webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

654

บทที่ 654 บังคับ

จากในรูปเผยอี้ผสมผสานความไร้เดียงสาในช่วงวัยรุ่นและความเป็นผู้ใหญ่มากประสบการณ์อย่างลงตัว กลายเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครของเขา ความหนักแน่นและความอบอุ่นที่อยู่ในดวงตาของ ทำให้คนที่เห็นรูปนี้เกิดความรู้สึกเหมือนถูกความงดงามของชายหนุ่มผู้นี้หยุดเวลาเอาไว้

สายตาที่เขามองเจียงเซ่อ ความรักนั้นไม่อาจจะเก็บซ่อนไว้ได้ ภาพที่ทั้งสองอิงแอบกัน ความสนิทสนม ความเข้าใจซึ่งกันและกัน ทั้งความเป็นธรรมชาติทะลุผ่านอินเทอร์เน็ตออกมาให้ทุกคนที่เห็นสามารถสัมผัสถึงความรู้สึกนี้ได้

รายงานฉบับนี้ของหัวเซี่ยจือซวิ่น เหมือนเป็นของหวานก่อนเสิร์ฟอาหารจานหลัก ทำให้ประเด็นการแต่งงานของเจียงเซ่อถูกพูดถึงอีกครั้ง ช่วงสองสามวันก่อนงานแต่ง คนจำนวนมากเริ่มอยากเห็นภาพของทั้งสองในวันแต่งงานแล้ว

สถานที่จัดงานแต่งในครั้งนี้คือ จงเจิ้งฮอลล์ ที่นี่เป็นสวนในราชวังตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิงช่วงต้น แม้จะถูกผู้รุกรานชาวญี่ปุ่นเข้ายึดครองในสมัยสงครามปฏิวัติ แต่ก็ยังถูกรักษาเอาไว้เป็นอย่างดี

หลังจากหัวเซี่ยก่อตั้งประเทศก็ได้มีการทำนุบำรุงสถานที่นี้ในพื้นฐานของเอกลักษณ์เดิม คงสภาพของสิ่งก่อสร้างเอาไว้และซ่อมแซมส่วนที่ผุพังไปตามกาลเวลา

ด้านนอกเป็นสวนพฤกษาผืนใหญ่ จงเจิ้งฮอลล์อยู่ในตำแหน่งกึ่งกลางที่สุดของผืนสวน ด้านบนมีคำว่า ‘โถงพิธีจงเจิ้ง’ ติดอยู่ เป็นตัวหนังสือที่ฮ่องเต้ทรงเขียนด้วยองค์เองตอนสร้างสวนแห่งนี้

งานแต่งงานของเจียงเซ่อและเผยอี้จะจัดขึ้นที่นี่ ในฮอลล์ใหญ่มาก เป็นสวนที่ประทับของฮ่องเต้ในสมัยนั้นและเป็นสถานที่จัดประชุมหารือกับขุนนางทั้งหลายด้วย ตอนนี้ได้มีโต๊ะเก้าอี้มาวางแล้ว และในงานก็ตกแต่งเสร็จแล้วในระดับหนึ่ง

 เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดในงานแต่ง เจียงเซ่อก็มาฝึกซ้อมกับเผยอี้ก่อนวันงานหลายวัน

ในฐานะที่เป็นหลานชายคนโตของตระกูลเผย งานแต่งของเผยอี้จะธรรมดาไม่ได้ แม้ว่ารายชื่อแขกจะคัดแล้วคัดอีก สุดท้ายคนที่ได้รับเชิญก็ไม่น้อยเลย

ลำดับพิธีในงาน เจียงเซ่อซ้อมมาสองรอบแล้ว ยิ่งใกล้วันจริง นอกจากเธอกับเผยอี้แล้ว เผยจิ้นฮว๋ายและคุณนายเผยก็มา ในฐานะผู้ใหญ่ที่เดินจูงมือเจียงเซ่อในวันนั้นแน่นอนว่าเฝิงจงเหลียงก็เป็นคนหนึ่งที่ถูกเชิญมาฝึกซ้อมด้วย

เขาให้ความสำคัญของงานแต่งในครั้งนี้เป็นอย่างมากไม่น้อยไปกว่าเจียงเซ่อเลย หลังจากเจียงเซ่อใส่รองเท้าส้นสูงขึ้นบนเวทีไปสองรอบ พอมั่นใจแล้วว่าในส่วนของเธอไม่มีอะไรผิดพลาด ตามลำดับพิธีต้องเชิญเขาขึ้นเวทีเพื่อเดินพร้อมกับเจียงเซ่อ

