webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

672

บทที่ 672 ติดต่อ฿

ในห้องมืดมิดมีควันสีเทาวนเวียนไปมา ประตูหน้าต่างถูกปิดสนิท แสงอาทิตย์แรกในยามเช้าส่องสว่างเข้ามาภายในห้องผ่านช่องว่างระหว่างหน้าต่างไม้

ภายในบ้านไม่ได้ซ่อมบำรุงมาหลายปี มีกลิ่นเหม็นไม้เก่าที่ถูกปลวกกินและกลิ่นเหม็นราอันเป็นเอกลักษณ์ บนพื้นเต็มไปด้วยก้นบุหรี่ ใบหน้าของเจียงจื้อหยวนซ่อนอยู่ท่ามกลางความมืด มีเพียงตอนที่สูบบุหรี่เข้าปอดเท่านั้น จึงจะเห็นสีหน้าของเขารางๆ ผ่านแสงไฟสีแดง

เจียงเซ่อเป็นคนโทรมา เบอร์นี้เขาท่องจำได้อย่างขึ้นใจ ต่อให้ชาตินี้ทั้งชาติก็ไม่ลืม

ก่อนจะเลือกทำแบบนี้ เขาเกิดควบคุมตัวเองไม่ได้เลยโทรหาเจียงเซ่อ เขาไม่ได้อยากจะไปรบกวนชีวิตของเธอและไม่ได้ต้องการอะไรจากเธอทั้งนั้น

เขาแค่อยู่คนเดียวมานานเกินไปและอยากได้ยินเสียงลูกสาวมากๆ ก็เท่านั้น

ไม่ใช่เสียงจากโทรทัศน์ ผ่านอินเทอร์เน็ต ไม่ใช่เสียงของเธอตอนคุยกับคนอื่น ไม่ใช่เสียงสัมภาษณ์จากนักข่าวผ่านกล้อง แต่ให้เธอคุยกับตัวเองเพียงคนเดียวสักสองประโยค แม้ว่าเธอจะแค่ถามว่า “คุณเป็นใคร” เท่านี้ก็เพียงพอสำหรับเจียงจื้อหยวนแล้ว

นั่นเป็นความวู่วามเพียงครั้งเดียวของเขาที่เปิดเผยเบอร์โทรและความเคลื่อนไหวของตัวเองไป ตอนนั้นเขาคิดว่า ตัวเองไม่ได้พูดอะไรและไม่นานเจียงเซ่อก็วางสายไปอย่างระวังตัว คงเดาว่ามีคนโทรผิด เขาไม่คิดว่าเธอจะจำได้ทั้งยังบันทึกเบอร์โทรศัพท์เบอร์นี้เอาไว้และโทรมาในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้

เจียงจื้อหยวนคายก้นบุหรี่ในปากออก ปล่อยให้โทรศัพท์ดังอยู่อย่างนั้น พลันหันมองไปตรงมุมห้อง

ตรงนั้นมีคนๆ หนึ่งถูกเชือกมัดแขนไพล่เอาไว้ข้างหลัง ข้างๆ มีสัมภาระเล็กๆ น้อยๆ ของเขากองอยู่ ในนั้นเป็นสมบัติทั้งชีวิตของเขา คือเสื้อเก่าๆ สองตัว อาหารสำเร็จรูปราคาถูกๆ และบุหรี่อีกหลายมวน นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีอะไรอีกเลย

ตอนเกิดเขามาแต่ตัว ตอนตายก็เอาอะไรกลับไม่ได้เลยเช่นกัน

ตั้งแต่เขาเตรียมจะลงมือกับเฝิงหนาน ตัดสินใจกำจัดตัวซวยให้ลูกสาว เขาก็ไม่เคยคิดว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไป

เฝิงหนานหลบอยู่ในมุม ดูตื่นตระหนก จนเสียสติไปแล้ว

ตอนที่เธอถูกลักพาตัวแรกๆ เคยขู่เขาว่าจะทำร้ายเจียงเซ่อ หลังจากถูกเขาจัดการไป ก็เชื่อฟังมากขึ้น ไม่กล้าพูดจามั่วซั่วว่าเจียงเซ่อไม่ใช่เจียงเซ่อ ไม่ใช่ลูกสาวของเขา แต่เป็นเฝิงหนานที่เขาเคยลักพาตัวอย่างเป็นตุเป็นตะอีก

