webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

649-2

บทที่ 649-2 กังวล

ตั้งแต่ที่เจียงเซ่อเข้าวงการบันเทิง ก็ต้องพบกับความยากลำบากมากมาย

ในหลายปีที่ผ่านมานี้ ในตอนที่ยังไม่รู้ว่าเธอคือใคร เธอก็เหมือนถูกรังแกมาโดยตลอด เฝิงจงเหลียงก็ช่วยอะไรไม่ได้ จนตอนนี้ก็ไม่มีทางที่จะดูแลได้อีก

เธอชอบวงการบันเทิง ก็ยอมรับในการตัดสินใจของเธอ ในเมื่อตระกูลเผยไม่ว่าอะไร เขาเองก็พอจะคิดได้ ว่าขอแค่หลานสาวมีความสุขก็ดีแล้ว แต่เขาก็ยังไม่สามารถทนดูหลานสาวถูกคนอื่นมารังแกเฉยๆ ได้เหมือนกัน

เขาชินแล้วกับการจัดการเรื่องต่างๆ ของตระกูลเผย จนมาถึงวันนี้ก็ยังไม่มีการเปิดเผยถึงฐานะของเจียงเซ่อ ทำให้เธอต้องถูกคนอื่นเล่นงานอยู่บ่อยครั้ง แม้แต่กับคุณนายโจวเองก็ยังกล้าที่จะรังแกหลานของเขาได้เลย

เธอได้รับรางวัลจากต่างประเทศ ได้มีชื่อเสียง ในตอนที่หนังกำลังจะได้เข้าฉายในประเทศ ก็ดันมีข่าวของเถาเฉินแทรกขึ้นมา

เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นหลายครั้งแล้ว ถึงแม้ว่าเฝิงจงเหลียงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าคนตระกูลเผยเป็นคนแบบไหน เรื่องของเด็กเด็กเป็นคนก่อก็จริง แต่เป็นลูกหลานของใครก็ปวดใจทั้งนั้น

ตอนที่เผยอี้โทรมาหา ในขณะที่เขากำลังรู้สึกโมโหสุดๆ แต่เผยอี้ก็ได้เสนอสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกพึงพอใจมากที่สุดขึ้นมา ก็คือทำให้เรื่องมันใหญ่ไปให้รู้แล้วรู้รอด ให้เสียงวิพากษ์วิจารณ์และกระแสที่พุ่งไปหาเถาเฉิน กลับมาที่ตัวเจียงเซ่ออีกครั้ง

แต่เรื่องพวกนี้จะทำอย่างไรถึงจะสร้างแรงดึงดูดได้ล่ะ? แล้วเผยอี้ก็พูดถึงเฝิงหนานขึ้นมา!

หล่อนก็เป็นเหมือนแค่ระเบิด ที่ไม่มีทางระเบิด ได้แค่อยู่ตั้งเฉยๆ อยู่ตรงนั้นตลอดไป คอยแต่จะคุกคามเจียงเซ่ออยู่ตลอดเวลา

เฝิงจงเหลียงไม่รู้ว่าเธอคือใคร และไม่รู้ว่าทำไมหล่อนถึงได้รู้เรื่องของเจียงจื้อหยวน แถมหล่อนยังคิดแต่จะเปิดโปงเจียงเซ่ออยู่ตลอดเวลา เหมือนต้องการที่จะทำลายชีวิตของเจียงเซ่อ อย่างนั้นการมีอยู่ของเฝิงหนาน ก็ถือว่าเป็นอีกปัญหาที่ทำให้เฝิงจงเหลียงรู้สึกปวดหัวเป็นอย่างมาก

ไม่ว่าหล่อนจะเป็นใคร แต่ชื่อที่หล่อนใช้ก็ยังคงเป็นของตระกูลเฝิง เป็นคนที่มีชื่อเสียง จะฆ่าให้ตายก็ไม่ได้ แถมยังทำให้เจียงเซ่อรู้สึกแย่อีก

ความคิดต่างๆ ที่หล่อนซ่อนมันเอาไว้ในใจ ไม่เปิดเผยออกมา ทั้งหมดมันก็คือเรื่องวุ่นวายทั้งนั้น ถ้าอย่างนั้นก็ถือโอกาสนี้ ปล่อยให้หล่อนก่อเรื่องขึ้นมา เพื่อเป็นการบีบให้ตระกูลเผยมาออกหน้า ยอมรับในฐานะของเจียงเซ่อ ทำให้ ‘จุดด่างพร้อย’ บนฐานะของเธอกลับมาใสสะอาดอย่างเดิม