เฝิงจงเหลียงทิ้งไม้เท้าไว้ด้านหนึ่ง พยุงเก้าอี้ลุกขึ้นยืน กิริยานี้ของเขาทำให้เสี่ยวหลิวที่อยู่ข้างๆ ตกใจรีบเข้าไปจะพยุงแต่เขากลับผลักมือเสี่ยวหลิวออก

“คุณปู่”

เจียงเซ่อเห็นภาพนี้ก็ขมวดคิ้วและมองเขาอย่างไม่เห็นด้วย เขาพลันหัวเราะ ‘เหอะๆๆ’ ออกมา

“จะต้องเดินพร้อมหลาน จะใช้ไม้เท้าได้ยังไงเล่า”

“แต่ขาของปู่...”

ขาของเขาเคยบาดเจ็บมาก่อน เพราะอายุมากขึ้นไปไหนมาไหนก็ต้องใช้ไม้เท้า หลายปีมานี้ยิ่งต้องมีคนคอยพยุง ช่วงที่ผ่านมาก็บินไปกลับต่างประเทศ เพราะตกแต่งบ้านใหม่ให้เจียงเซ่อซึ่งไม่เป็นผลดีต่อขาของเขา ตอนนี้ก็แค่ซ้อม เขาไม่จำเป็นต้องทิ้งไม้เท้า

“หลานอย่าไปตื่นตระหนกเพราะคำพูดของลุงหลิว!” เฝิงจงเหลียงหันไปมองเสี่ยวหลิวแวบหนึ่ง แล้วรีบหันหลังกลับมายิ้มให้เจียงเซ่อ

“แค่ไม่กี่ก้าวนี้ ใช่ว่าปู่จะเดินไม่ไหว ปู่อ่อนแอขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

เขาก้าวขึ้นเวทีอย่างยากลำบาก ตอนที่เจียงเซ่อยื่นมือไปจะพยุงเขา เขากลับเอามือไขว้หลังไม่ให้เธอพยุง

“หลานดูสิ เดินขึ้นมาได้แล้วนี่ไง”

ความจริงไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากจับมือของหลานสาว แต่ว่าเขายังตื่นเต้น เขาให้ความสำคัญกับงานแต่งในครั้งนี้ไม่น้อยไปกว่าตระกูลเผย เตรียมจะเดินจูงมือเจียงเซ่อเพื่อเดินผ่านเส้นทางนี้ แม้รู้ว่าเป็นเพียงแค่การซ้อม แต่เขาก็ยังคงรู้สึกตื่นเต้นจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อยู่ดี

พิธีแบบนี้ สำหรับเฝิงจงเหลียงแล้วมีความพิเศษมาก โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เขาคิดว่าตนเองไม่มีสิทธิ์ที่จะจับมือหลานสาวแล้วยื่นให้ไปเผยอี้อีกต่อไป แต่ไม่คิดว่าท้ายที่สุดภารกิจจูงมือแสนสำคัญนี้ก็กลับมาตกอยู่ที่เขา

เพราะฉะนั้นแม้จะเป็นเพียงแค่การซ้อม เฝิงจงเหลียงก็หวังว่าจะทำให้ดีที่สุด เขาถึงขั้นไม่ยอมใช้ไม้เท้าแม้ว่าการขึ้นบันไดจะทำให้ขาที่เคยบาดเจ็บของเขาปวดเมื่อยขึ้นมาแล้ว แต่เขาก็ไม่บ่นเลยแม้แต่คำเดียว

 ตอนที่เขายื่นมือไปจับมือของเจียงเซ่อ ดวงตาพลันร้อนผ่าว เธอดูสง่างาม แตกต่างกับเฝิงหนานในตอนนั้น แต่บุคลิกยังคงเหมือนเดิม

“ปู่โทรไปหาเจ้าใหญ่แล้ว ให้เขารีบมาที่ตี้ตูคืนพรุ่งนี้ เพื่อมาร่วมงานแต่งในครั้งนี้”

เขาพูดกับเจียงเซ่อเบาๆ จู่ๆ มือที่จับเจียงเซ่ออบอุ่นมากกว่าที่เคย

 เจียงเซ่ออึ้งไป ‘เจ้าใหญ่’ ที่เฝิงจงเหลียงพูดถึงก็คือพ่อของเธอเฝิงชินหลุน แต่ตอนนี้เธอไม่รู้ว่าควรจะเรียก ‘เขา’ ว่าอย่างไรดี

