webnovel

ทุกอย่างมันเกินจะควบคุมแล้ว!

วิธีการหลบหนีของเจียงไท่กงนับว่าฝืนลิขิตสวรรค์อย่างยิ่งแล้ว สมควรทราบว่า การหลบหนีของเจียงไท่กงนั้น หาใช่เป็นการเคลื่อนย้ายมวลสารจากสถานที่แห่งหนึ่งไปยังสถานที่อีกแห่งหนึ่ง แต่เป็นการหลบหนีผ่านช่องว่างมิติหนึ่งไปยังอีกช่องว่างมิติหนึ่งของเขา อีกทั้งเขายังอาศัยช่วงเวลาหนึ่งกระโดดข้ามไปยังอีกช่วงเวลาหนึ่ง เป็นการหลบหนีจากจุดเชื่อมต่อของมิติกาลเวลาเดิม ซึ่งจะต้องแข็งแกร่งและมีความรู้ในด้านฟิสิกส์ไม่น้อยถึงจะทำเช่นนี้ได้

การหลบหนีโดยอาศัยจุดเชื่อมต่อของมิติกาลเวลานั้นเป็นวิธีการหลบหนีที่ฝืนลิขิตสวรรค์ยิ่ง เมื่อใดที่มีการหลบหนีก็จะไม่สามารถตามทันได้อยู่แล้ว และไม่สามารถสกัดกั้นได้อยู่แล้ว เพราะตัวบุคคลที่ได้หลบหนีไปนั้นไม่นับว่าอยู่ในช่วงเวลาเดียวกันแล้ว

แต่ว่า มาวันนี้เขากลับพบเจอกับ ศ.ดร.หนิงหลง หากจะกล่าวถึงความรู้ด้านฟิสิกส์ เจียงไท่กงสามารถเทียบได้กับหนิงหลงอย่างนั้นรึ? หนิงหลงที่มีความรู้ของนักฟิสิกส์ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบันรวมเอาไว้ ตัวเขานั่นแหละคือผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริง

การที่เจียงไท่กงคิดจะอาศัยวิธีการเช่นนี้เพื่อหลบหนีไป มันคือการอวดอ้างตนต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญชัดๆ ไม่ต่างอะไรไปจากการสอนจระเข้ว่ายน้ำแม้แต่น้อย เจียงไท่กงไม่สามารถหลบหนีได้สำเร็จอยู่แล้ว

ดังนั้น จังหวะที่เจียงไท่กงกำลังจะหลบหนีไปยังจุดเชื่อมต่อมิติกาลเวลาอีกจุดหนึ่งนั้น ก็จะถูกหนิงหลงขับไล่ออกมาทันที ไม่ว่าเขาไปวิ่งหลบหนีไปยังจุดเชื่อมต่อมิติกาลเวลาจุดไหนก็ตาม ก็ต้องถูกขับไล่ออกมา

ท้ายที่สุด เจียงไท่กงได้หยุดลงไม่คิดหนีต่อไปอีก สีหน้าของเขาดูไม่จืดถึงขีดสุด เนื่องจากไม่ว่าเขาจะหนีไปที่ใดก็ตาม จะกระโดดไปยังจุดเชื่อมต่อกาลเวลาใดก็ตาม ก็จะถูกหนิงหลงหาเจอพร้อมดักทางไว้หมด ดังนั้น เขาเลยไม่หนีต่อไปเสียอย่างนั้น

ความจริงแล้ว การที่เจียงไท่กงหลบหนีอย่างกะทันหันนั้น เรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่ทุกคนต่างรู้สึกว่าเข็มขัดมันช่างสั้นยิ่งนัก จะอย่างไรเสีย ผู้ที่ก้าวถึงปรมาจารย์ยุทธ์เช่นเขานั้น มักจะเป็นไปไม่ได้ที่จะสับเท้าหนีก่อนใครเพื่อน

ดูชายที่ถูกขนานนามว่าเจียงนิรันดร์เวลานี้สิ แทบจะไม่พูดไม่จาสักคำหันหลังหลบหนีไปทันที เป็นการทำลายภาพลักษณ์ที่ทุกคนเคยมีต่อระดับปรมาจารย์ยุทธ์โดยแท้

