webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

525-1

บทที่ 525-1 เจรจา

ในการถ่ายทำของลาร่าก่อนหน้านี้ หล่อนเองก็เคยได้ถ่ายฉากนี้ไปแล้วเหมือนกัน ตอนนั้นการแสดงออกของโดนัลด์ถือว่าดีแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ดูน่าตื่นเต้นและลุ้นระทึกเท่าตอนนี้เลย

นี่ไม่ใช่เพราะว่าโดนัลด์ไม่ได้ถูกทำให้คล้อยตามอารมณ์ไปด้วย ถ้าจะพูดให้ถูก ก็คือแม้แต่การเป็นพร็อบการแสดงที่ดีลาร่าก็ยังเป็นไม่ได้นั่นเอง

จุดสำคัญของฉากนี้ก็คือตัวโดนัลด์ เสียงตะโกนร้องของเขานั้นสามารถดึงดูดและโน้มน้าวให้เหล่าผู้คนหันไปสนใจและจ้องมองไปที่เขาได้ แต่เชี่ยซ่าเหลยก็สังเกตเห็นเจียงเซ่อที่ถูกมัดอยู่ด้านหลัง

เธอห้อยตัวอยู่บนสลิง ถูกห้อยไว้อยู่กลางอากาศ คงจะดูไม่ค่อยสบายตัวสักเท่าไหร่ ฉากๆ นี้ลาร่าเองก็เคยถ่ายมาก่อนแล้ว แต่สิ่งที่มันไม่เหมือนกับเจียงเซ่อ ก็คือตอนที่ลาร่าถ่าย ยังไม่ทันที่จะได้ถ่ายตอนถูกเผาก็ขอหยุดไปกลางคันเสียแล้ว

เพราะเชี่ยซ่าเหลยเองก็จดจำและให้ความสำคัญต่อฉากๆ นี้ไม่น้อย ท่าทางอารมณ์และการพูดของลาร่าเป็นอย่างไร เชี่ยซ่าเหลยเองก็จำได้ดีเช่นกัน

ตอนที่ถ่ายทำฉากนี้ เจียงเซ่อเองก็อยู่ในกองถ่ายด้วย พอเธอถ่ายฉากของตัวเองหมดแล้ว ก็พักผ่อนอยู่ในกองถ่ายเลย

ตอนที่ลาร่าถ่ายทำฉากนี้ ก็เหมือนว่าจะไม่มีครั้งไหนเลยที่สามารถผ่านไปอย่างราบรื่น หลายครั้งที่โดนเชี่ยซ่าเหลยด่า เจียงเซ่อเองก็ได้สังเกตการณ์อยู่ในกองถ่าย และได้เห็นลาร่าที่ต้องเริ่มถ่ายใหม่อยู่หลายรอบถึงจะผ่าน

ตอนแรกเชี่ยซ่าเหลยก็คิดว่า หลังจากที่เจียงเซ่อได้เห็นการถ่ายทำฉากนี้แล้ว และเคยได้เห็นลาร่าโดนเขาด่าขนาดนั้น ก็น่าจะเกิดความเจียมตัวอยู่แล้ว แต่ในวันนี้ในฉากเดียวกัน ในซีนและบทที่เหมือนกัน เธอก็ควรที่จะลอกเลียนแบบการแสดงของลาร่าในก่อนหน้านี้มาทั้งหมดสิ เพื่อที่จะได้ทำให้เชี่ยซ่าเหลยเกิดความพึงพอใจ

แต่เธอกลับเลือกที่จะแสดงท่าทีที่แตกต่างและไม่เหมือนกับที่ลาร่าเคยแสดงเอาไว้ ตอนที่ลาร่าถ่าย ท่าทางและอารมณ์ของหล่อนนั้นดูเศร้าโศกเสียใจสุดๆ ร่างกายหดงอและดิ้นไปมา แสดงความหัวดกลัวและกังวลของบริตนีย์ให้ได้เห็น และยังมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหัวดกลัวต่อความตาย