“ไม่ว่าจะห่างเหินกันไปแล้วหรือไม่ ปู่ก็คิดว่าพวกเขาควรจะต้องมาเห็นหลานแต่งงาน”

น้ำเสียงของเฝิงจงเหลียงดูเศร้า เจียงเซ่อเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบเบาๆ ว่า “อืม”

หลังจากซ้อมมาสองรอบ ตอนที่เฝิงจงเหลียงลงมาก็เริ่มจะเหนื่อยแล้ว คุณนายเผยจึงรีบถามด้วยความกังวล

“ลุงเฝิงคะ หลายวันก่อนคุณพ่อยังเป็นห่วงเรื่องขาของลุงอยู่ ท่านเลยติดต่อให้หมอหลี่มาดูให้และขอให้ลุงลองรักษาดูนะคะ”

  “ทำให้หัวหน้าเป็นห่วงเสียแล้ว” เฝิงจงเหลียงอดทนต่อความเจ็บและพูดกับคุณนายเผยพร้อมรอยยิ้ม

 “พูดถึงเรื่องนี้ฉันก็มีเรื่องอยากคุยกับพวกเสี่ยวหนิงเหมือนกันนะ”

 คำพูดนี้ของเขาทำให้คุณนายเผยและสามีแปลกใจไม่น้อย ทันทีที่สิ้นเสียงนี้ของเขา เผยจิ้นฮว๋ายก็พูดว่า

“เชิญพูดมาได้เลยครับ”

“คืออย่างนี้ วันที่เซ่อเซ่อแต่งงาน พวกอาอี้จะขับรถไปรับเธอ ฉันกำลังคิดว่าที่อยู่ของเธอในตอนนี้ได้ข่าวว่าเป็นบ้านที่เชาฉวินเช่าไว้ให้ จะแต่งออกจากที่นั่นไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่ ฉันพอจะมีบ้านหลังหนึ่งที่หนานจินหวั่น ก่อนงานแต่งก็ให้เซ่อเซ่อไปพักที่นั่นเลยดีกว่า จะได้สะดวกเวลาเอารถมารับในวันรุ่งขึ้นด้วย”

สภาพแวดล้อมทาง ‘บ้าน’ ของเจียงเซ่อเป็นอย่างไร ทุกคนล้วนรู้ดี ความสัมพันธ์ของเธอกับตระกูลตู้หลายปีมานี้ ไม่ถึงกับไม่ดีแต่ก็ไม่สนิทสนม ที่นั่นไม่ถือเป็น ‘บ้าน’ ที่แท้จริงของเธอ แน่นอนว่าเจียงเซ่อไม่เคยคิดที่จะแต่งงานที่บ้านตระกูลตู้

หนานจินหวั่นที่เฝิงจงเหลียงพูดถึงเป็นชื่อของแบรนด์ระดับสูงในตี้ตู แบรนด์นี้สร้างบ้านเพื่อขายให้คนรวยโดยเฉพาะ ราคาทุกตารางเมตรก็สูงมาก บางทีแค่มีเงินก็ยังไม่สามารถซื้อได้เลย

 เมื่อก่อนเขาลงทุนกับอสังหาริมทรัพย์ จึงซื้อมาได้สองหลังและเริ่มตกแต่งตั้งแต่สองปีที่แล้ว แต่เพราะไม่มีคนไปอยู่ ปกติจึงให้ลูกน้องเป็นคนทำความสะอาด

“นี่มัน...”

เผยจิ้นฮว๋ายไม่คิดว่าเขาจะเสนอแบบนี้ “จะรบกวนคุณมากเกินไปสิครับ พูดตามตรงเลยนะครับ ความจริงอาหนิงก็มี…” เขายังไม่ทันพูดจบ เฝิงจงเหลียงก็ยื่นมือไปจับแขนของเผยจิ้นฮว๋ายเอาไว้