"เอ้า! นี่ท่านจะรีบไปไหนกันเล่าท่านเจียง!" หนิงหลงหัวเราะทีหนึ่งทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ของเจียงไท่กงแต่เดิม กล่าวท่าทีเอ้อระเหยว่า "ปรมาจารย์ยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่เฉกเช่นท่านคราหนึ่งยากจะได้พบพาน มิสู้มานั่งจิบชาพูดคุยสัพเพเหระกันสักหน่อยละ"

"ไอหย๋า~ ใต้เท้าพูดเล่นแล้ว ปรมาจารย์ยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่อันใดกัน" เจียงไท่กงกล่าวด้วยสีหน้าที่ปนเศร้าว่า "ฝีมือชาวบ้านอันน้อยนิดอย่างข้าไม่เข้าตาใต้เท้าอยู่แล้ว เก่ากะลาทิ้งนังหนูเอาไว้ที่บ้านคนเดียว ยามนี้ครอบครัวที่เหลืออยู่ของเก่ากะลามีแค่หลานสาวคนเดียว จึงรู้สึกเป็นนางไม่น้อย"

ทุกสายตามองสลับไปมาระหว่างเจียงไท่กงกับเด็กสาวที่ยืนอยู่ข้างเขา ศรัทธาที่เคยเคารพนับถือจอมปราชญ์เบื้องหน้าพลันรู้สึกเหมือนถูกฟาดลงจนแตกกระจุย

ที่เจียงไท่กงยอมอ่อนน้อมแกล้งเป็นบ้าอย่างกะทันหันใช่จะไม่มีเหตุผล ความรู้และทักษะที่แข็งแกร่งของเขานั้นบุคคลภายนอกไม่สามารถคาดคะเนได้อยู่แล้ว หาไม่แล้วล่ะก็ แม้แต่อัจฉริยะระดับปีศาจอย่างเย่ฉุ่ยเหยาและฟู่เยว่เทียนคงไม่ยอมอ่อนข้อให้สามส่วน อัจฉริยะระดับปีศาจที่มีความสามารถเทียบเคียงปรมาจารย์ยุทธ์ จะมีสักกี่คนที่คู่ควรให้พวกนางไปหวั่นเกรงได้เล่า?

แต่ว่า ด้วยเจียงไท่กงที่ดำรงอยู่ในฐานะที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ต่อหน้าหนิงหลงแล้วเขาทำได้เพียงแค่แกล้งบ้า แสร้งเป็นชายชราสติเลอะเลือนเท่านั้น มันช่างเป็นเรื่องที่น่ากลัวเพียงใด

สิ่งนี้เป็นการบ่งบอกว่าพลังของหนิงหลงนั้นแข็งแกร่งจนถึงขั้นปราศจากผู้ต่อกรแล้ว เมื่ออยู่ต่อหน้าหนิงหลงแล้ว ปรมาจารย์ยุทธ์ระดับครึ่งก้าวสู่เซียนไม่นับว่าเป็นตัวอันใด

ต่อหน้าหนิงหลงที่บรรลุเป็นเซียนที่แท้จริง ตัวเขาที่ยังไม่แม้แต่จะเป็นเซียนปลอมๆ แล้วจะไม่ทำให้เจียงไท่กงต้องตื่นตระหนกได้อย่างไรเล่า แม้แต่บุรุษผู้สูงศักดิ์ที่ดำรงอยู่ในฐานะสูงสุดที่เขาได้เคยพบพานมาชั่วชีวิตยังเคยออกปากเอ่ยเตือน ยามได้พบเซียนที่แท้จริงจะต้องรีบหนีไปให้ไกล

"ภาษิตว่าไว้ว่าทำดีย่อมหวังผล ไม่ใช่พวกสับปลับก็คือพวกโจร" หนิงหลงกล่าวท่าทีเอ้อระเหยว่า "ท่านเป็นประเภทไหนล่ะ?"