แต่มันกลับกันไปหมด เจียงเซ่อไม่ได้แสดงตามเหมือนที่หล่อนแสดงเอาไว้ แต่เธอกลับทิ้งตัวลงอยู่บนลวดสลิง ปล่อยให้ร่างกายของตัวเองผ่อนคลาย

เชี่ยซ่าเหลยสังเกตเห็นว่า อารมณ์ของเธอมันเริ่มจากความลนลาน และไม่สบายใจ แต่เมื่อโดนัลด์เริ่มท่องบทของตัวเองขึ้นมา เจียงเซ่อก็เหมือนกลายเป็นเด็กคนหนึ่งที่กำลังถูกกล่อม และสงบลงอย่างรวดเร็ว

และที่ทำให้เชี่ยซ่าเหลยรู้สึกประทับใจไปมากกว่านั้นก็คือ แววตาของเธอนั้นมันไม่ได้จ้องไปที่กลุ่มผู้คนตั้งแต่แรกเหมือนลาร่า แต่จดจ้องไปที่ตัวอังเดรแทน ทุกๆ ประโยคที่เขาตะโกนออกมา สีหน้าท่าทางของเธอก็เป็นเหมือนกับกลุ่มคนที่ยืนอยู่รอบๆ ที่เคารพนับถือ และมอบความเชื่อใจไว้ใจ ดวงตาคู่นั้นมันมีประกายออกมา พวงแก้มขึ้นริ้วแดง ราวกับว่าได้เจอกับที่พักพิงจิตใจแล้ว หลุดพร้อมจากความเจ็บปวดทางร่างกายทั้งหมดแล้ว

เห็นได้ชัดเลยว่า การเข้าถึงต่อตัวละครบริตนีย์ของเธอนั้น ไม่มีอะไรที่เหมือนกับลาร่าเลยแม้แต่นิดเดียว

ในฉากการแสดงตอนนี้ การแสดงของเจียงเซ่อนั้นไม่มีจุดไหนที่เหมือนของลาร่าเลย เธอเหมือนกับผู้ฟังที่ดีคนหนึ่งของอังเดร ที่ไม่ได้รีบร้อนที่จะเปิดเผยตัว แต่เป็นผู้ศรัทธราที่จงรักภักดีต่ออังเดรมากที่สุด

ในฉากๆ นี้ นอกจากกลุ่มตัวประกอบที่แสดงเป็นผู้ศรัทธราและผู้คนทั่วไป และขับให้อังเดรดูเด่นขึ้นมาแล้วนั้น การแสดงของเจียงเซ่อก็ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของอังเดรดูน่าเชื่อถือขึ้นอีกเป็นเท่าตัว

วินาทีนี้การแสดงออกของเจียงเซ่อในสายตาของใครหลายๆ คน คงไม่ได้ดูโดดเด่นเท่ากับการแสดงของลาร่าแน่ๆ แต่เชี่ยซ่าเหลยก็อดที่ยอมรับไม่ได้ว่า เจียงเซ่อนั้นมีความฉลาดมากกว่าลาร่ามากทีเดียว เธอเลือกใช้การแสดงที่แตกต่างกันออกไป ทำให้ยิ่งทำให้เขารู้สึกประทับใจมากกว่าเดิม

เธอเข้าใจและรู้ว่าตอนไหนควรที่จะแสดงศักยภาพตัวเองออกมา และตอนไหนควรที่จะเป็นแค่ ‘ตัวประกอบ’

ในตัวต้นฉบับ ตัวละครบริตนีย์ในเวลานี้ ทางคนแต่งไม่ได้ใส่รายละเอียดอะไรมากมาย แต่จะให้น้ำหนักความสำคัญกับตัวละครอังเดรมากกว่า เขียนถึงตอนที่เขาพยายามท่องบทสวดออกมา พูดถึงผู้คน และเขียนถึงความปรารถนาที่ซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและใจดี

ถึงแม้ว่าจะต้องอยู่ในสภาพที่ต้องตกเป็นเครื่องสังเวยเหมือนกัน แต่สิ่งที่บริตนีย์และเชอรีนไม่เหมือนกันก็คือ เธอโดนอังเดรหลอกมา กับอีกคนที่ยอมที่จะก้าวขึ้นแท่นประหารด้วยความเต็มใจ

ในตอนที่หมู่บ้านถูกข้าศึกยึด เป็นอังเดรที่เข้ามาช่วยเหลือเธอ เป็นคนยื่นมือมาให้เธอ ฉุดเธอออกมาจากความสิ้นหวัง ทำให้ในเบื้องลึกในจิตใจของเธอนั้นมองเห็นอังเดรเป็นที่พึ่งพิงและมีความเลื่อมใสศรัทธราต่อเขาอย่างแปลกประหลาด เธอเชื่อในสิ่งอังเดรพูดทุกอย่างอย่างหมดใจ หรือแม้แต่การที่เขาให้เธอเป็นเครื่องสังเวย เธอก็พร้อมที่ยอมรับและสละชีพให้

ดังนั้นในภายหลังหลังจากที่รู้ว่าอังเดรหลอกลวงเธอ จิตวิญญาณของเธอถึงค่อยๆ ด่ำดิ่งลง กลายเป็นปีศาจร้ายที่ไม่สามารถที่จะไปเกิดได้

เมื่อเทียบกับการแสดงของลาร่าแล้ว เจียงเซ่อถือว่าฉลาดกว่าหล่อนมาก เชี่ยซ่าเหลยมองดูใบหน้าของเด็กสาวที่เต็มไปด้วยความศรัทธราและเชื่อมั่นในกล้อง เขาเผลอกลั้นหายใจไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ขมวดคิ้ว

มือถือที่อยู่ในมือของผู้ช่วยของเขามันสั่นขึ้นมา ตอนนี้ที่แทนบูชากำลังจะถูกจุดไฟขึ้นแล้ว เด็กสาวที่อยู่ในกล้องตอนนี้ยังไม่มีบทพูด เธอยังคงแสดงเป็นแค่ตัวแสดงแทนของลาร่า แต่ทว่าการแสดงออกทางร่างกายของเธอนั้น มันกำลังแสดงออกให้เชี่ยซ่าเหลยเห็นได้อย่างชัดเจนว่าอยากจะลองแสดงเป็น ‘บริตนีย์’ มากแค่ไหน การแสดงของเธอนั้นมันใกล้เคียงกับอังเดรมาก ความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความปรารถนาและคาดหวังในชีวิต มันให้ความรู้สึกที่ลึกซึ้งเสียยิ่งกว่าอาการกลัวของลาร่าเสียอีก

การที่มีความเข้าใจในบทหนังมากกว่า ทำให้ตอนนี้มันจึงกลายเป็นจุดเด่นที่แข็งแกร่งมากสำหรับ เจียงเซ่อ เบื้องต้นเพียงแค่ไม่กี่นาทีที่เธอแสดงไป มันก็ดีกว่าที่ลาร่าแสดงเอาไว้มาก

การเป็นนักแสดงที่ดี ไม่จำเป็นที่จะต้องแบ่งสัญชาติ อายุจนรวมไปถึงรางวัล ลาร่าอาจจะเป็นนักแสดงที่มีฝีมือการแสดงที่โดดเด่น แต่ในฉากๆ เดียวกัน ที่ใช้นักแสดงคนละคนกัน กลับมีความแตกต่างให้เห็นได้อย่างชัดเจน

สิ่งที่ลาร่าแพ้ ไม่ใช่แค่เพียงเรื่องขี้ขลาดไม่กล้าถ่ายทำต่อ และไม่ใช่ปัญหาต่างๆ นาๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างที่ลาร่ากำลังถ่าย จนต้องทำให้สูญเสียความชอบและแรงสนับสนุนจากเชี่ยซ่าเหลยไป

