webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

530-2

บทที่ 530-2 อันแยบยล

ภายในครึ่งเดือนของเจียงเซ่อนั้น นอกจากจะแวะไปที่บ้านตระกูลเฝิง และไปเยี่ยมเยียนคุณปู่เผยแล้ว เธอก็ยังได้ไปแวะเยี่ยมเยียนฉางยวี่หูและเหล่ารุ่นพี่ผู้ใหญ่คนอื่นๆ ที่เคยแนะนำสิ่งต่างๆ ให้กับเธอด้วย

ฉางยวี่หูที่ได้รู้แล้วว่าเจียงเซ่อได้เป็นหนึ่งในนักแสดงหลักเรื่อง ‘The second coming of Jesus Christ’ ของเชี่ยซ่าเหลย ก็รู้สึกดีใจแทนเจียงเซ่อไม่น้อย

หล่อนยังจำได้ว่า มีอยู่ปีหนึ่งที่หล่อนนัดเจียงเซ่อออกมากินข้าวด้วยกัน ตอนนั้นเจียงเซ่อยังเป็นแค่ดาราหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้ามาในวงการได้ไม่นาน

ตอนนั้นเธอกำลังนั่งรอฉางยวี่หู เธอถือหนังสือเล่มหนึ่งเอาไว้ และมันก็เป็นเรื่อง ‘นักโทษ’ พอดี

บางทีเจียงเซ่อและหนังเรื่อง ‘นักโทษ’ เรื่องนี้อาจจะมีโชคชะตาเกี่ยวโยงกันมาตั้งแต่แรกแล้วก็ได้ นิยายเรื่องนี้ฉางยวี่หูเองก็เคยอ่านมาก่อน และรู้ว่านิยายเรื่องนี้เป็นนิยายที่ไม่ค่อยจะได้รับความนิยมสักเท่าไหร่ ตอนนั้นที่เห็นเจียงเซ่ออ่านนิยายเรื่องนี้อยู่ ฉางยวี่หูเองก็รู้สึกทึ่งอยู่ไม่น้อย

ทั้งศิษย์และอาจารย์ในปีนั้น บางทีต่างคนก็คงไม่คาดคิดว่า นิยายเรื่อง ‘นักโทษ’ ที่ทั้งสองคนได้พูดถึงกันเมื่อหลายปีก่อนจะได้ทำเป็นหนังภาพยนตร์ และดาราหน้าใหม่ของวงการบันเทิงในตอนนั้น จะกลายมาเป็นนักแสดงที่ได้เข้าร่วมการถ่ายทำหนังฟอร์มยักษ์ แถมยังเป็นถึงนักแสดงหลักแบบนี้ได้?

“ตอนที่โหวซีหลิ่งพาเธอมาแนะนำให้ฉันรู้จัก ฉันยังจำเธอในตอนนั้นได้อยู่เลยนะ”

ฉางยวี่หูบอกให้เธออยู่ทานมื้อเย็นด้วยกัน ยิ่งได้เห็นได้รู้จักเธอก็ยิ่งชอบ ตัวเธอนั้นออร่าที่ไม่สามารถมองเห็นของนักแสดงประกายออกมา เธอแต่งหน้ามาแค่บางๆ กับรอยยิ้มที่อบอุ่นทำให้บุคลิกของเธอดูจริงใจ

เรือนผมสีดำขลับยาวตรงและเรียงตัวสวย ถูกหวีมาอย่างดีและเรียบร้อย ดูสวยสง่างามและดูไร้จุดด่างพร้อย

วันเวลาที่ผ่านไปได้ขัดเกลาเครื่องหน้าที่ดูอ่อนวัยให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ตอนนั้นที่โหวซีหลิ่งพาเจียงเซ่อมาแนะนำต่อหน้าหล่อน และบอกให้เพื่อนเก่าเพื่อนแก่คนนี้ช่วยแนะนำสอนสิ่งต่างๆ ให้กับเธอ สิ่งแรกที่แวบขึ้นมาในหัวของฉางยวี่หูก็คือเด็กสาวคนนี้มีใบหน้าที่งดงามมากๆ ถึงรูปร่างจะผอมบาง แต่ก็ยังมีทรวดทรงและบุคลิกที่สง่างาม ราวกับเป็นคุณหนูในตระกูลที่สูงส่ง ไม่เหมือนกับคนที่จะมาเป็นดารานักแสดงเลยสักนิดเดียว