ทำให้ความคิดชั่วร้ายของเฝิงหนานสลายกลายเป็นแค่ฟองอากาศเสีย และหลังจากนี้ เรื่องที่หล่อก่อขึ้นมาทั้งหมด ทุกอย่างก็จะกลายเป็นเพียงเรื่องตลก ถึงแม้จะออกมาก่อเรื่องอะไรอีก ก็คงไม่มีใครเชื่ออะไรหล่อนอีกต่อไปแล้ว

จากมุมมองภายนอก ถือว่าหล่อนสร้างความวุ่นวายให้กับตระกูลเฝิงเป็นอย่างมาก เธอล่วงเกินหลานสะใภ้คนโตในอนาคตของตระกูลเฝิง คนในตระกูลเฝิงเองจึงมีเหตุผลที่ ‘รังเกียจ’ ในตัวเฝิงหนานแล้ว เฝิงจงเหลียงก็ให้คนส่งหล่อนกลับไปที่ฮ่องกง การตีตัวออกห่างจากหล่อนอย่างกะทันหันแบบนี้ ก็ถือว่าสมเหตุสมผล คงไม่มีใครสนใจนิสัยที่เปลี่ยนไปของเฝิงหนาน

“งั้นถ้าหากว่า…คุณท่านเผยยังโมโหอยู่…”

เฝิงชินหลุนฟังออกถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเฝิงจงเหลียง แต่ก็ยังคงฝืนเอ่ยปากถาม เฝิงจงเหลียงจึงตอบว่า

“ถ้าหากว่ายังโมโหอยู่แล้วจะให้ทำยังไงต่อ? อย่างมากวิสาหกิจจงหนานที่มันขยายใหญ่ไปกว่านี้ไม่ได้แล้วก็คงต้องหยุดไว้แค่นั้น ฉันรับผิดชอบเอง!”

เขาวางสายไป รู้สึกไม่อยากจะคุยกับลูกชายคนนี้แล้วจริงๆ เสี่ยวหลิวที่เห็นท่าทางเขาดูหนักใจกับเรื่องของลูกหลานแล้ว คืนนี้เกิดเรื่องมากมายติดๆ กันไม่หยุด ก็กลัวว่านายท่านจะรู้สึกแย่ กลัวว่าจะถูกบั่นทอนจิตใจ

“อย่ารู้สึกแย่ไปเลยครับ นายท่านเผยกับท่านก็รู้จักกันมาตั้งหลายปี ไม่มีทางที่จะตีตัวออกห่างจากท่านเพียงเพราะเรื่องของลูกหลานหรอกครับ”

เสี่ยวหลิวหยิบเสื้อตัวนอกขึ้นมา และช่วยคลุมลงไปที่ไหล่ของเฝิงจงเหลียง จากนั้นยกกาน้ำชาที่ยังอุ่นอยู่ขึ้นมาเทชาให้เฝิงจงเหลียง พร้อมพูดปลอบใจเขาเสียงเบา

เฝิงจงเหลียงส่ายหน้า ต่อหน้าเสี่ยวหลิว เขาก็ไม่ได้มีท่าทีเย็นชาห่างเหินเหมือนตอนที่คุยโทรศัพท์กับเฝิงชินหลุนอีก บางทีอาจเป็นเพราะสามารถคลายปมใหญ่ในใจนี้มาได้เนิ่นนานแล้ว ความรู้สึกของเขาแฝงไปด้วยความผ่อนคลาย แต่แววตาก็ยังคงไว้ซึ่งความกังวลที่ฉายออกมาอย่างชัดเจน เหมือนกับว่ากำลังย้อนแย้งในตัวเองเป็นอย่างมาก

“สิ่งที่ฉันกังวลไม่ใช่เรื่องนี้หรอก”

เขาดุนข้างแก้มตัวเอง แล้วถอนหายใจออกมา

“เรื่องงานแต่งงานของเฝิงหนานกับหลานชายของจ้าวซินหงแห่งเจียงหัวกรุ๊ป ถูกกำหนดมานานหลายปีแล้วสินะ?”

เขาและเฝิงหนานห่างเหินกันไปมากแล้ว ในหลายปีมานี้ก็เป็นเหมือนคนแปลกหน้าต่อกัน ปกติก็ไม่ค่อยอยากจะเอ่ยถึงสักเท่าไหร่ด้วย

แต่วันนี้จู่ๆ ก็เอ่ยถึงขึ้นมา ทำเอาเสี่ยวหลิวรู้สึกแปลกใจ

“ใช่ครับ”

เสี่ยวหลิวคิดอะไรครู่หนึ่ง “ที่จริงมันก็นานหลายปีมาแล้ว คุณหนูเฝิงและนายน้อยจ้าวจวินฮั่น อยู่ด้วยกัน มาเจ็ดปีกว่าได้แล้วครับ”

“งั้นงานแต่งก็ควรจะจัดได้แล้วใช่ไหม?”