“ไม่รบกวน” เขาส่ายหน้า ท่าทางดูจริงจัง

 “บ้านหลังนี้ให้เซ่อเซ่อไปพัก เสร็จงานฉันจะให้เสี่ยวหลิวไปโอนบ้าน ถือว่าเป็นสินสมรสที่ฉันให้กับเจียงเซ่อ” แม้ก่อนหน้านี้เรื่องที่เขายืนยันที่จะตกแต่งบ้านให้เจียงเซ่อและเผยอี้ ลงทุนลงแรงกับเรื่องนี้จะทำให้เผยจิ้นฮว๋ายและภรรยารู้สึกแปลกใจแล้ว แต่ก็สู้ตอนที่ได้ยินคำพูดคำนี้ไม่ได้

 “ลุงเฝิง…” เผยจิ้นฮว๋ายหันไปมองเผยอี้ เฝิงจงเหลียงดึงแขนเขาและพูดว่า

 “เธอก็รู้ว่าปกติฉันไม่มีเพื่อนคุย เซ่อเซ่อก็เหมือนหลานสาวคนหนึ่งของฉัน เธอจะแต่งงานทั้งที ฉันที่ถูกเธอเรียกว่าคุณปู่รู้สึกว่ายกบ้านให้หลังเดียวยังน้อยไปเลย ตกลงตามนี้เถอะ ถือว่าฉันหน้าด้านขอร้องเธอแล้วนะ”

นิสัยของเฝิงจงเหลียง เผยจิ้นฮว๋ายรู้ดีที่สุด เขาเป็นคนดื้อรั้น น้อยมากที่จะขออะไรกับใคร ครั้งนี้เพราะเรื่องนี้เขาถึงกับพูดคำว่าขอร้องออกมา

 เขาพูดขนาดนี้ ตอนนั้นเผยจิ้นฮว๋ายก็ไม่กล้าเถียง หลังจากกลับบ้านตระกูลเผยก็ไป เขาก็บอกคุณปู่เผย

ตอนแรกเผยจิ้นฮว๋ายคิดว่าคุณปู่เผยจะต้องแปลกใจเหมือนเขาและโทรไปปฏิเสธคำขอของเฝิงจงเหลียง ถึงขั้นคิดว่าจะถูกพ่อต่อว่าแล้ว แต่ไม่คิดว่าหลังจากคุณปู่ฟังเขาพูดจบ กลับถอนหายใจยาว ท้ายที่สุดก็พูดว่า

“จัดการตามที่เขาพูดเถอะ”

เรื่องนี้ทำให้เผยจิ้นฮว๋ายตกใจอีกครั้ง

หลังจากตัดสินใจเรื่องนี้เสร็จแล้ววันที่สิบเก้าเดือนกันยายน เจียงเซ่อก็ย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านที่เปลี่ยนโฉนดเป็นชื่อของเธอและเตรียมแต่งงานอย่างสบายใจ

โม่อานฉีและคนอื่นๆ ค่อยๆ ย้ายสัมภาระของเธอจากบ้านเช่ามาตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว เธอเชิญเซี่ยเชาฉวิน พวกของโม่อานฉีและไต้เจียมาเป็นเพื่อนเจ้าสาวของตนเอง

ความจริงตอนที่ไต้เจียได้รับสายจากเจียงเซ่อ เธอแปลกใจมาก

เธอไม่สนใจเรื่องที่ตนเองเคยฆ่าคน เคยติดคุกแล้วจะทำให้ส่งผลกระทบต่องานแต่งของเจียงเซ่อ แต่เจียงเซ่อก็ยังคงยืนยันที่จะเชิญเธอ

คนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนของเจียงเซ่อมีไม่มากนัก แต่ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนคนใดก็ล้วนเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมานาน และควรค่าแก่การสานสัมพันธ์ให้ยืนยาว

แม้ว่าปกติ เพราะงานยุ่งเธอจึงไม่ค่อยได้ติดต่อกับไต้เจีย แต่มิตรภาพบางอย่างไม่ว่าจะเจอกันหรือไม่ก็ยังคงอยู่จะไม่เปลี่ยนแปลงเพราะกาลเวลาหรือฐานะที่เปลี่ยนไป

คืนวันที่ยี่สิบ เผยอี้โทรมา เขาบอกว่านอนไม่ค่อยหลับ เพราะพรุ่งนี้ก็วันแต่งงานแล้วซึ่งมันเป็นสิ่งที่เขารอคอยมาแสนนาน

จากตอนเด็กที่มีความรู้สึกเกิดขึ้นอย่างไร้เดียงสา จนตอนหลังที่มั่นใจแล้วว่าต้องเป็นเธอ สำหรับงานแต่งงานในฝันของเขา เขาจินตนาการมาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ถึงวันนี้ในที่สุดก็สมดังปรารถนาแล้ว