หลังจากได้ยินคำพูดของเฝิงหนาน เจียงจื้อหยวนก็นั่งอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับตัวไปไหนอีก

บุหรี่ที่ตอนแรกจะประหยัดไว้เพื่อจะสูบทั้งสัปดาห์ถูกเขาแกะออกมากว่าครึ่งแล้ว

เขาคิดถึงคำพูดของเฝิงหนานอยู่ตลอดเวลา คิดว่าเจียงเซ่อไม่ใช่ลูกสาวของเขา เขานั่งอยู่อย่างนี้ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้โดยไม่ขยับตัวเลยจนกระทั่งเจียงเซ่อโทรมา

เขาเป็นคนที่ระมัดระวังตัวเองมาโดยตลอด เบอร์โทรศัพท์นี้ได้มาตอนติดคุกที่ฮ่องกง คนรอบข้างต่างก็ไม่รู้เพราะเขาแกะออกมาใช้หลังจากลาออกจากงาน คนเดียวที่เคยโทรหาก็คือเจียงเซ่อ

โทรไปเพียงแค่ครั้งเดียว เธอก็จำได้เลยหรือ

เธอเป็นนักแสดง มีเพื่อน มีเพื่อนร่วมงาน มีคนรัก มีสามีคอยอยู่ข้างกาย ในสถานการณ์ที่คนมากมายขนาดนี้โทรหาเธอ เธอยังจำเบอร์นี้ได้และบันทึกมันเอาไว้ ถ้าไม่ใช่เพราะความอ่อนไหวตามสัญชาตญาณระหว่างสายเลือดของพ่อลูก แล้วจะเป็นอะไรได้อีก

เขาไม่ควรรับสายนี้ เขาสามารถปฏิเสธความอบอุ่น ปฏิเสธแสงอาทิตย์ ปฏิเสธโลกทั้งใบได้แต่กลับไม่สามารถปฏิเสธลูกสาวของเขาที่ชื่อเจียงเซ่อได้

เจียงจื้อหยวนยื่นมือออกไป กดปุ่มรับสายโทรศัพท์ที่ดังมานานแล้ว แฮนด์ฟรีถูกเปิดใช้แล้ว เค้าสูบบุหรี่แรงกว่าเดิม ในห้องมืด มีสิ่งที่เรียกว่าความเงียบล่องลอยอยู่กลางอากาศอย่างอาจหาญ

อีกฝั่งของโทรศัพท์ไม่ยอมพูด เขาเองก็เงียบเช่นกัน จนบรรยากาศเริ่มอึดอัด

เขาหวนคิดถึงช่วงเวลาทั้งหมดที่ได้อยู่กับลูกสาว ตอนนั้นเธอยังพูดไม่ได้ แต่กลับยิ้มหวานราวกับน้ำผึ้งให้เขา ถึงจะเอาแต่ร้อง ‘อุแว้ๆ’ แล้วใช้ภาษาที่เขาฟังไม่ออกทักทายเขา แต่นั่นก็ทำให้เขาจิตใจอ่อนยวบ

ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกในตอนนั้น อย่างน้อยก็ยังได้ ‘สื่อสาร’ กัน ไม่คิดเลยว่าตอนนี้แม้ในโทรศัพท์ ทั้งสองกลับเป็นยิ่งกว่าคนแปลกหน้าที่ไม่สามารถพูดอะไรได้มากนัก

สำหรับเจียงจื้อหยวนแล้วความทรงจำเหล่านั้นมีค่ามาก เขายกมุมปากพยายามเผยรอยยิ้มเหมือนตอนนั้นออกมา

แต่ไม่รู้ว่าเพราะเวลาผ่านไปไวเกินไปหรือการเปลี่ยนแปลงของเขามีมากเกินไป ตอนนี้อยากจะยกยิ้มกลับไม่ง่ายเหมือนตอนนั้นแล้ว

เขารู้จากเฝิงหนานว่า ในช่วงเวลาหนึ่งปีนี้เธอได้ผ่านความภาคภูมิใจอะไรมาบ้าง รู้ว่าเธอแต่งงานและเป็นสะใภ้ของตระกูลเผยที่มีทั้งชื่อเสียงและอำนาจ