เฝิงจงเหลียงที่ได้ยินแบบนั้นแล้ว ก็พูดพึมพำกับตัวเอง

เสี่ยวหลิวอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมา แล้วจ้องมองไปที่เขา

“นายท่าน ท่านจะ…”

เขาไม่ได้สนใจหรือใส่ใจเรื่องของเฝิงหนานมานานแล้ว ตั้งแต่ที่เฝิงหนานย้ายข้าวย้ายของออกจากบ้านตระกูลเฝิงไป ตั้งมั่นว่าจะเป็นดารานักแสดงให้ได้จนทะเลาะกับเฝิงจงเหลียง เรื่องแต่งงานของเฝิงหนานเขาก็ไม่ได้คิดจะไปใส่ใจอีกเลย และก็ดูเหมือนว่าไม่ได้ต้องการที่จะเข้าไปยุ่งด้วย แต่ทำไมจู่ๆ ในเวลาแบบนี้ ถึงได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมากันนะ?

ความคิดของเสี่ยวหลิว เฝิงจงเหลียงเข้าใจดี

“นายไม่เข้าใจหรอก”

คนแก่แล้ว ข้างกายก็ไม่มีคนญาติมิตร มีบางครั้งที่อยากจะพูดอะไร ก็ไม่รู้ว่าจะไปพูดให้ใครฟังดี

“อาอี้เขา…”

เผยอี้ได้คุยกับเฝิงจงเหลียงแล้ว การปล่อยข่าวของเฝิงหนานออกไปนั้นมันทั้งกล้าและเสี่ยงมาก แต่เมื่อเฝิงจงเหลียงลองคิดพิจารณาดูดีๆ แล้ว การที่เผยอี้ทำแบบนี้ ไม่ใช่แค่การให้ตระกูลเผยออกมารับหน้า เพื่อช่วยให้เจียงเซ่อหลุดพ้นออกจากวิกฤตครั้งนี้แน่นอน

สิ่งที่เฝิงหนานพูด ผลกระทบของเรื่องนี้ ไม่ได้หยุดอยู่แค่สายตาของคนทั้งประเทศ หรือสายตาของคนตระกูลเฝิงเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงบุคคลสุ่มเสี่ยงอีกคนด้วย ก็เห็นๆ อยู่แล้ว คนนั้นก็คือเจียงจื้อหยวนที่เฝิงจงเหลียงคิดไม่ตกมาโดยตลอดนั่นเอง

เมื่อลองคิดดูแล้ว นี่คือชายคนหนึ่งที่ถูกควบคุมมาโดยตลอด หลังจากโดนควบคุมอย่างแน่นหนา จึงไม่กำเริบเสิบสานเหมือนเมื่อก่อนอีก เรียนรู้ที่จะทำตัวถูกต้องไม่นอกลู่นอกทาง และอยู่โดยที่ไม่คิดอะไรไปเรื่อยๆ

แต่ถ้าหากมีวันหนึ่ง ตัวเขาพบว่าการใช้ชีวิตอยู่ในกฎเกณฑ์ มันไม่ได้ทำให้ชีวิตของลูกสาวตัวเองอยู่ในความปลอดภัยและดีงามไปได้ตลอด แถมยังเป็นต้นเหตุที่ทำให้ลูกสาวต้องลำบากอีกล่ะ?

ขอแค่เฝิงหนานยังมีชีวิตอยู่ นั่นก็คือปัญหาใหญ่ คนๆ นี้ช่างอันตรายและมีความคิดที่รุนแรง เป็นคนที่มีความคิดขัดแย้งกับสังคม

“มังกรผลัดเกล็ด*[footnoteRef:1] ใครแตะโดนก็ต้องตายสถานเดียว” [1: *มังกรเป็นสัตว์มีเกล็ด ตอนที่มังกรผลัดเกล็ดและมีเกล็ดงอกขึ้นมาใหม่นั้น หากไปสัมผัสโดนจะทำให้เจ็บปวด]

สิ่งที่เขากังวล คือถ้าหากว่าเจียงจื้อหยวนคิดว่าตัวเองกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ได้รับการคุกคามแล้วละก็ อาจจะก่อเรื่องอะไรขึ้นมาอีกก็เป็นได้