เขานอนไม่หลับ ในความจริงแล้วเธอเองก็เช่นกัน

หลังจากพรุ่งนี้ เธอจะเป็นภรรยาเป็นสะใภ้ ในที่สุดความรักอันยืนยาวกับเผยอี้ก็เดินทางมาถึงวันนี้

ความจริงน้อยมากที่เธอจะนอนไม่หลับ แต่เพราะวันนี้มีเรื่องมากมายให้ต้องคิด

 ช่างแต่งหน้าก็เป็นทีมที่เจียงเซ่อใช้งานเป็นประจำ คืนก่อนวันงานแต่งก็ได้พักที่บ้านของเธอ เฝิงจงเหลียงมาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง นอกจากนั้นเฝิงชินหลุนและภรรยาก็มาด้วย

ตอนที่พวกเขามาถึง เจียงเซ่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วและทำผมเกือบจะเสร็จแล้ว

ก่อนหน้านี้ตอนซ้อม ตอนที่เฝิงจงเหลียงบอกว่าได้แจ้งข่าวให้สองสามีภรรยามาด้วยนั้น เจียงเซ่อจึงคิดเอาไว้แล้วว่าจะต้องเจอ ‘พ่อแม่’ เธอจินตนาการภาพตอนที่เห็นเฝิงชินหลุนและภรรยามาแล้วหลายครั้งว่าเธอจะร้องไห้ จะรู้สึกสับสน จะควบคุมตนเองไม่ได้และจะโกรธเพราะปมในใจเมื่อครั้งยังเด็กหรือไม่

เธอคิดอยู่นานมาก แต่พอเจอสองสามีภรรยาที่ฝืนยิ้มตามมารยาทกลับรู้สึกเหมือนโล่งอก

ไม่ได้ตื่นเต้น ไม่เสียใจ เรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตความรู้สึกต่างๆ มันได้หายไปพร้อมกับการเกิดใหม่ของเธอแล้ว

 ที่ผ่านมาสิ่งที่กักขังตัวเธอก็คือความทรงจำอันเลวร้าย เมื่อไม่มีความหวัง ไม่ปรารถนาก็ไม่มีแม้กระทั่งความโกรธอีกต่อไป

เธอดูออกว่าแม้ใบหน้าของคุณนายเฝิงจะยิ้ม แต่ดวงตาไม่ใช่ ความจับผิดและความรังเกียจฉายชัดอยู่ในส่วนลึกของแววตาของเธอ แต่เจียงเซ่อที่เป็นแม่ลูกกับเธอมานานหลายปี จะไม่รู้นิสัยแบบนี้ของเธอได้อย่างไร

คุณนายเฝิงอยู่ในชุดเดรสสีขาวที่ยาวประมาณเข่า ด้านนอกเป็นเสื้อคลุมสีครีมอันหรูหราที่สั่งทำขึ้นพิเศษถือกระเป๋าเอาไว้ใบหนึ่ง นอกจากรอยยิ้มนั้นยังแฝงไปด้วยความถือตัวของสังคมชั้นสูง ยืนอยู่ข้างสามี

เธอแต่งหน้าอย่างงดงาม ผมก็ถูกดัดลอนมาแล้ว แต่งตัวได้เหมาะสมเป็นอย่างมาก แต่กลับดูเหมือนได้ใส่หน้ากากอันสมบูรณ์แบบเอาไว้ ดูไม่เข้ากับคนในงาน หลังจากเฝิงจงเหลียงส่งสัญญาณ เธอก็ทักทายเจียงเซ่อ จนกระทั่งเห็นเซี่ยเชาฉวิน เธอจึงเผยรอยยิ้มอันสนิทสนมและเข้าไปคล้องแขนเซี่ยเชาฉวิน อย่างสนิทสนม

“เชาฉวิน ไม่เจอกันนานเลย”

สำหรับคุณนายแล้ว ฐานะเป็นสิ่งที่ต้องแบ่งแยกอย่างชัดเจน

หลายปีมานี้ แม้ชื่อเสียงของเจียงเซ่อโด่งดังมาก สินค้าที่เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์และหนังที่แสดงก็ไม่ธรรมดา แต่ไม่ว่าชื่อเสียงของเธอจะโด่งดังมากแค่ไหน มีคนติดตามมากเพียงใด สำหรับคุณนายเฝิงแล้วก็ยังเป็นเพียงแค่ดาราคนหนึ่งเท่านั้น