เธอบอกว่าความจริงเจียงเซ่อคือเฝิงหนาน และสามีที่เพิ่งแต่งงานกันก็คือเพื่อนเล่นในวัยเด็กของเฝิงหนานตอนนั้น เธอพูดอีกหลายเรื่อง เพื่ออ้อนวอนให้เขาปล่อยเธอไป

แต่เขาไม่เชื่อ ไม่ว่าเธอเป็นเจียงเซ่อลูกสาวของตัวเอง หรือเป็นเด็กผู้หญิงที่ชื่อ ‘เฝิงหนาน’ ที่ตัวเองเคยลักพาตัว ตอนนี้จะเชื่อคำพูดของเฝิงหนานไม่ได้ ต้องให้เจียงเซ่อมาพูดด้วยตัวเอง!

เขาเงียบ เหมือนกำลังรออะไรอยู่ ท้ายที่สุดหญิงสาวที่อยู่อีกฝั่งของโทรศัพท์ก็ได้พูดขึ้นก่อน ฟังจากน้ำเสียงแล้ว ฟังออกว่าเธอตื่นเต้นเคร่งเครียดไม่น้อยเลย

“ฉันเอง เจียงเซ่อ”

เธอบอกว่าเธอคือเจียงเซ่อ

เธอบอกว่าเธอคือเจียงเซ่อด้วยล่ะ!

มุมปากที่แข็งทื่อของเขาโค้งกระตุกขึ้น เขายกมือขึ้น จับหนีบก้นบุหรี่ที่ถูกตัวเองคาบอยู่ในปาก อัดบุหรี่หายใจเข้าไปลึกๆ ทีหนึ่ง ท้ายที่สุดได้สุดท้ายก็พ่นควันกลุ่มหนึ่งออกจากปากก่อนจะดับก้นบุหรี่บนดินโคลนข้างเท้าของตัวเอง

เธอยังคงเป็นเจ้าหญิงของเขาเป็น เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของเขา เป็นสายเลือดของเขา เป็นดวงใจดวงนั้นของเขา

เธอเป็นลูกสาวของเจียงจื้อหยวน เธอไม่ได้บอกว่าตัวเองคือเฝิงหนาน มือของเจียงจื้อหยวนเริ่มสั่น รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกในดวงตาก็อ่อนโยนมากขึ้นเช่นกัน

“ฉันรู้ว่าเป็นเธอ”

ตอนแรกเสียงของเธอดูตื่นตระหนกไม่น้อย เขาฟังออกว่าเธอพยายามรวบรวมควบคุมสติและรักษาความสงบมแนบนิ่ง ความกลัวที่เธอพยายามเก็บซ่อนเอาไว้ถูกเสียงสั่นๆ ของเธอเปิดเผยออกมาทั้งหมดหักหลัง เจียงจื้อหยวนยื่นมือออกไป อยากใช้การกระทำนี้ปลอบใจลูกสาว

เขาอยากบอกเธอว่าจะกลัวอะไรเล่า? แม้ว่าวันหนึ่งเขาทำร้ายตัวเองขึ้นมาก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะทำร้ายเธอ

ถึงแม้้าวันหนึ่งเขาจะเสียสติจนจำตัวเองไม่ได้ แต่ก็ไม่มีวันที่จะจำเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองไม่ได้

“คุณเป็นคนลักพาตัวเฝิงหนานใช่ไหม?”

เธอฉลาดจัง

เจียงจื้อหยวนพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม เขาธอจำได้ว่าตอนที่ลูกสาวเพิ่งคลอดได้ไม่นาน ต้องให้คนอุ้มทั้งคืนถึงจะยอมนอน พอวางลงบนเตียงก็ร้องไห้ทันที

ตอนนั้นโจวฮุ่ยเห็นว่าเข้าเด็กคนนี้สร้างความทรมานเลี้ยงยากนัก จึงด่าไปหลายคำ เขายังไม่ยอมให้ด่าเลย

โจวฮุ่ยไม่อุ้ม เขาจึงอุ้มไม่ยอมปล่อย โยกตัวซ้ายขวาเพื่อกล่อม เฝ้ามองเธอที่กำหมัดเล็กๆ และหลับไปแล้ว แม้ตอนนั้นโจวฮุ่ยจะบอกว่าเขาตามใจลูกสาวเกินไป เขาก็มักจะบอกว่าลูกสาวของเราฉลาดมากจะต้องมีอนาคตที่ดีแน่

“คุณอยู่ไหน?”