และเขาเองก็กังวลว่าเผยอี้เองก็คิดแบบนั้น ว่ามันอาจจะทำให้เจียงจื้อหยวนเกิดโมโห และคิด ‘จัดการ’ เฝิงหนานอีก

คนอื่นไม่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงของ ‘เฝิงหนาน’ แต่บนโลกใบนี้ ยังมีอีกหลายคนที่รู้

คนที่รู้ก็คือตัวของ ‘เฝิงหนาน’ เอง เจียงเซ่อ เผยอี้ และยังมีเฝิงจงเหลียง การมีอยู่ของ ‘เฝิงหนาน’ ถือเป็นภัยคุกคามครั้งใหญ่ของเจียงเซ่อ ยากที่จะคาดการได้ว่าหล่อนจะเปิดเผยฐานะของเจียงเซ่ออีกเมื่อไหร่ และมันก็รังแต่จะทำให้เรื่องมันวุ่นวายมากยิ่งขึ้น

ยุคสมัยที่เจริญรุ่งเรือง ทุกคนล้วนแล้วต้องอยู่ในกฎในเกณฑ์ แต่ก็มีคนบางกลุ่มที่ใช้ชีวิตอยู่ในความดำมืดและไร้กฎเกณฑ์ ไม่เข้าใจกฎกติกา ไม่กลัวผลลัพธ์ที่จะตามมา เหมือนกับการกำคมมีด ถ้าไม่ระวังก็จะไปบาดคนอื่นเข้า

ถึงแม้ว่าเฝิงจงเหลียงจะไม่ชอบเฝิงหนาน แต่หล่อนก็ยังใช้ชีวิตอยู่ในฐานะของ ‘เฝิงหนาน’ อยู่ เขาทนไม่ได้ที่จะเห็นเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับหล่อน เขาเองก็แก่มากแล้ว ก็อยากจะได้รับความสงบสุขบ้าง เขาชอบที่จะเห็นทุกคนอยู่กันอย่างสงบสุข ในเมื่อยังไม่ถึงก้าวสุดท้ายของชีวิต ก็ไม่ต้องการที่จะให้เกิดข้อผิดพลาดอะไรขึ้นอีก

หวังว่าจะเป็นเพราะตัวเองคิดมาไป!

“ทางเจียงจื้อหยวน นายได้ลองตรวจสอบบ้างหรือเปล่า?”

เขาถามออกไป เสี่ยวหลิวก็กลับมานิ่งขรึมอย่างเดิม

“ผมกำลังจะรายงานท่านเรื่องนี้อยู่พอดีเลยครับ”

ที่จริงควรจะบอกให้เร็วกว่านี้ แต่ช่วงนี้เฝิงจงเหลียงกำลังสนใจอยู่กับเรื่องหนัง ‘The second coming of Jesus Christ’ ของเจียงเซ่อ บวกกับก่อนหน้าก็มีเรื่องที่ให้คนส่งเฝิงหนานกลับไปที่ฮ่องกงอีก หลังจากที่เจียงจื้อหยวนออกจากเรือนจำมา ก็ได้ใช้ชีวิตเงียบๆ ภายใต้การจับตามองของตระกูลเฝิงมาโดยตลอด ดังนั้นเสี่ยวหลิวจึงผ่อยคลายเรื่องนี้ไปบ้าง

แต่ที่ไหนได้ พอลองตรวจสอบดูอีกที ก็พบว่าไม่เจอร่องรอยเสียแล้ว ไม่รู้ว่าใช้วิธีไหน ถึงได้หนีออกจากการจับตามองในครั้งนี้ไปได้ ตอนนี้เขาก็เหมือนหายเข้ากลีบเมฆ ไม่รู้ไปอยู่ที่ไหนแล้ว!

“เขาลาออกจากงาน เปลี่ยนเบอร์มือถือ และที่อยู่ที่เขาอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้พวกเราก็ลองไปตรวจค้นดูแล้วครับ” แต่ก็ไม่เจอร่องรอยอะไรเลย “เพื่อนเก่าๆ ของเขาก็ไม่มีการติดต่อหากัน กับคนที่ทำงานกับเขามาในสองปีนี้ ก็เหมือนว่าจะไม่สนิทกับเขาเท่าไหร่”

“คนส่วนใหญ่จดจำเขาได้แค่เป็นคนที่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จา นอกจากนั้นแล้ว เขาอาศัยอยู่ที่ไหน ชอบทำอะไร ก็ไม่มีใครรู้เลยครับ”