข้มแข็ง แล้วเหตุใดจึงต้องไปท้าทายผู้อ่อนแอให้ฝูงชนดูถูกด้วยเล่า? 

นับประสาอะไรกับศิษย์จากนิกายต่างๆ ดังเช่นนิกายร้อยบุปผา ด้วยเหตุผลในเรื่องการรักษาประเพณี ทางนิกายจึงส่งพวกเขามาเพื่อเป็นพยานในการทดสอบประจำปีเท่านั้น มิได้ตั้งใจจะให้ขึ้นไปบนเวที 

หนิงเยว่ฉานเอ่ยปาก “การที่นิกายร้อยบุปผาเดินทางมายังที่นี่ เพียงเพื่อเข้าร่วมพิธีเท่านั้น พวกเขามิได้ขึ้นไปบนเวทีมาก่อน ดังนั้นจึงไม่ได้อยู่ในขอบเขตของการท้าทาย” 

คนผู้นั้นเริ่มที่จะลังเล เมื่อเห็นว่ามีสองคนเอ่ยขัดเขา 

หลี่ฉางอันยืนขึ้นในทันใด เขาหัวเราะฮิฮะและเอ่ย “เจ้าช่างยอดเยี่ยมนัก มีความกล้าหาญอย่างเหลือล้น กล้าที่จะท้าทายศิษย์ของนักปราชญ์ ดียิ่ง! ผู้ฝึกยุทธที่น่าสนใจมันต้องเป็นเช่นนี้ กล้าที่จะก้าวไปข้างหน้าแม้จะต้องเผชิญกับความยากลำบาก!” 

“ณ ขณะนี้ ไม่สำคัญหรอกว่าเจ้าจะได้รับชัยชนะหรือพ่ายแพ้ ทว่าอารามชิงหยุนของเรายินดีต้อนรับเจ้า!” 

‘ไม่สำคัญหรอกว่าจะได้รับชัยชนะหรือพ่ายแพ้’ 

‘ผู้ฝึกยุทธที่น่าสนใจมันต้องเป็นเช่นนี้’ 

ชายคนนั้นได้ฟังก็ตระหนักได้ในทันที และผู้ฝึกยุทธคนอื่นๆ ที่ได้ฟังก็เข้าใจถึงความนัยของประโยคดังกล่าวนี้เช่นกัน 

‘จงออกไปต่อสู้เสีย แล้วพวกเจ้าจะได้เข้าสู่นิกายชิงหยุน!’ 

ได้เข้าสู่นิกายชิงหยุน ที่เป็นนิกายภายใต้ตนตัวอย่างนักปราชญ์ ตัวตนที่ผู้คนทั่วโลกไม่มีใครหาญกล้าจะยั่วยุ ตัวตนที่ทรงพลังที่สุดในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ! 

ฝั่งหนึ่งเป็นนิกายร้อยบุปผาที่ไม่ได้รับการยอมรับจากผู้คน อีกด้านหนึ่งคือนิกายชิงหยุนที่ผู้คนต่างก็ให้การยอมรับ 

เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว นิกายชิงหยุนนี่แหละคือเส้นทางที่จะสามารถใช้ปีนป่ายขึ้นสู่สวรรค์ได้อย่างแท้จริง! 

ทันใดนั้นผู้คนในยี่สิบอันดับแรกต่างก็ลุกขึ้นและตะโกนเสียงดังลั่น 

“เหตุใดพวกเราจึงไม่อาจท้าทายได้?” 

“เขาก็เป็นส่วนหนึ่งของการทดสอบประจำปี เหตุใดจึงมีสิทธิพิเศษอยู่เหนือผู้อื่น ถึงไม่อาจยอมรับการท้าทายนี้?” 

“แน่นอนว่าพวกเราย่อมเคารพท่านนักปราชญ์ ทว่าเขาไม่ใช่นักปราชญ์!” 

