บทที่ 623 กังวล
หลังจากเขารู้ว่าผลงานของเชี่ยซ่าเหลยเข้าร่วมงาน ‘หนึ่งร้อยปีของคนสร้างหนัง’ หนังเรื่องแรกที่เขาตัดสินใจดูจึงเป็น ‘The second coming of Jesus Chrit’ เขาจองที่นั่งผ่านอินเทอร์เน็ตตั้งแต่ก่อนเริ่มงานและหาโรงหนังที่สิบหกเจอหลังจากนั้นสิบนาที
นอกโรงหนังที่สิบหก บนหน้าจอแสดงชื่อหนัง ‘The second coming of Jesus Chrit’ เอาไว้ และหลังจากเขายืนยันตัวตน อีกห้านาทีหนังถึงจะฉายอย่างเป็นทางการ
ช่วงนี้โฆษณาของหนังเรื่อง ‘The second coming of Jesus Chrit’ เยอะมาก และพระเอกก็เป็นโดนัลด์ เท่านี้ก็เพียงพอที่จะดึงดูดให้แขกจำนวนมากจองตั๋วหนังแล้ว
รวมทั้งทีเซอร์อันน่าตื่นตาตื่นใจที่ถูกปล่อยออกมา ยิ่งเป็นการสร้างกระแสให้หนังเรื่องนี้ตั้งแต่ยังไม่เข้าฉาย
ภายในโรงหนังสามารถจุคนได้เป็นร้อย ตอนนี้มีคนนั่งอยู่กว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว หลังจากซูเพ่ยเอินเข้ามา ก็ยังคงมีคนเดินเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ดูเหมือนว่ารอบปฐมทัศน์ใน Shrine Auditorium and Expo Hall หนังเรื่อง ‘The second coming of Jesus Chrit’ อาจจะทำผลงานได้ดีเลยทีเดียว
สำหรับตัวหนังเรื่อง ‘The second coming of Jesus Chrit’ ซูเพ่ยเอินเป็นกังวลมาก แม้ทีเซอร์ที่ปล่อยออกมายอดเยี่ยมดึงดูดคนได้เป็นอย่างดี ซูเพ่ยเอินก็ยังคงกังวลว่า ท้ายที่สุดแล้วหนังเรื่องนี้อาจจะมีดีแค่ทีเซอร์
แม้จะรู้ว่าการที่เชี่ยซ่าเหลยกล้าพาหนังมาร่วมงานนี้ แน่นอนว่าจะต้องมั่นใจในตัวเอง แต่ก่อนที่ซูเพ่ยเอินจะได้ดูหนัง เขาก็ยังคงไม่กล้าการันตี
ก่อนหนังจะฉายไม่กี่นาที เขาดูนาฬิกาเจ็ดแปดครั้ง ตอนนี้คนส่วนมากในโรงหนังก็คงจะอดใจรอไม่ไหวเช่นเดียวกับเขา
เจียงเซ่อกับโดนัลด์เข้ามาในโรงก่อนหนังจะเริ่มฉายหนึ่งนาที ขณะนี้ไฟก็ดับไปแล้ว พอเข้ามาก็นั่งลงสองที่นั่งริมสุดของแถวสุดท้าย
หลังจากถ่ายหนังเรื่องนี้จบ ทั้งสองก็ยังไม่มีโอกาสได้ดูเลย จึงตัดสินใจว่าดูหนังของตนเองจบก่อน แล้วค่อยไปดูหนังเรื่องอื่น นับถอยหลังไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็ถึงเวลาที่หนังจะเริ่มฉายอย่างเป็นทางการแล้ว
ฉากเปิดของเชี่ยซ่าเหลยยิ่งใหญ่มาก ผืนหิมะที่กว้างไกลสุดสายตาและท้องฟ้าอันมืดครึ้มบรรจบเข้าหากัน ทอดสายตาออกไปแทบจะไม่เห็นที่สิ้นสุด
ท่ามกลางเสียงลมโกรก ได้นำพาความหนาวเย็นและสภาพแวดล้อมอันเลวร้ายเข้าสู่จินตนาการของผู้ชมตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็น