เธอถาม “ยังอยู่ฮ่องกงอยู่ไหม?”

เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เอาหูแนบหน้าจอโทรศัพท์เหมือนคนโลภที่อยากจะ ฟังเสียงของเธอและจดจำเอาไว้ให้ขึ้นใจ

เสียดายที่หลังจากเธอถามจบ อาจจะเป็นเพราะเจียงจื้อหยวนไม่ตอบ เธอจึงะเงียบไปนานนาน

เพราะเธอหยุดพูดไปแล้ว เขาก็เริ่มตื่นตระหนกขึ้นมาและอ้าปากอยู่หลายที

อีกฝั่งของโทรศัพท์ เจียงเซ่อกระวนกระวาย ก่อนหน้านี้เธอพูดไปมากมายขนาดนั้น แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับเลย โชคดีที่ยังไม่วางสาย ทำให้เธอมั่นใจว่าอีกฝั่งของโทรศัพท์คือเจียงจื้อหยวนมากขึ้นอีกเจ็ดสิบถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์

เธอกระวนกระวายใจมาก ถ้านี่คือเจียงจื้อหยวน ถ้าเขาลักพาตัวเฝิงหนานไปจริงๆ ถ้าเขารู้ความจริงที่ว่าตัวเองไม่ใช่เจียงเซ่อจากปากเฝิงหนานอย่างที่คุณปู่บอก แล้วการที่เขาเงียบในตอนนี้เขากำลังคิดอะไรอยู่นะ

“ตอนนี้ฉันยังอยู่เมืองนอกและจะจองตั๋วเที่ยวที่เร็วที่สุดกลับฮ่องกง ถ้าคุณยังอยู่ที่ฮ่องกง ฉันอยากพบคุณ”

เจียงเซ่อหายใจเข้าลึกๆ และอาศัยช่วงที่ใช้เวลาตอนที่สติสัมปชัญญะสติปัญญาในใจของตัวเองยังสามารถเอาชนะความกลัวได้อยู่ พูดทุกอย่างที่อยากพูดออก

“ก่อนหน้านั้น ถ้าเฝิงหนานอยู่กับคุณจริง ก่อนจะถึงตอนนั้นคุณอย่าเพึ่งทำร้ายเธอได้ไหม”

เธออ้อนวอนเบาๆ ความจริงไม่มั่นใจเลยแม้แต่น้อยว่าเขาจะตอบตกลงหรือเปล่า

ถ้าเขารู้ว่าตัวเองไม่ใช่เจียงเซ่อ สำหรับคำพูดแบบนี้ของตัวเองเขาจะยื่นข้อเสนอยังไงเมื่อเธอพูดแบบนี้เขาจะยื่นข้อเสนออะไรออกมารึเปล่า? เธอคิดฟุ้งซ่านและคาดเดาว่าถ้าอีกฝั่งของโทรศัพท์คือเจียงจื้อหยวนจริง บางทีเขาอาจจะกำลังยิ้มเหมือนเจียงจื้อหยวนในความทรงจำของตัวเอง ที่ท่าทางเย็นชา สายตาเย็นเยียบ

เธอกัดฟัน กำหมัดแน่นเพื่อเป็นกำลังใจให้ตัวเอง ในขณะที่กำลังจะพูดต่ออีกหน่อย หลังจากนั้นครู่ใหญ่ อีกฝั่งของโทรศัพท์ที่ไม่ยอมพูดอะไรเลยในที่สุดก็ตอบรับอย่างเชื่อฟังว่าง่าย

“ได้”

เสียงฟังดูแหบไม่น้อย เหมือนไม่ได้คุยกับใครมานานแล้ว ตอนพูดให้ความรู้สึกแปลกๆ และไม่สบายหูนัก