“แม้จะมิได้อยู่ใน ยี่สิบอันดับ ทว่าเขาก็เป็นผู้ฝึกยุทธมิใช่หรือ!?” 

ผู้ฝึกยุทธรุ่นใหญ่หันมาสบตากัน ข้ามองเจ้า เจ้ามองข้า พวกเขาเริ่มรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย 

ผู้ฝึกยุทธชั้นยอดกลุ่มต่างๆ ก็บังเกิดเสียงเซ็งแซ่ เว้นไว้เพียงหนิงเยว่ฉานกับเหลิงเทียนสิงที่ยังคงเงียบ 

‘จริงๆ แล้วมันเป็นเพราะก่อนหน้านี้ที่กู่ฉิงซานดันทำตัวโดดเด่นมากเกินไป แถมยังใช้นักปราชญ์นำพาขึ้นมายังวังสวรรค์’ หนิงเยว่ฉานพึมพำถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมา ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ผู้คนรู้สึกริษยาและเกลียดชังได้โดยง่าย

ดั่งเช่นที่คนผู้นี้กำลังกระทำ เขากำลังต้องการที่จะให้กู่ฉิงซานรู้สึกเสียหน้า และการที่สามารถทำเช่นนั้นได้พวกเขาก็จะมีความสุข 

กู่ฉิงซานมองไปยังพวกเขาและกล่าวด้วยความรู้สึกที่เริ่มจะตื่นเต้น ตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ เขายืนขึ้น หนึ่งฝ่ามือประสานหนึ่งกำปั้น ขนานกับหน้าอก โค้งคารวะพอเป็นพิธีและกล่าว “ฟังข้าอธิบายก่อน” 

เขากล่าวอย่างจริงใจ “เรื่องราวในครานี้ พวกเจ้ากำลังเข้าใจผิด” 

กู่ฉิงซานกล่าว “มิใช่ว่าข้ามิอยากต่อสู้ ทว่าก่อนที่พวกเราจะจากมา ท่านนักปราชญ์เป็นคนเอ่ยปากสั่งเองว่าห้ามมิให้เราต่อสู้” 

คนที่เอ่ยขอท้ากู่ฉิงซานคนแรกเดิมทีเตรียมจะกล่าวโต้แย้ง เมื่อเขาเอ่ยจบ 

อย่างไรก็ตาม เมื่อกู่ฉิงซานดันเอ่ยคำดังกล่าวนี้ออกมา คนผู้นั้นจึงชะงักงัน ไม่อาจเอ่ยโต้แย้งได้ 

นักปราชญ์ 

คำสั่งของนักปราชญ์ 

นักปราชญ์ไม่อนุญาตให้ต่อสู้ 

ดังนั้นข้าจึงไม่อาจต่อสู้กับเขาได้ 

ผู้ฝึกยุทธยี่สิบอันดับแรกบนเวที หันมาสบสายตากัน 

หากมีเรื่องเกี่ยวกับคำสั่งห้ามของอาจารย์เข้ามาเกี่ยวข้อง แล้วพวกเขาจะสามารถหักล้างคำกล่าวนั้นได้อย่างไร? จะใช้อะไรโต้แย้ง? 

ก่อนหน้านี้ก็ล่วงเกินนิกายไปแล้ว คราวนี้คิดจะล่วงเกินนักปราชญ์อีก? 

นี่มันคงเกินไปหน่อย กำไรที่จะได้มันไม่มากพอหากเทียบกับการสูญเสีย 

ทั้งหมดกลายเป็นบื้อใบ้ 

ซิวซิวที่กำลังมองฉากนี้ จู่ๆ ก็เอ่ยออกมาอย่างเงียบๆ “ศิษย์พี่ นี่มันค่อนข้างแปลก” 

“แปลกอย่างไร?” กู่ฉิงซานถาม 

“เห็นได้ชัดว่าท่านกำลังทำตัวไร้ยางอาย ทว่าเหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าท่านหล่อเหลาไม่เบาเลย” 

หลี่ฉางอันกระแอมไอและกล่าว “เจ้ากำลังจะบอกว่านี่เป็นสิ่งที่ท่านนักปราชญ์ให้คำแนะนำ?” 