สายลมพัดผ่านทำให้เศษหิมะปลิวกระจายตัวขึ้นมา ภาพที่ขยายออกนี้ถ่ายทอดพื้นหิมะอันกว้างขวางสู่สายตาของผู้ชมทุกคน
บนพื้นหิมะ จุดสีดำจุดหนึ่งดูโดดเด่นมากและกำลังเดินโซซัดโซเซมาทางนี้
จนเดินเข้ามาใกล้ จึงเห็นชัดว่าเป็นหญิงสาวร่างสูงและงดงาม ผมลอนสีทองกระเซอะกระเซิงแนบอยู่บนใบหน้าที่แดงก่ำเพราะความหนาวเย็น เสื้อเกราะของเธอมีร่องรอยของการต่อสู้ มีหลายตำแหน่งที่มีสัญลักษณ์สีดำแดง
เพราะการเคลื่อนไหวของเธอ ทำให้มีเลือดไหลออกจากเสื้อเกราะของเธออยู่ตลอดเวลา แต่เพราะความหนาวเย็นทำให้เลือดแข็งตัวตั้งแต่ยังไม่หยดลงบนพื้น
แต่สิ่งที่ไม่เข้ากับรูปลักษณ์ภายนอกที่ดูเย็นเยียบของเธอ คือดวงตาสีฟ้าครามที่มีแววตามุ่งมั่น ทุกก้าวเดินของเธอล้วนเหน็ดเหนื่อยจนเส้นเลือดตรงหน้าผากนูนออกมาแล้วแท้ๆ ไออุ่นที่พ่นออกมาเหมือนเป็นลมหายใจสุดท้าย ในขณะที่ผู้ชมกำลังเป็นห่วงว่าก้าวต่อไปเธอจะล้มลงท่ามกลางพื้นหิมะหรือไม่นั้น เธอกลับสามารถทรงตัวได้ทุกครั้ง จนมาถึงหน้าโบสถ์แห่งหนึ่ง
โบสถ์แห่งนี้ดูเก่ามาก จากหน้าประตูอันเก่าแก่สามารถเห็นได้ว่านักบุญที่อยู่ที่นี่ไม่เยอะมาก เมื่อคิดไปถึงผืนหิมะก่อนหน้านี้ ทำให้รู้สึกว่านี่อาจจะเป็นเพียงแค่โบสถ์ร้างที่อยู่ในชานเมืองเท่านั้น
“เธอตื่นแล้วหรือ”
นิ้วมือของนักรบหญิงเพิ่งจะขยับ ก็มีเสียงอันอบอุ่นของชายหนุ่มดังขึ้นข้างหูเธอ เธอยืนมือออกไปจับดาบของตนเองและลืมตาขึ้นอย่างระมัดระวัง กลับพบว่าตนเองไม่ได้อยู่ในพื้นหิมะแล้ว
เธอนอนอยู่ในห้องที่เรียบง่าย ผนังที่อยู่ข้างๆ มีไฟจุดอยู่ ทำให้ในห้องอบอุ่นมาก
ชายในชุดนักบวชสีดำนั่งอยู่ข้างกองไฟ เขายิ้มให้เธอ สัญลักษณ์คริสตจักรตรงหน้าอกของเขาทำให้หญิงสาวโล่งใจทันที ร่างกายที่โน้มขึ้นนอนลงอีกครั้ง
“ฉันเจอเธอที่หน้าโบสถ์”
ตอนที่เขาพูด ท่าทางดูทุกข์ใจ ชีวิตที่ลำบากและไม่เคยมีใครสนใจทำให้ชายหนุ่มมีอายุผู้นี้ดูหมดหวัง
ความลำบากและอับจนแสดงออกผ่านแผ่นหลังงอค่อมของเขา ชุดนักบุญของเขาดูออกว่าใส่มาหลายปีแล้ว มันถูกซักจนเก่า ท่ามกลางสายตาของหญิงสาวที่กำลังมองมาอย่างพินิจ เขาดูอายอย่างเห็นได้ชัด
“ฉันชื่ออังเดร เป็นบาทหลวงของที่นี่”
ตอนที่เขาพาเชอรีนกลับมา เขาก็เห็นแล้วว่าเธอใส่ชุดอัศวินที่เป็นเอกลักษณ์ของคริสตจักร เธอเป็นอัศวินหญิงจากนครรัฐวาติกัน ชื่อเชอรีน เป็นข้ารับใช้ของพระเจ้า