ตอนนั้นหล่อนยังกังวลอยู่เลยว่าเด็กคนนี้จะต้องมีทิฐิสูง ไม่ยอมที่จะรับรำสอนอะไรอีก จึงได้พาเธอไปที่โรงละครใหญ่เพื่อที่จะได้ ‘เปิดหูเปิดตาเรียนรู้’ และเมื่อได้รู้จักไปเรื่อยๆ แล้วก็ได้พบว่าเจียงเซ่อนั้นเป็นคนที่ฉลาดมากแค่ไหน

ในโถงการซ้อมแสดงของโรงละครใหญ่ เธอคอยสังเกตและเรียนรู้จากนักแสดงทุกๆ คน ได้รับสิ่งที่ตัวเองอยากจะรู้จากพวกเขา ทั้งขยันและมีความตั้งใจในการบรรลุเป้าหมาย ตั้งแต่ตอนนั้นที่ฉางยวี่หูรู้สึกชอบและเอ็นดูเจียงเซ่อ รู้สึกได้ว่าเด็กคนนี้มีความตั้งใจสูง แถมยังสามารถทนต่อความลำบากได้ ในเส้นทางของการเป็นนักแสดง เธออาจจะสามารถเดินไปได้ไกลมากกว่าคนอื่นๆ หลังจากนี้ก็คงต้องส่งต่อให้กับเพื่อนเก่าอย่างลัวหยิ่นแล้ว

แต่เป็นเพราะว่าตอนนั้น ฉางยวี่หูมองเจียงเซ่อเอาไว้สูงมาก แต่ก็ไม่คิดว่าเธอจะสามารถประสบความสำเร็จได้มากขนาดนี้

“หลายปีที่ผ่านมานี้ เซ่อเซ่อ เธอพัฒนาและก้าวหน้าไปมากเลยนะ”

หนังเรื่องที่เจียงเซ่อเป็นนักแสดงหลัก ทุกๆ เรื่องฉางยวี่หูก็ได้ดูมันมาหมดแล้ว ความสำเร็จของหนังเหล่านั้น นอกจากจะยกความดีความชอบให้กับบทหนังตัวละครและคนที่ให้ความร่วมมือแล้ว ก็ยังต้องชื่นชมฝีมือการแสดงของเจียงเซ่อที่มันก้าวหน้าขึ้นด้วย

หนังทุกเรื่องสามารถมองเห็นถึงแววก้าวหน้าของเจียงเซ่อได้อย่างชัดเจน เธอสามารถแสดงเป็นตัวละครนบทบาทนั้นๆ ได้อย่างสมจริงและโดดเด่น

“ฉันเชื่อนะว่าหนังเรื่อง ‘The second coming of Jesus Christ’ ที่เธอแสดงจะต้องดีไม่แพ้กับที่ล่าร่า บราวน์แสดงแน่นอน”

ชาผลไม้ที่กำลังอุ่นๆ ส่งกลิ่นหอมๆ ออกมาจากกาน้ำชา ข้างนอกกำลังมีฝนตกพรำๆ ในบ้านของฉางยวี่หูเปิดฮีตเตอร์เอาไว้ ทั้งศิษย์และอาจารย์กำลังถือแก้วชาเอาไว้ในมือ และพูดคุยถึงเรื่องตัวหนัง

“แล้วหนังจะเข้าฉายเมื่อไหร่กันล่ะ?”

ฉางยวี่หูถามออกไป เจียงเซ่อจิบชาเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ วางลงแล้วตอบกลับอย่างมีมารยาท

“อาจารย์เองก็รู้นี่คะ หนังแบบนี้ ขั้นตอนตัดต่อนั้นจะยาวนานกว่าตอนถ่ายทำมาก”

ฉากต่างๆ ที่ได้ถ่ายทำไป จะต้องนำไปเข้าสู่ขั้นตอนการตัดต่อต่อ หลังจากนั้นเหล่านักลงทุนก็เชิญเหล่าบริษัทที่มีความสนใจต่างๆ มาช่วยกันดูหนังเรื่องนั้นๆ และช่วยกันตัดสินใจว่าบริษัทไหนจะรับเอาหนังเรื่องนี้ไปออกฉาย

