webnovel

เรือนผีสิง

เสียงกลุ่มคนมากมายตะบึงฝีเท้าเข้ามาในเรือน สาวรับใช้ได้ยินเสียงเอะอะกำลังจะลุกออกไปดูประตูก็ถูกผลักออกพร้อมกับร่างของสตรีเป็นจำนวนมาก

"ลูกข้าอยู่ไหน!" ฮูหยินสี่เอ่ยเสียงร้อนรน บ่าวรับใช้ยืนงงงันอยู่กับที่ ผู้เป็นฮูหยินจึงผลักสาวใช้ออกไปให้พ้นทาง ทั้งหมดแห่ทะลักกันเข้าไปในห้องส่วนตัวของคุณหนูสิบเอ็ดทันที

เมื่อประตูถูกกระแทกออกอย่างแรงทุกคนก็ต้องชะงักงุนงงไปกันทั้งแถวเมื่อเห็นคุณหนูสิบเอ็ดกำลังนอนกินขนมอยู่บนตั่งอย่างเอกเขนก

ใบหน้าของคุณหนูสิบเอ็ดฉายแววฉงนใจ ร่างบอบบางลุกออกจากตั่งแล้วทำความเคารพให้กับเหล่าฮูหยินทั้งสี่

"ท่านแม่ ฮูหยินทั้งสามและพี่น้องมีเรื่องอะไรหรือถึงได้แห่กันมาหาข้าพร้อมหน้ากันเช่นนี้?"

ทุกคนยังนิ่งอยู่กับที่ราวกับฝูงหุ่นดอกไม้สลัก นางจึงก้าวเข้าไปหาผู้เป็นมารดาแล้วสะกิดเรียก "ท่านแม่"

ฮูหยินสี่รู้สึกตัวรีบจับตามเนื้อตัวของลูกสาวตนทันที "หรงเอ๋อ! เจ้าเป็นอะไรหรือไม่ เจ้าเจ็บตรงไหน ไม่สบายที่ใดหรือเปล่า?"

นางสะบัดตัวออกจากการจับกุมนั้นโดยพลัน "อะไรกันท่านแม่! ข้ามิได้เป็นอะไรเสียหน่อย! ท่านเสียสติไปแล้วหรืออย่างไร!!"

"นี่น้องหรงเอ๋อ เจ้าต่างหากที่เสียสติใช่หรือไม่ เจ้า..."

สตรีอาภรณ์สีฟ้าอ่อนเอ่ยยังไม่ทันขาดคำคนตรงหน้าก็แผดเสียงอย่างโกรธเกรี้ยว "นี่พี่ฉีหลัน อย่ามาว่าข้าแบบนั้นนะ ข้ามิได้เป็นอะไรเสียหน่อย ดูสิ!!"

ฉีฟางหรงหมุนรอบตัวเองแล้วถลึงตาใส่ทุกคน เหล่าฮูหยินทั้งสี่และพี่น้องทั้งหลายค่อยถอนหายใจอย่างโล่งอก ผู้เป็นแม่ของฉีฟางหรงคุณหนูสิบเอ็ดไม่วายตวาดเสียงเข้ม

"ผู้ใดมันบังอาจปล่อยข่าวลือว่าคุณหนูสิบเอ็ดเสียสติ! ลากตัวมันมาให้ข้าดูหน้าเดี๋ยวนี้!!"

ยังไม่มีใครก้าวเท้าก็มีร่างหนึ่งรีบพุ่งเข้ามา "เดี๋ยวเจ้าค่ะ! บ่าว…บ่าวเองเจ้าค่ะ แต่ว่า..."

"บังอาจนัก! เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้มีวาจาโป้ปดกล่าวหาว่าลูกข้าเสียสติเช่นนี้ " ฮูหยินสี่ผู้เป็นมารดาของคุณหนูสิบเอ็ดตวาดเสียงกร้าว

"ข้ามิได้โป้ปดเจ้าค่ะ เพียงแต่ว่าข้ามิได้หมายถึงคุณหนูฉีฟางหรง" จินหมิงกล่าวด้วยใจเต้นไม่เป็นส่ำ

"เจ้ายังจะโป้ปดอีกหรือ? คุณหนูสิบเอ็ดจะเป็นใครไปได้นอกจากน้องฟางหรง เจ้าคิดว่าจะหลอกพวกข้าได้รึ เจ้าไพร่ชั้นต่ำ!!"