แต่ไม่รู้ว่า ในบริเวณที่ห่างไกลแบบนี้ อัศวินหญิงคนนี้มาทำอะไร
ระหว่างที่มีการพูดคุยกัน ทั้งสองก็สนิทสนมกันมากขึ้นเรื่อยๆ อังเดรได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับชื่อเสียงและความร่ำรวยของบาทหลวงในนครรัฐวาติกันจากปากเชอรีนแล้วก็อิจฉามาก
เชอรีนเป็นคนใจร้อนดั่งไฟ จงรักภักดีกับศาสนาคริสต์อย่างหาที่สุดไม่ได้ เพราะถูกอังเดรช่วยชีวิตเอาไว้ รวมทั้งเป็นสาวกของศาสนาคริสต์เหมือนกัน ความเชื่อใจที่เธอมีต่ออังเดรก็มากขึ้นทุกวัน นอกจากรักษาตัวแล้ว เธอยังพูดถึงเรื่องราวชีวิตของความร่ำรวยของบิช็อป โดยที่เธอไม่รู้ว่าสายตาของอังเดรได้ค่อยๆ เปลี่ยนไป
ในโบสถ์ไม่มีบิช็อปที่เชื่อมั่นในตัวเขาและสนับสนุนเขา เพราะฉะนั้นตอนแบ่งงานกัน เขาจึงถูกสั่งให้มาอยู่ในชานเมืองอันห่างไกลจากศูนย์กลางอันศักดิ์สิทธิ์นี่
ถ้าไม่ใช่เพราะเรื่องบังเอิญในครั้งนี้ เขาอาจจะต้องเป็นข้ารับใช้ของพระเจ้าไปตลอดชีวิต เป็นส่วนหนึ่งของศาสนาคริสต์แต่กลับไม่เคยเห็นเลยว่าโบสถ์ที่นครรัฐวาติกันเป็นอย่างไร
คำพูดของเชอรีนจุดประกายเปลวไฟในใจของอังเดร เขาก็อยากเป็นคนที่ทุกคนให้ความสำคัญ อยากได้อำนาจที่สูงที่สุด ต้องการเป็นที่เคารพนับถือของประชาชนและมีข้าทาสบริวารคอยรับใช้
แต่ในชีวิตจริงกลับเป็นเขาที่ต้องมาเฝ้าอยู่ในชานเมืองๆ นี้ ชีวิตผ่านไปเป็นวันๆ พึ่งการบริจาคจากคริสเตียนที่อยู่รอบๆ ที่เอาอาหารเล็กๆ น้อยๆ มาให้ ชีวิตยากลำบากมาก
เขาไม่พอใจกับระดับโครงสร้างการปกครองของโบสถ์มากนักและเริ่มสงสัยว่าพระเจ้ามีจริงหรือไม่
ถ้าพระเจ้ามีจริง เพราะเหตุใดตนเองถึงจงรักภักดีกับ ‘เธอ’ มากเพียงนี้ และอธิษฐานอย่างจริงใจทุกวัน แต่ยังไม่เคยได้รับความเมตตาจากพระเจ้าเลย
บาดแผลของเชอรีนดีขึ้นมากแล้ว เธอเตรียมจะออกจากที่นี่แล้วกลับไปที่โบสถ์เดิม
“ครั้งนี้ ฉันเสียเวลาไปมาก ถ้าไม่ใช่เพราะการต่อต้านครั้งสุดท้ายก่อนหมดลมหายใจของพวกนอกรีต ฉันคงจะกลับไปอยู่ในอ้อมกอดของเทพธิดาของฉันตั้งนานแล้ว” หญิงสาวที่ท่าทางดูเย็นชาตอนพูดถึงพวกนอกรีต แต่พอพูดถึงเทพธิดาท่าทางเธอกลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความศรัทธา
“ท่านรู้ไหมอังเดร ว่าเทพธิดามีอยู่จริงๆ นะ”
มือหนึ่งของเธอหยิบขนม แล้วยัดใส่ปาก
“ระหว่างที่กำจัดพวกนอกรีต ฉันได้รับบทสวดบทหนึ่งมา บทสวดนั้นสามารถเรียกพระเจ้าออกมาเพื่อบอกสิ่งที่ท่านปรารถนาต่อพระเจ้า แล้วท่านจะได้ในสิ่งที่ต้องการ!”