เรื่องการโปรโมทในหัวเซี่ยนั้นก็มีหัวอิ่งเป็นคนจัดการแล้ว ดังนั้นในขั้นตอนการตัดต่อ เจียงเซ่อก็ยังสามารถอาศัยหัวอิ่งเข้าไปดูตัวหนังได้ก่อน และหลังจากที่มีการยืนยันความสมบูรณ์ของตัวงานเรียบร้อยแล้ว หนังถึงจะได้ออกฉาย

ขั้นตอนนี้อาจจะต้องใช้ระยะเวลากว่าสองถึงสามปี จะรีบก็คงรีบไม่ได้มาก

“การร่วมงานกับเชี่ยซ่าเหลยในระยะหลังๆ นั้นทางบริษัทผู้ผลิตก็เหมือนจะเข้มงวดขึ้นมาก ถ้าได้ออกฉายจริงๆ ก็คงจะเป็นหลังจากที่หนูแต่งงานไปแล้วล่ะค่ะ”

ฉางยวี่หูพยักหน้า “ฉันชอบนิยายเรื่อง ‘นักโทษ’ มากเลยนะ และฉันก็เชื่อว่า เธอที่มีความชื่นชอบในเรื่องนี้เหมือนกันจะต้องแสดงบทบาทบริตนีย์ออกมาได้ดีและมีเอกลักษณ์มากแน่ๆ ถึงตอนนั้นแล้วฉันจะชวนเพื่อนสนิท ไปช่วยสนับสนุนดูหนังของเธอนะ”

ในเมื่อมีผู้ใหญ่คอยสนับสนุนแบบนี้ มันก็ทำให้เจียงเซ่อรู้สึกสุขใจไม่น้อยเลย

หลังจากเยี่ยมเยียนฉางยวี่หูเรียบร้อยแล้ว เธอก็มีเวลาว่างไปตลอดครึ่งเดือนนี้ เธอจึงเดินทางไปหาเผยอี้ที่คิวชู จนถึงช่วงเดือนธันวาคมถึงค่อยกลับมา

หลังจากผ่านวันหยุดไปแล้ว ตารางงานที่ยุ่งและแน่นก็กลับมาอีกครั้ง และข่าวแรกที่เจียงเซ่อได้รับ นั่นก็คือบอสของซื่อจี้หยินเหออย่างลัวหยิ่นนั้นต้องการที่จะพบเธอสักครั้ง

ซื่อจี้หยินเหอนั้นมีการแบ่งระดับชั้นไว้อย่างชัดเจน ตำแหน่งและหน้าที่ต่างๆ ล้วนแล้วอยู่บนตึกในระดับชั้นที่สูงขึ้นไป และทุกฝ่ายในบริษัทล้วนแล้วมีความกระตือรือร้นในหน้าที่ของตัวเอง

ห้องทำงานของลัวหยิ่นนั้นก็คือตึกใหญ่ชั้นที่ยี่สิบเก้า คนที่สามารถมาที่นี่ได้ ถือว่านับนิ้วได้เลย

เจียงเซ่อเองก็อยู่กับซื่อจี้หยินเหอมาหลายปีแล้ว และเคยได้ติดต่อกับลัวอ้าวมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ยังไม่เคยเลยสักครั้งที่จะโดนท่านประธานอย่างลัวหยิ่นเรียกพบ

ตอนที่ลัวหยิ่นได้เห็นหน้าเธอ สิ่งที่อยากจะพูดคุยด้วยก็คงจะเป็นเรื่องสัญญาแน่ๆ

ตอนนี้สัญญาระหว่างเธอและซื่อจี้หยินเหอนั้นมันหมดไปแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้มีการทำตามกฏเกณฑ์ของบริษัท แต่ก่อนหน้านี้ที่ยังไม่ได้มีการคุยเรื่องต่อสัญญากับเธอ นั่นก็เพราะว่าปีนี้ทั้งปีเธออยู่แต่ต่างประเทศ มัวแต่ยุ่งอยู่กับการถ่ายทำหนังเรื่อง ‘The second coming of Jesus Christ’

ก่อนหน้านี้สองปีที่ได้ต่อสัญญาไป เป็นลัวอ้าวที่มาเจรจาเรื่องนี้แทนบริษัท คนที่ออกหน้าไม่ใช่ลัวหยิ่น แต่ปีนี้ลัวหยิ่นเรียกพบเธอ หรือนี่จะเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าตอนนี้เธอได้กลายเป็นนักแสดงที่มีความสำคัญสำหรับบริษัทอีกคนแล้ว?