“ถูกต้อง” กู่ฉิงซานกล่าว 

ในหัวใจของหลี่ฉางอันยังคงเต็มไปด้วยความเกลียดชัง ทว่าเขาก็ไม่อาจเอ่ยอะไรออกมาอยู่ครู่หนึ่ง ทำได้เพียงปล่อยให้สถานการณ์ตกอยู่ในการควบคุมของอีกฝ่าย 

นี่ข้าจะต้องปล่อยเขาไปจริงๆ น่ะหรือ? 

นี่มันเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะได้ตอกหน้ามันต่อหน้าคนอื่นๆ เชียวนะ 

เพียงมองดูว่ากู่ฉิงซานไม่คิดจะขึ้นมาบนเวที ราวกับว่าเขากำลังขาดความมั่นใจในตนเอง เกรงกลัวว่าจะแพ้ให้กับคู่ต่อสู้ฝ่ายตรงข้าม 

ทว่าหากกู่ฉิงซานใช้ชื่อของนักปราชญ์มาบังหน้า พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกเสียจากยอมแพ้ 

หลี่ฉางอันลอบเบนสายตาไปยังหนิงเยว่ฉาน และเห็นว่าสายตาของนางที่กำลังตกอยู่บนร่างของกู่ฉิงซานช่างดูอ่อนโยนยิ่ง มุมปากของนางยกสูงขึ้น เผยรอยยิ้มน้อยๆ 

หลี่ฉางอันขบฟันแน่น ความไม่พอใจพุ่งทะยานสูง 

“เจ้าจะไม่ขึ้นไปบนเวทีจริงๆ?” หลี่ฉางอันมองไปยังกู่ฉิงซาน และสลับไปมองซิวซิวอีกครั้งและกล่าว “มิใช่ว่านั่นเป็นคำสั่งที่มีไว้สำหรับเด็กน้อยคนนั้นหรอกหรือ หากเป็นเด็กนั่น ท่านนักปราชญ์จะเอ่ยสั่งออกมามันก็ไม่นับว่าแปลกอันใด ว่าแต่ท่านนักปราชญ์ส่งเด็กสาวผู้นี้มายังที่นี่ทำไมกัน หรือว่านางใช่เป็นลูกของเจ้า?” 

แม้จะดูเหมือนว่าไม่มีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับคำกล่าวที่แสนธรรมดานี้ 

อย่างไรก็ตาม หากขบคิดสักเล็กน้อย คุณจะพบว่านี่มันช่างเป็นคำกล่าวเลวทรามและส่อเจตนาให้ผู้คนเข้าใจผิดมากเกินไป 

นิกายร้อยบุปผามีสาวกเพียงน้อยนิด ดังนั้นการที่ปรากฏเด็กคนหนึ่งขึ้นย่อมนำไปสู่การคาดเดามากมายนับไม่ถ้วน 

“หลี่ฉางอันนี่เจ้ากำลังคิดจะกล่าวสิ่งใด!?” หนิงเยว่ฉานกล่าวด้วยความโกรธ 

“ข้าเพียงถามถึงที่มาของเด็กน้อย ต้องการทราบว่าบิดามารดาของนางมาจากที่ใด แท้จริงแล้วเรื่องราวมันเป็นอย่างไรกันแน่” หลี่ฉางอันรีบกลับคำอย่างรวดเร็ว 

เขาได้พิสูจน์แล้วว่า เขามิได้ถามออกไปด้วยเจตนาร้าย เพียงแต่ถามออกไปอย่างบริสุทธิ์ใจเกี่ยวกับต้นกำเนิดของเด็กสาวว่ามีที่มาอย่างไร เนื่องเพราะผู้ฝึกยุทธทุกคนที่เข้ามายังที่นี่ ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ถูกสอบถามถึงที่มาแทบทั้งสิ้น 