ถ้าไม่ใช่เพราะเธอโชคดีได้แต่งเข้ามาเป็นสะใภ้บ้านตระกูลเผย และไม่ใช่เพราะพ่อสามีโทรกลับไปขอให้พวกเขาทั้งสองมาตี้ตู งานแต่งของดาราอย่างเจียงเซ่อ บางทีแม้กระทั่งขอร้องเธอก็ยังไม่ยอมมาเลย

ตระกูลเผยไม่ใช่ว่าจะสามารถสร้างสัมพันธ์ได้ด้วยง่ายๆ ตอนนี้ตระกูลเฝิงและตระกูลเผยยังไปมาหาสู่กันบ้างเพราะเฝิงจงเหลียงยังมีชีวิตอยู่ แต่อย่างไรเขาก็อายุมากแล้ว ถ้าเป็นอะไรไปความสัมพันธ์ระหว่างบ้านตระกูลเผยและตระกูลเฝิงก็คงถูกตัดขาด นี่เป็นโอกาสที่จะได้ใกล้ชิดกับบ้านตระกูลเผย ตอนที่เฝิงชินหลุนได้ยินว่าเฝิงจงเหลียงจะให้เขาและภรรยาไปร่วมงานแต่ง เขาก็ดีใจจนแทบบ้า

อีกสามครอบครัวในบ้านตระกูลเฝิง พอรู้ว่าพวกเขาจะไปร่วมงานแต่งของหลานชายคนโตแห่งบ้านตระกูลเผยก็อิจฉาสองสามีภรรยามาก แอบพูดลับหลังว่าเฝิงจงเหลียงลำเอียง

แม้ว่าคุณนายเฝิงจะมาร่วมงานแต่งด้วยความดีใจ แต่ก็คิดไม่ตกว่าเหตุใดตระกูลเผยจึงยอมให้เผยอี้แต่งงานกับผู้หญิงธรรมดาๆ

  สำหรับเธอแล้วการแต่งงานในครั้งนี้ไม่เหมาะสม แต่เพราะก่อนที่จะมาถึง เธอถูกพ่อสามีเตือนเอาไว้ จึงไม่กล้าพูดอะไรมาก

เธอดึงเซี่ยเชาฉวินเข้าไปกระซิบอย่างสนิทสนม เจียงเซ่อมองแวบหนึ่งก่อนจะหันหน้าหนี

สีหน้าของเฝิงจงเหลียงดูแย่ลงเรื่อยๆ เฝิงชินหลุนดูออกว่าพ่อไม่ค่อยจะพอใจ เขาค่อยๆ ยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดเหงื่อ ในใจกำลังบ่นว่าคนแก่คนนี้ยิ่งอายุมากนิสัยก็ยิ่งแปลก อยู่ๆ ก็มาโกรธเขาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยอย่างนั้น

คุณนายเฝิงคุยกับเซี่ยเชาฉวินอยู่ครู่หนึ่ง เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ก็ส่งสายตาให้สามี เฝิงชินหลุนเดินตามเฝิงจงเหลียงจนแทบจะทนไม่ไหวแล้ว จึงหาข้ออ้างแล้วเดินตามคุณนายเฝิงออกไป

“เฮ้อ” เฝิงจงเหลียงส่ายหน้า งานแต่งวันนี้ที่เขาพาเฝิงชินหลุนและภรรยามาเพราะมีเป้าหมายอื่น แต่สองสามีภรรยาคู่นี้กลับทำให้เขาผิดหวัง

“คุณปู่” เจียงเซ่อจับมือของเขา โม่อานฉีและคนอื่นๆ ก็กำลังแต่งหน้า ทีมงานคนอื่นๆ ก็ออกไปเพราะเธอแอบส่งสัญญาณ ให้สองปู่หลานได้อยู่ด้วยกันโดยลำพัง “หนูเข้าใจความตั้งใจของปู่ แต่เรื่องบางเรื่องมันก็บังคับกันไม่ได้นะคะ”

เหตุผลข้อนี้ เธอเองก็เพิ่งจะเข้าใจ

“หนูรู้ว่าปู่อยากให้มีคำอวยพรจากพ่อแม่ ญาติพี่น้องในงานแต่งของหนู แต่สำหรับหนูแล้ว มีเพียงคุณปู่ที่คอยห่วงใยหนูในทุกๆ เรื่องก็เพียงพอแล้วค่ะ”