"ใต้เท้าพูดเล่นแล้ว เก่ากะลาไม่ใช่ทั้งสองอย่าง" เจียงไท่กงยิ้มแหยและกล่าวว่า "เก่ากะลาก็แค่มอบของขวัญให้ไปตามวาสนาเท่านั้นเอง นอกเหนือจากนี้แล้วก็ไม่ได้มีความคิดอื่นใดเลย"

"เมื่อได้รับสิ่งใดมา ย่อมต้องตอบแทน" หนิงหลงหัวเราะและกล่าวว่า "ข้ามิใช่ผู้ไม่รู้คุณ ท่านกล่าวมาเลยว่าปรารถนาสิ่งใด ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงข้ารับปากให้ท่านได้"

ยามนี้เจียงไท่กงหมดสิ้นไร้หนทางที่จะหนี ทำได้เพียงหัวเราะเจื่อนๆ จากนั้นได้แต่พูดขึ้นมาว่า "เก่ากะลามีคำร้องขอเล็กๆ น้อยๆ ยามที่ใต้เท้าลงมือขอโปรดเพลาๆ ลงบ้างสักเล็กน้อย จะอย่างไรเสียทวีปนิรันดร์เป็นเพียงสถานที่เล็กๆ เท่านั้นเอง ไม่อาจรองรับความไร้เทียมทานของใต้เท้าได้ เกิดทำให้ผืนแผ่นดินแตกละเอียดไป บรรดาสิ่งมีชีวิตบนทวีปนิรันดร์ก็ต้องบ้านแตกสาแหรกขาดแล้วล่ะ"

"ทวีปนิรันดร์นี้ยังนับเป็นสถานที่เล็กๆ นะเนี่ย" หนิงหลงถึงกับหัวเราะขึ้นมา ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า "ทวีปนิรันดร์ที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลยังเป็นสถานที่เล็กๆ เช่นนั้นแล้วโลกนี้กว้างใหญ่เพียงใดกันละเนี่ย!"

หนิงหลงเองก็พอจะทราบข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับโลกที่เขาอยู่คร่าวๆ โลกใบนี้มีขนาดใหญ่กว่าโลกเดิมของเขาหลายร้อยเท่า อีกทั้งมันยังได้ถูกแบ่งออกเป็นสิบมหาทวีป และทวีปที่หนิงหลงอยู่ถูกเรียกว่า 'ทวีปนิรันดร์' ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับทวีปเอเชียจากโลกเดิมของเขา

ประชากรดั้งเดิมบนโลกต่างเรียกโลกแห่งนี้ว่า 'สิบแดนดิน' ชื่อนี้มีที่มาจากเรื่องเล่าที่อยู่ในตำนาน ซึ่งได้กล่าวไว้ว่า แต่เดิมแล้วโลกนี้มีมากถึงสิบเก้าทวีป แต่ภายหลังเกิดมหาเคราะห์ขึ้น จึงทำให้อีกเก้าทวีปถูกดีดแยกออกไป ทำให้หลงเหลือเพียงแค่สิบมหาทวีปเท่านั้น

ผู้คนในยุคปัจจุบันจึงเรียกโลกนี้โดยรวมๆ ว่า 'เก้าชั้นฟ้าสิบแดนดิน' ยังคงมีบรรพบุรุษเก่าแก่และหรือกลุ่มคนที่สืบเชื้อสายมาตั้งแต่โบราณกาลเชื่อว่าเก้าชั้นฟ้าและสิบแดนดินจะกลับมาเชื่อมต่อกันอีกครั้ง

"นั่นมันก็แค่คำกล่าวสำหรับพวกเรามนุษย์ปุถุชนธรรมดา" เจียงไท่กงยิ้มกล่าวว่า "สำหรับใต้เท้าแล้ว สถานที่แห่งนี้เป็นเพียงพื้นที่ที่ทุรกันดารเท่านั้น ธรรมดาคับแคบไม่คู่ควรจะกล่าวถึง ลำพังแค่พื้นที่เล็กๆ เช่นนี้ ไหนเลยรองรับกับความไร้เทียมทานของใต้เท้าได้เล่า"

"ต่อให้ใต้เท้าไม่เห็นแก่คำขอร้องข้า ก็ขอให้เห็นแก่สิ่งมีชีวิตทั่วทั้งใต้หล้าที่จะต้องบ้านแตกสาแหรกขาด เวลาลงมือช่วยเพลาลงสักนิดหนึ่ง ขอเพียงใต้เท้ายั้งมือสักนิดก็สามารถละเว้นให้กับทวีปนิรันดร์ มิฉะนั้นล่ะก็ หากหนึ่งความคิดของใต้เท้าเป็นนิจนิรันดร์ เกรงว่าทั่วทั้งสิบแดนดินจะสิ้นราพณาสูร และทวีปหนึ่งก็ต้องล่มสลายนับแต่นี้เป็นต้นไป จากสิบแดนดินจะหลงเหลือเพียงแค่เก้าแดน"