นี่คือเสียงของเจียงจื้อหยวน

เสียงของเขาฝังลึกเข้าไปในใจของเจียงเซ่อไปแล้ว เธอจึงจำได้ขึ้นใจ

แต่เสียงของเขาในตอนนี้กลับไม่เหมือนในความทรงจำของเธอมากนัก มันไม่ใช่น้ำเสียงที่เย็นชา เลือดเย็นและไม่เห็นคุณค่าของชีวิตที่ชวนให้ใจหนาวเหน็บอีกต่อไป แต่กลับไร้ซึ่งความรู้สึก เขาในตอนนี้แม้จะไม่ได้พูดอะไรมาก แต่น้ำเสียงอ่อนโยนเหมือนไม่มีทางปฏิเสธคำขอใด ๆ ของเธอได้เลย

แต่เธอก็ยังกลัวอยู่ไม่น้อย รู้สึกว่าตัวเองอาจจะหูฝาดไป คนๆ นี้จะอ่อนโยนขนาดนี้ได้ยังไง คุณปู่เคยบอกว่าความอันตรายของเขามากกว่าพวกสิงสาราสัตว์สัตว์ร้ายเสียอีก

หลังจากมั่นใจแล้วว่าเจ้าของโทรศัพท์นี้คือเจียงจื้อหยวน เจียงเซ่อก็วางใจ เขารับปากว่าจะพบเธอและจะยังไม่ทำร้ายเฝิงหนาน แม้ว่าเขาตอบตกลงอย่างง่ายดาย แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด เจียงเซ่อกลับรู้สึกรางๆ ว่าเขาจะไม่ผิดคำพูด

“ถ้าอย่างนั้นฉันวางสายก่อน ถ้ากลับถึงฮ่องกงฉันจะติดต่อกลับไป”

เธอถือโทรศัพท์เอาไว้ครู่หนึ่ง ไม่ได้ยินเสียงจากเจียงจื้อหยวนอีก จึงลองพูดอีกประโยค หลังจากเธอพูดจบ เขาก็เว้นไปครู่ใหญ่ ก่อนจะตอบกลับเพียงคำหนึ่ง

“ได้”

คำพูดนี้ คล่องแคล่วกว่าก่อนหน้านี้อยู่มาก

เจียงเซ่อพยายามควบคุมลมหายใจ กดวางสายจนกระทั่งสายโทรศัพท์วางไปจริงๆ หัวใจของเธอจึงเริ่มเต้นอย่างบ้าคลั่ง

ในอกเหมือนมีกระต่ายตัวหนึ่งที่กระโดดไปมาจนเธอหน้ามืดตามัว

เธอหายใจหอบอยู่นาน กว่าจะกลับมาเป็นปกติ

ลังเลแล้วลังเลอีก ก่อนจะโทรหาเฝิงจงเหลียง บอกเบอร์โทรของเจียงจื้อหยวนกับเขา ให้เขาใช้เบอร์โทรนี้สืบต่อไปอาจจะได้เบาะแสของเจียงจื้อหยวน

ทางฝั่งของเผยอี้ เธอไม่กล้าบอก ไม่ว่าเขาจะปิดบังได้ดีแค่ไหน เธอก็สัมผัสได้ว่าหลังจากเจอตัวเจียงจื้อหยวน เขาจะทำยอะไรังไง

แต่ฝั่งของเฝิงจงเหลียงไม่ได้เป็นแบบนั้น ถ้าคุณปู่ท่านเจอตัวเจียงจื้อหยวน แม้จะเป็นการทำเพื่อตัวเธออง แต่คุณปู่ก็จะต้องปิดเรื่องนี้เอาไว้ ไม่ให้ถูกเผยแพร่ออกไป

เพราะคิดเผื่อตัวเอง เขาจึงจะไม่ฆ่าเจียงจื้อหยวนและจะไม่ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าเจียงจื้อหยวนไม่ทำอะไรเฝิงหนาน หลังจากคุณปู่หาวิธีที่เหมาะสมจัดการเรื่องนี้จนจบ เฝิงหนานก็จะยังมีชีวิตอยู่ เฝิงจงเหลียงก็ไม่ต้องเสียใจ เจียงจื้อหยวนเองก็ปลอดภัย จุดจบแบบนี้ดีที่สุด

“หลานโทรหาเขาเหรอ?”