อาหมิงสะดุ้งรีบคุกเข่าก้มลงแทบพื้นพร้อมกับเอ่ยด้วยเสียงสั่นกลัว "บะ…บ่าว…บ่าวมิได้โป้ปดเจ้าค่ะ คุณหนูสิบเอ็ดที่บ่าวหมายถึงคือคุณหนูสิบเอ็ด…ฉีอันหนิงเจ้าค่ะ"

ทุกคนต่างชะงักไปก่อนจะมีเสียงแหลมเล็กกล่าวแทรกขึ้น "เจ้ายิ่งพูดจาเลอะเลือนใหญ่แล้ว ท่านแม่เจ้าคะ ขืนปล่อยให้นางบ่าวไพร่ผู้นี้ได้มีโอกาสพูดต่อไป พวกเรามีหวังโดนปั่นหัวกันหมดเป็นแน่!"

ฮูหยินใหญ่รีบกางแขนห้ามมิให้บุตรสาวของตนเข้าไปหาผู้ที่หมอบอยู่แทบพื้นก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงเลื่อนลอยและแววตาที่มีเมฆหมอกปกคลุม "นางมิได้โกหก"

ครานี้ทุกคนยิ่งงงงันเข้าไปกันใหญ่ หมายความว่าอย่างไร? คุณหนูสิบเอ็ดแท้จริงแล้วมิใช่ฉีฟางหรงหรอกหรือ?

"ท่านแม่! ท่านเลอะเลือนไปแล้วหรืออย่างไร?" คุณหนูสิบสองฉีฮุ่ยจิงจับแขนมารดาตนสั่นไปมาอย่างแรงเพื่อต้องการเรียกสติ แต่กลับโดนสะบัดมือออกจนตัวหัน

"ข้ามีสติดีทุกอย่าง!!!" ฮูหยินใหญ่ตะคอกเสียงกราดเกรี้ยวถลึงตาใส่บุตรสาวตน ดวงตากลมใสของฉีฮุ่ยจิงเริ่มมีน้ำตาคลอกัดริมฝีปากด้วยความน้อยใจ

นัยน์ตาของฮูหยินใหญ่เริ่มมีเส้นเลือดผุดออกมา ภายในดวงตานั้นแฝงความเคียดแค้นอยู่ลึก ๆ โดยไม่มีผู้ใดเห็น ก่อนที่ริมฝีปากอวบอิ่มจะเอื้อนเอ่ยเสียงที่กดให้เรียบ "นางอยู่ที่ใด?"

จินหมิงได้ยินดังนั้นก็เริ่มรู้สึกใจคอไม่ดี "เอ่อ….บ่าว…คือ…"

"พาข้าไปหานาง!"

ฮูหยินใหญ่ตวาดเสียงเข้ม จินหมิงรีบลุกขึ้นเดินนำออกไปทันที สตรีทั้งกลุ่มเบื้องหลังต่างกุลีกุจอก้าวเท้าตามไปอย่างว่องไว ด้วยอยากรู้นักว่าใครกันที่เป็นคุณหนูสิบเอ็ดแทนที่คุณหนูสิบเอ็ดฉีฟางหรง

ทั้งหมดเดินตามสาวใช้เบื้องหน้าด้วยใจร้อนรุ่ม เร่งฝีเท้ามากว่าครึ่งชั่วยามเลี้ยวไปตามตรอกซอกซอยในจวนเป็นนานก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะถึงที่หมายเสียที คุณหนูสิบหกผู้เป็นน้องเล็กสุดก็ทนไม่ไหวเอ่ยออกมาอย่างหงุดหงิดยิ่ง

"เมื่อไหร่จะถึงกัน! เดินมานานป่านนี้ข้าไม่ไหวแล้วนะ! ข้าไม่เคยต้องเดินไกลขนาดนี้มาก่อน ถ้ารู้อย่างนี้นั่งเกี้ยวมาก็ดีไปแล้ว!"

ทุกคนมีเหงื่อผุดทั่วใบหน้าแม้แต่แรงจะเอ่ยปากยังไม่มี ได้แต่หอบหายใจลากเท้าหนักอึ้งตามคนเบื้องหน้าไปอย่างไม่คลาดสายตา

มาถึงสะพานที่พาดข้ามบ่อน้ำกว้างใหญ่ ทั้งหมดผ่านศาลากลางน้ำเดินมุ่งเข้าไปยังป่าไผ่ที่อยู่ตรงหน้า แต่ละคนต่างลอบกลืนน้ำลายเหนียวผ่านคอแห้งผากด้วยความวิตก

สถานที่แบบนั้นหรือจะมีคนอยู่ได้?