ทว่าประโยคก่อนหน้าที่เขาได้เอ่ยออกไป ได้ฝังลึกอยู่ในจิตใจของผู้คนโดยรอบเสียแล้ว ทั้งหมดต่างจินตนาการไปต่างๆ นา เสียงนินทาว่าร้ายจากเดิมที่เพียงกระซิบกระซาบ เริ่มขยายวงกว้างออกไปเรื่อยๆ 

ซิวซิวไม่ได้เอ่ยคำใด 

เนื่องเพราะบิดาของนางได้ล่วงลับไปแล้ว 

และนางก็ทนทุกข์ทรมานอย่างยากลำบาก จนในที่สุดก็ค่อยๆ ฟื้นตัวกลับมาได้อย่างช้าๆ 

ประโยคดังกล่าวนี้เลวร้ายเกินไป มันราวกับมีดแหลมที่เสียบแทงเธอ 

กู่ฉิงซานกัดฟันกรอด ปากเผยอขึ้นจนเห็น ซี่ฟันที่เรียงรายเป็นแนวเดียวกัน 

เขาวางซิวซิวลงและเห็นว่าขอบตาของเด็กสาวเริ่มแดงเรื่อ หยาดน้ำตาหลั่งรินลงมาข้างแก้ม ก่อนจะหยุดนิ่งอยู่ที่ปลายคางของเธอเป็นรูปหยดน้ำ 

ในหัวใจของกู่ฉิงซานเจ็บแปล่บ แต่เขาก็ยังเอ่ยปากออกมาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ซิวซิว จงฟังศิษย์พี่ของเจ้า!” 

“อื้อ” 

“ตอนนี้ศิษย์พี่ของเจ้าจะออกไปผ่อนคลายเสียหน่อย” 

“อื้อ” 

“ตอนนี้ศิษย์พี่รู้แล้วว่าตนได้ทำผิดพลาดไป ต้องขออภัยเจ้าด้วย ศิษย์พี่ของเจ้าจะรีบแก้ไขมันทันที” 

“เอ๋?” 

เด็กสาวตัวน้อยปาดน้ำตา และเผยให้เห็นถึงความฉงนเล็กน้อยบนใบหน้า 

แต่เธอกลับเห็นแค่เพียงหน้าอกของกู่ฉิงซานที่กำลังโอบกอด เขาอุ้มเธอตรงไปยังหนิงเยว่ฉานและกล่าว 

“ช่วยดูแลซิวซิวแทนข้าด้วย” 

กล่าวจบ โดยที่ไม่ต้องรีรอให้หนิงเยว่ฉานเอ่ยรับ เขาก็กระโจนขึ้นไปบนเวทีจัตุรัสทันที 

ดาบพิภพปรากฏขึ้นจากในอากาศที่ว่างเปล่า และถูกคว้าจับในกำมือของกู่ฉิงซาน  

เขายกดาบขึ้น และชี้ไปยังผู้ฝึกยุทธที่อยู่ในยี่สิบอันดับแรกของการทดสอบประจำปี ก่อนเอ่ยปากกล่าว “ในเมื่อพวกเจ้าอยากจะสู้นัก ก็จงเข้ามา เข้ามากันเสียให้หมด ข้าจะได้พิชิตชัยในทีเดียว” 

“แล้วก็เจ้าด้วย” 

เขามองไปยังหลี่ฉางอัน “เจ้ากำลังรู้สึกว่าคำกล่าวของตนนั้นช่างชาญฉลาดยิ่งนัก ถูกต้องไหม?” 

เจตนาฆ่าอันน่าสยองขวัญทะลักล้นออกมาจากหัวใจของกู่ฉิงซาน ทว่าน้ำเสียงของเขากลับยังคงสงบราวกับน้ำนิ่ง 

“บัดนี้สมใจปรารถนาของเจ้าแล้ว จงขึ้นมาทุกข์ทรมานและตกตายลงเบื้องหน้าข้าซะ!”

........................................