ในโทรศัพท์ เฝิงจงเหลียงได้ยินคำพูดของเจียงเซ่อแล้วโกรธมาก

“หลานโทรหาเขาเมื่อไหร่?”

เขาถามเสียงหลง “ปู่บอกหลานแล้วไม่ใช่เหรอ ว่าให้ระวังตัว หลานได้เบอร์โทรศัพท์ของเขามาจากไหน แล้วหลานติดต่อเขายังไง หลานรู้ไหมว่าเขาอันตรายแค่ไหน เฝิงหนานอยู่ในมือของเขา จะพูดอะไรออกไปบ้าง เราก็ยังไม่รู้ ทำไมหลานถึงไม่ฟังปู่?”

เจียงเซ่อยังไม่กล้าบอกเขาว่าตัวเองได้ตัดสินใจนัดเจอเจียงจื้อหยวน กลัวว่าเขาจะความดันขึ้น

เขาต่อว่าอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายพูดจนน้ำลายแห้งแล้ว จึงเตือนเจียงเซ่อด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธว่า อย่าเข้ามายุ่งเรื่องนี้ ห้ามแอบติดต่อกับบุคคลอันตรายอย่างเจียงจื้อหยวนอีก

เพื่อให้เขาวางใจ เจียงเซ่อจึงรับปากทุกเรื่อง ทั้งสองคุยกันอยู่พักใหญ่ เฝิงจงเหลียงดูเวลาก่อนจะเร่งรีบวางสายไป

ได้เบอร์โทรศัพท์ของเจียงจื้อหยวนมาแล้ว การจะตามหาเขาให้เจอไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป แต่ปัญหาอยู่ที่เวลาก็เท่านั้น เขาเองก็กลัวว่าถ้ายิ่งยื้อ การเปลี่ยนแปลงจะยิ่งมาก

ถ้าเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นกับเฝิงหนาน เรื่องนี้ก็ยากที่จะปิดอีกต่อไป เรื่องเล็กจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ เขาจะต้องรีบจัดกำลังคนไปตามหา

คืนนี้หลายคนต่างก็นอนไม่หลับ เจียงเซ่อเองก็นอนไม่หลับ ซึ่งน้อยมากที่เธอจะเป็นแบบนี้

เธอเปิดชื่อรูปของเซี่ยเชาฉวินบนรายชื่อติดต่อในโทรศัพท์ ดึกมากแล้ว เซี่ยเชาฉวินยังไม่นอน ยังทำงานอยู่

เจียงเซ่อเสนอคำขอที่ตัวเองต้องรีบกลับฮ่องกงกะทันหัน คำขอนี้กะทันหันมาก หลายกิจกรรมที่วางแผนเอาไว้ในตอนแรกอาจจะต้องเลื่อนออกไปหรือยกเลิก งานเหล่านี้ล้วนเป็นงานที่เซี่ยเชาฉวินติดต่อมาให้ ครั้งนี้เหตุผลที่ต้องเปลี่ยนแผนกะทันหันเพราะเรื่องส่วนตัวของตัวเอง เจียงเซ่อเองก็รู้สึกผิดอยู่มาก

“ทำไม?”

ไม่นานเซี่ยเชาฉวินก็ตอบกลับมา ข้อความของเธอใจเย็นเหมือนตัวเธอ เหมือนไม่ได้โกรธเพราะเจียงเซ่อเปลี่ยนแผนกะทันหันเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่ขอเหตุผลสักข้อจากเธอเท่านั้น

“ฉันต้องกลับฮ่องกงน่ะค่ะ”

เจียงเซ่อส่งข้อความนี้ออกไปด้านเซี่ยเชาฉวินตอบกลับมาว่า “จะไปกี่โมง”

เธอได้คำตอบที่ต้องการแล้ว จึงไม่ได้ถามอะไรอีก นี่เป็นสิ่งที่เจียงเซ่อชอบเธอมากที่สุด เธอเป็นคนที่รู้กาลเทศะมาโดยตลอด รู้ว่าควรถามถึงตรงไหนและจะไม่ถามอะไรอีก

“ยิ่งเร็วก็ยิ่งดี”