ก็แค่คนๆ หนึ่งที่เห็นว่าเรื่องนี้มันเป็นแค่งาน เป็นแค่สิ่งที่ต้องทำให้เสร็จๆ ไป และใช้เวลามากไปหน่อยก็เท่านั้นเอง

“คุณเชี่ยซ่าเหลยครับ...” ผู้ช่วยที่อยู่ข้างๆ เรียกขึ้นมาด้วยเสียงเบาๆ เชี่ยซ่าเหลยปัดๆ มือ บอกให้เขาอย่าเพิ่งพูดอะไร

แจ็คที่ยืนมองจากที่ไกลๆ นั้นมองภาพนั้นอย่างร้อนรน และตอนนี้เชี่ยซ่าเหลยก็ได้ส่งสัญญาณให้ผู้เชี่ยวชาญทางด้านไฟเริ่มจุดไฟได้แล้ว

“คุณบอร์เจียโทรมาครับ เขาบอกว่ามีเรื่องสำคัญที่จะต้องคุยกับคุณ”

เชี่ยซ่าเหลยยังคงมองไปที่หน้าจอกล้องด้วยท่าทางที่จริงจังไม่น้อย

“อย่างเพิ่งขัดการถ่ายทำ บอกแครอลว่า รอให้ถ่ายฉากนี้จบก่อน แล้วเดี๋ยวฉันจะโทรกลับไปหาเอง” เขานิ่งไปครู่หนึ่ง ถึงค่อยละสายตาออกมาจากทั้งสองคนที่กำลังทำการแสดงกันอยู่

“ถึงตอนนั้นแล้วฉันเองก็มีเรื่องสำคัญที่อยากจะบอกเขาเหมือนกัน”

ตอนนี้ไฟถูกจุดขึ้นมาแล้ว โดนัลด์เริ่มท่องบทของตัวเองออกมาเร็วขึ้นเรื่อยๆ

ตอนนี้ที่ปลายขาของเจียงเซ่อนั้นมีไฟลุกขึ้นมาแล้ว คนข้างๆ ที่เป็นตัวนักแสดงแทนที่ถูกจับมาแขวนไว้ก็เริ่มที่จะดิ้นเพื่อแสดงความทุรนทุรายและเจ็บปวดออกมา แต่สิ่งแรกที่เธอแสดงออกมาคือการปล่อยวางและนิ่งเฉย ยังคงจ้องมองไปที่อังเดรโดยที่ไม่คิดจะมองไปทางอื่น ด้วยบทสวดที่อังเดรกำลังท่อง ทำให้เธอเริ่มที่จะสัมผัสได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง เมื่อคิดได้แล้วก็เบิกตากว้าง ใบหน้าเผยความตกใจและหัวดกลัวออกมา

เหมือนว่าเธอกำลังได้ยินเสียงบางอย่างที่อยากเกินกว่าจะจิตนาการถึงได้ ร่างทั้งร่างของเธอเริ่มที่สั่นสะท้าน ท่าทางของเธอดูเหมือนกำลังคิดถึงอะไรบางอย่าง จากนั้นก็เริ่มส่ายหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ

ฉากๆ นี้เจียงเซ่อไม่ได้เปล่งเสียงออกมาเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะกับรายละเอียดเล็กๆ ของความรู้สึกจากจิตใจที่ค่อยๆ แสดงออกมา เธอได้ยินเสียงสาปแช่งจากอังเดร ในใจของเธอมันกรีดร้อง และปะปนไปด้วยความโกรธแค้น

เปลวไฟเริ่มที่จะกลืนกินร่างของเธอ ใบหน้าของเธอที่อยู่ท่ามกลางแสงไฟนั้นบิดเบี้ยว วินาทีต่อมา เชี่ยซ่าเหลยก็ยกมือขึ้น เป็นสัญญาณว่าฉากๆ นี้ได้ถ่ายเสร็จสมบูรณ์แล้ว ถังดับเพลิงถูกเปิดและพ่นออกมา แป้งและละอองควันสีขาวเลอะไปทั้งตัวของเธอ