คำพูดของเจียงไท่กงหาได้พูดเกินเลยไป ที่เขาพูดมานั้นล้วนแล้วแต่เป็นความจริง เมื่อไรที่ผู้ซึ่งดำรงอยู่ในฐานะเซียนที่แท้จริงลงมือ ย่อมมีความสยองขวัญยากจะหาผู้ใดเทียม การที่จะทำลายทวีปหนึ่งนั้นไม่ต้องพูดถึง ดีไม่ดีแค่ความคิดเพียงชั่ววูบก็สามารถทำลายโลกทั้งใบจนแหลกละเอียด

"ในเมื่อเจ้าพูดมาเช่นนี้แล้ว ข้ายังจะทำเช่นนั้นได้อยู่อีกรึ?" หนิงหลงหัวเราะส่ายหน้า และกล่าวว่า "วางใจเถอะ โลกนี้จะต้องปลอดภัย ไม่มีการสูญเสียแผ่นดินหรือสูญเสียทวีปอะไรไปอยู่แล้ว คนอย่างข้าทำอะไรมักจะมีความเมตตายิ่งตลอดมาอยู่แล้ว คอยคำนึงถึงเพื่อนมนุษย์และสรรพชีวิตที่ดำรงชีพอยู่ใต้หล้าเป็นสำคัญ"

ทว่าภายในใจหนิงหลงตกตะลึงพรึงเพริดไปแล้วสิบส่วนกับคำพูดตัดพ้อของเจียงไท่กง 'เพ้อเจ้อ! ไอ้ตาเฒ่านี่มันพูดอะไรกันละเนี่ย? เจอใจมารโดนธาตุไฟเข้าแทรกไปอีกคนแล้วเหรอ พวกรุ่นใหญ่รุ่นโต๋บนโลกนี้จะเป็นแบบนี้ทุกคนไม่ได้นะ!'

'พวกเขาเหล่านี้บำเพ็ญเพียรเสพลมปราณมากเกินจนหลอนไปหมดแล้วเหรอ? อย่างที่เขาพูดกันสินะว่า ยิ่งระดับสูงขึ้นยิ่งต้องบริโภคลมปราณมากขึ้นตามเท่าตัว ไอ้พวกรุ่นใหญ่ที่พบพานมาก็ไม่ค่อยจะสมประกอบกันสักคน'

'โดยเฉพาะตัวโง่งมเฉกเช่นฮ่องเต้พี่ชายใหญ่ของข้า ไม่น่าเชื่อว่าคนแบบนี้จะขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศได้ นี่ต้องเป็นการคอร์รัปชัน เล่นพรรคเล่นพวก และมีการยัดตำลึงใต้โต๊ะแน่นอน แต่จะว่าไปแล้ว เดิมสามพ่อลูกนั่นพวกเขาก็เป็นทหารกันมาตั้งแต่ต้น สาเหตุที่ราชวงศ์ฉินล่มสลาย ก็เป็นเพราะพวกเขาทำการรัฐประหารยึดตำแหน่งยึดอำนาจกันมาไม่ใช่รึ?'

คำพูดลักษณะเช่นนี้เป็นการดูถูกสามพ่อลูกตระกูลฟู่มากเกินไปแล้ว! ถ้าพวกเขาทั้งสามมาได้ยินความคิดของหนิงหลง เกรงว่าจะกระอักเลือดจนอกแตกตาย

ทางด้านเจียงไท่กงที่ได้ยินคำสัญญาของหนิงหลงจึงรีบแสดงคารวะแบบจีนต่อหนิงหลงในทันที "เก่ากะลาขอขอบคุณในความเมตตากรุณาของใต้เท้าแทนสิ่งมีชีวิตทั่วใต้หล้า"

ขณะที่เด็กสาวซึ่งอยู่ข้างกายเจียงไท่กงตลอดเวลาไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ สายตาจับจ้องมองหนิงหลงด้วยท่าทีหลงใหลอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ คล้ายเด็กสาวที่กำลังมีอาการคลั่งรัก