เจียงเซ่อพูดจบ ก็ได้หยุดไปครู่หนึ่ง และเล่าเรื่องของตัวเองให้เธอฟังก่อน วินาทีนี้สำหรับเธอแล้ว เซี่ยเชาฉวินไม่ได้เป็นเพียงแค่เพื่อนร่วมงานที่ช่วยกันทำงานเท่านั้น แต่ยังเป็นเพื่อนที่สามารถพึ่งพาได้คนหนึ่งและยังเป็นพี่สาวที่สามารถปรับทุกข์ด้วยได้

“พ่อฉันลักพาตัวเฝิงหนาน”

ตอนที่เธอพิมพ์คำว่า ‘พ่อ’ ออกมายังมีรู้สึกแปลกๆ ลังเลอยู่ครู่หนึ่งท้ายที่สุดกลับไม่รู้ว่าควรจะอธิบายความสัมพันธ์อันสับสนวุ่นวายระหว่างตัวเองกับเจียงจื้อหยวนให้เซี่ยเชาฉวินเข้าใจได้ยังไง จึงส่งข้อความนี้ออกไป

“ฉันสงสัยว่าเขาอยู่ที่ฮ่องกง ฉันโทรหาเขาแล้ว ให้เขารอฉันที่ฮ่องกง”

“ให้ฉันช่วยไหม?”

คำตอบของเซี่ยเชาฉวินเหนือความคาดหมายของเจียงเซ่อ ตอนแรกเธอคิดว่าเซี่ยเชาฉวินคงจะแยกแยะเรื่องส่วนตัวและเรื่องงานออกจากกันอย่างชัดเจน ไม่เอาความรู้สึกส่วนตัวมาปนกับเรื่องงาน ตอนนี้ที่เธอยอมพูดคำพูดแบบนี้ออกมา แสดงว่าสำหรับเซี่ยเชาฉวินแล้ว ระหว่างพวกเธออาจจะไม่ได้เป็นเพียงแค่เพื่อนร่วมงานกับศิลปินที่ดูแลเท่านั้น

“ไม่เป็นไร” เจียงเซ่อปฏิเสธความช่วยเหลือจากเธอ หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง เจียงเซ่อก็ได้ข้อความไฟล์์ทจองตั๋วไปฮ่องกงจากนั้นเซี่ยเชาฉวินก็โทรมา

“เครื่องออกตีห้าครึ่ง ฉันบอกมั่วอานฉีให้จองรถแล้ว ให้มั่วอานฉีไปส่งเธอที่สนามบิน เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ มั่วอานฉีก็คงจะมารับเธอแล้ว” เธอหยุดไปครู่หนึ่ง น้ำเสียงยังคงเรียบเฉยแนบนิ่งไร้ความรู้สึก “เธอระวังตัวด้วย อย่าลืมว่าสัญญาของเธอกับซื่อจี้หยินเหอยังเหลืออีกหลายปี”

ความห่วงใยที่ดูไม่คุ้นชินของเธอเก็บซ่อนอยู่ภายใต้น้ำเสียงอันสงบแนบนิ่ง เจียงเซ่ออดยกมุมปากไม่ได้

“ฉันรู้แล้วค่ะ” เธอตอบรับ “พี่เชาฉวิน ฉันบอกพี่แล้วหรือยังว่าฉันรักพี่มาก”

“อืม” เธอพูดอย่างเรียบแนบนิ่ง “วางสายแล้วนะ ยังมีงานต้องทำ”

เธอเป็นคนเด็ดขาดมาแต่ไหนแต่ไร เจียงเซ่อยิ้ม หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ โม่มั่วอานฉีก็เข้ามาทันที เธอยังไม่รู้เหตุผลที่เจียงเซ่อจะกลับฮ่องกงกะทันหัน แต่ก็ดูออกว่าเจียงเซ่อเหมือนจะอารมณ์ไม่ดีนัก จึงไม่ได้ถามอะไรมาก 

ตั๋วที่เซี่ยเชาฉวินจองเป็นตั๋วบินตรง ได้ตั๋วมากะทันหันแบบนี้ เธอคงเสียเงินไปไม่น้อย เจียงเซ่อกลับไปถึงฮ่องกง ตอนออกจากสนามบินก็เกือบตีสี่แล้ว