เดินมาอีกครึ่งก้านธูปผ่านดงไผ่สีเขียวขจี ก็พบกับกำแพงเรือนที่มีตะไคร่สีเขียวเกาะจนไม่เห็นพื้นผิวกำแพง เถาวัลล์เลื้อยไปตามหลังคากำแพงอย่างอิสระราวกับไม่เคยถูกตัดทำลายมาก่อน

"นี่ใช่เรือนของคนจริง ๆ หรือ?" ฮูหยินห้าเอ่ยเสียงแหบแห้ง ทุกคนต่างตะลึงกับภาพตรงหน้าจนเท้าชะงักอยู่กับที่ ต่างก็คิดกันว่าถ้าก้าวเข้าไปในเรือนนั้นจะมีสัตว์ประหลาดหรือผีสางกระโจนออกมาหรือไม่

"คุณหนูสิบเอ็ดอยู่ที่นี่เจ้าค่ะ" เสียงใสไร้ความเหนื่อยหอบเอ่ยกับทุกคนที่มีใบหน้าเหน็ดเหนื่อยซีดเซียวราวกับกระดาษ ชายกระโปรงแต่ละคนสั่นระริกรู้ได้เลยว่าทุกคนขาสั่นกันแค่ไหน

"ฮูหยินและคุณหนูทั้งหลาย…เชิญเจ้าค่ะ" จินหมิงเปิดประตูกำแพงเรือนที่มีเสียงดังแหลมสูงก้าวเท้าเข้าไปยืนข้างประตูอย่างนอบน้อม ทุกคนค่อย ๆ เยื้องย่างเข้ามาทีละคน กวาดสายตาไปทั่วเรือนหลังเล็กซอมซ่อด้วยความตื่นตระหนก

"เรือนผีสิงแบบนี้จะมีคนอาศัยอยู่จริงหรือ? ไม่ใช่ว่าเจ้าหลอกพวกข้ามาลอบสังหารในสถานที่ห่างไกลหูตาผู้คนเช่นนี้หรอกนะ!"

คุณหนูฉีฟางหรงเอ่ยอย่างระแวงและหวาดกลัว ทุกคนตวัดสายตาหันมามองที่สาวใช้เป็นตาเดียว นางสะดุดหัวเราะพรืดก่อนจะเอ่ย "คุณหนูฉีเจ้าคะ ตัวข้าก็มีวัยไม่มากกว่าท่าน ทั้งยังผอมขนาดนี้จะมีแรงไปสังหารใครได้…"

ฉีฟางหรงกำลังจะเอ่ยต่อ แต่จินหมิงก็เอ่ยขัดได้ทัน "…ทั้งข้าและครอบครัวของข้ายังทำงานเป็นแค่บ่าวรับใช้ ก็ไม่มีอะไรจะไปจ้างใครมาสังหารใครได้หรอกเจ้าค่ะ"

ฉีฟางหรงเบ้ปากกำลังจะเอ่ยต่อแต่ก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อมีเสียงดังจากในเรือน เสียงนั้นเหมือนกับมีคนพยายามตะกุยประตูและกำแพงห้องเพื่อที่จะออกมาให้ได้ ทุกคนรีบจับกลุ่มกอดกันด้วยความตื่นตระหนกและหวาดกลัว บางคนที่กลัวจนร้องไห้แต่ก็ไม่กล้าร้องเสียงดังเพราะกลัวตัวอะไรบางอย่างในนั้นจะได้ยินเข้า

แต่เสียงสะอื้นที่แทบไม่ได้ยินนั้นกลับทำให้ภายในเรือนนั้นราวกับมีคนคลุ้มคลั่งพยายามเปิดประตูออกมาจนประตูหน้าต่างและหลังคาเบื้องบนที่ใกล้จะร่วงสั่นกรูไปหมด

อย่าถามถึงจินหมิงที่ยืนอยู่ไม่ไกล เพราะนางเองก็ตกใจจนร่างกายแข็งค้างเป็นหุ่นสลักไปแล้ว!!......