ข่าวที่เจียงเซ่อจะเข้าบริษัท ก็ได้หลุดรั่วไหลเพราะมีพนักงานในบริษัทเผลอหลุดปากออกไปเมื่อหลายวันก่อน ตอนแรกหลายๆ คนก็คิดว่านี่อาจจะเป็นแค่ข่าวโคมลอย แต่วินาทีที่เจียงเซ่อปรากฏตัวเข้ามาในบริษัทจริงๆ แล้ว ก็เหมือนสะเทือนกันไปทั้งบริษัท

เธอและเซี่ยเชาฉวินขึ้นลิฟต์ส่วนตัวมายังชั้นที่ยี่สิบเก้า และผู้ช่วยของเธอโม่อานฉีก็ช่วยนำทางจากห้องโถงใหญ่ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าทางบริษัทมีกฎ ว่าห้ามไม่ให้พนักงานไปรุ่มร่ามกับตัวศิลปินล่ะก็ ทันทีที่มีคนได้ยินเรื่องนี้ บางทีโม่อานฉีอาจจะโดนล้อมตัวเอาไว้แล้วก็ได้ เพื่อที่จะไต่ถามว่าเจียงเซ่อเข้ามาในบริษัทซื่อจี้หยินเหอแล้วจริงๆ น่ะหรือ

แต่ก็เพราะว่าไม่มีใครกล้าเข้าไปถาม แต่พอโม่อานฉีเข้ามาถึง ก็โดนสายตาหลายคู่จ้องมองมาทันที

บนชั้นที่ยี่สิบเก้าของบริษัท เจียงเซ่อเองก็เซ็นสัญญากับซื่อจี้หยินเหอมาตั้งหลายปีแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ขึ้นมาที่นี่ เลขาเดินนำเธอเข้าไปในห้องทำงานของลัวหยิ่น

ที่นี่เป็นห้องที่ถูกตกแต่งตกอย่างเรียบง่ายแต่กว้างขวางสมฐานะ ของตกแต่งและวัสดุต่างๆ เน้นไปที่สีเทาและดำ กระจกบานใหญ่ทำให้ห้องที่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เปิดไฟเลยนั้น กลับมีแสงสว่างส่องเข้ามาอย่างเพียงพอ

จากที่เจียงเซ่อสังเกตเห็นได้ คือชั้นวางหนังสือขนาดใหญ่ที่อยู่หลังโซฟา บนชั้นนั้นมีหนังสือตั้งเรียงไว้จนแน่น บนโต๊ะมีแก้วชาร้อนๆ สีขาวขุ่นตั้งเอาไว้ พอเจียงเซ่อและเซี่ยเชาฉวินมาถึง ก็เหมือนว่าจะมาทำลายบรรยากาศที่กำลังเงียบสงบของห้องลัวหยิ่นไปด้วย

“นั่งก่อนสิ”

ลัวหยิ่นคีบบุหรี่เอาไว้ มืออีกชี้ไปที่โซฟา ราวกับว่ากำลังต้อนรับเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอมาหลายปี ไม่ได้วางตัวเหมือนเป็นคนอื่นคนไกล และไม่เหมือนกับกำลังต้อนรับนักแสดงของบริษัท

เขาพับหน้านิตยสารลง แล้วขยี้ปลายบุหรี่ลงบนจานรอง ดึงทิชชู่เปียกขึ้นมาเช็ดมือของตัวเอง และยกชาดื่มเล็กน้อย จากนั้นก็เดินไปที่โซฟาเช่นกัน เขามองพิจารณาเจียงเซ่อเล็กน้อย จึงค่อยนั่งลง

“เสี่ยวเจียงเข้าบริษัทของเรามาห้าปีกว่าแล้วสินะ?”

เซี่ยเชาฉวินไม่ได้พูดอะไร เจียงเซ่อพยักหน้า แล้วยกยิ้มขึ้น

“ไม่คิดเลยว่าคุณลัวจะจำได้”

เธอต่อสัญญากับซื่อจี้หยินเหอไปสองครั้งแล้ว จริงๆ ก็ประมาณห้าปีกว่าได้แล้ว ถ้าหากว่าไม่มีอะไรผิดพลาด การที่ลัวหยิ่นเชิญเธอมาพบกันในวันนี้อาจจะเป็นเรื่องรายละเอียดสัญญาที่ทำให้เธอมีผลประโยชน์มากขึ้นก็ได้