บทที่ 485 ยอมรับ
ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่เป็นการเสียดสีอย่างรุนแรง
อังเดรทำทุกวิถีทาง ใช้วิญญาณของเชอรีนในการอธิษฐานกับพระเจ้า หวังจะขึ้นเป็นพระสันตะปาปา แต่โอกาสเช่นนั้น จะต้องแลกด้วยชีวิตของเขา
ในสถานการณ์แบบนี้ แน่นอนว่าเขาไม่ยอมแพ้ บาทหลวงในโบสถ์หมดหนทางที่จะจัดการกับคาถาเหล่านี้ สิ่งที่อังเดรอธิษฐานกับพระเจ้าอีกครั้ง คือความเป็นอมตะ
เรื่องราวของ “นักโทษ” ได้เริ่มต้นขึ้นตรงนี้ แม้บทของเชอรีนจะมีไม่มากนัก แต่ความสำคัญไม่ต้องบอกก็คงจะรู้
การที่เชี่ยซ่าเหลยถามความคิดเห็นที่เจียงเซ่อมีต่อตัวละครที่ชื่อเชอรีนก็แน่นอนว่ากำลังถามความเข้าใจตัวเชอรีนจากเธอ เจียงเซ่อเรียบเรียงคำพูดครู่หนึ่ง
“ในความคิดของฉัน ตัวละครนี้คงจะมีความกล้าหาญจนไม่มีอะไรสามารถขวางไว้ เป็นหญิงสาวที่มีทั้งความบ้าคลั่งและความไร้เดียงสา”
เพราะฉะนั้น ในขณะที่เธอเผชิญหน้ากับสิ่งชั่วร้าย เธอจึงใช้ตนเองเป็นเครื่องมือในการสะกดพวกมันเอาไว้
“สำหรับคนที่ไม่ได้เข้ารีต เธอทั้งเย็นชาและโหดเหี้ยม สำหรับสหายในโบสถ์ เธอทั้งมีน้ำใจและเชื่อใจเป็นอย่างมาก” เพราะฉะนั้นเธอจึงยอมรับความช่วยเหลือจากอังเดร และเชื่อใจอังเดรอย่างไม่มีข้อแม้ จึงถูกหลอกลวงด้วยคำพูดของเขา
รวมทั้งบอกคาถาที่สามารถอธิษฐานกับพระเจ้าได้โดยไม่ทันระมัดระวัง จนท้ายที่สุดกลายเป็นเครื่องมือชิ้นแรกที่ทำให้อังเดรสามารถอธิษฐานกับพระเจ้าได้
“เธอเป็นผู้หญิงที่น่าสงสารคนหนึ่ง” ไม่ได้ตายในสงครามกวาดล้างพวกนอกรีต แต่กลับตายด้วยน้ำมือของพวกเดียวกัน สำหรับเชอรีนแล้ว ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นความเสียใจที่ยากจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม
“OK”
เชี่ยซ่าเหลยเผยรอยยิ้มออกมา “เจียง เธอทำการบ้านมาดีมาก ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มเรื่อง ‘นักโทษ’ตั้งแต่ตอนที่เชอรีนและอังเดรพูดถึงเรื่องคาถา”
เขาแสดงสัญญาณมือ สำหรับเจียงเซ่อแล้ว บททดสอบที่แท้จริงเริ่มขึ้นตั้งแต่วินาทีนี้
สิ่งที่ยากที่สุดคือไม่มีบทหนังและบทพูด เธอจะต้องคิดเอาเองทั้งหมด นอกจากเป็นการสอบด้านการแสดงแล้ว ยังทดสอบความสามารถเรื่องการรับมือกับสถานการณ์เฉพาะหน้า หากว่าเธอทำออกมาได้ไม่ดีหรืออึกอักเพราะคิดบทพูดไม่ออก การแคสติ้งครั้งนี้จะกลายเป็นเรื่องน่าตลกไปเลย
เชี่ยซ่าเหลยส่งสัญญาณให้กับผู้ช่วยที่อยู่ในบริเวณที่ไกลออกไป ในหนังเรื่อง ‘นักโทษ’ แม้ว่าเขาจะมีสิทธิ์เด็ดขาดในการเปลี่ยนบทพูด แต่ในการเลือกนักแสดง จะต้องมีเหตุผลไปอธิบายให้กับบริษัทผู้ลงทุน
เพราะฉะนั้น การแคสติ้งง่ายๆ ในครั้งนี้ก็ต้องบันทึกเอาไว้ เพื่อเป็นหลักฐานประกอบการตัดสินใจในภายหลัง
หลังจากเริ่มการแคสติ้ง เมื่อผู้ช่วยส่งสัญญาณมือ ‘OK’ เชี่ยซ่าเหลยมองเจียงเซ่อแวบหนึ่ง และพูดว่า
“เริ่ม”
ทันทีที่เขาพูดจบ สีหน้าของเจียงเซ่อก็เปลี่ยนไปทันที สายตาร้อนรนอย่างเป็นที่สุด
“อังเดร เธอรู้ไหม ฉันเคยพบกับพระเจ้าแล้วนะ”
เธอโน้มตัวไปข้างหน้า เสียงที่พูดแหบแห้งเล็กน้อย น้ำเสียงที่พูดกระวนกระวายและแฝงความตื่นเต้นจากใจจริงที่ยากจะเก็บซ่อนเอาไว้
“พระเจ้ามีตัวตนอยู่จริง และพระเจ้าอยู่ข้างเรามาโดยตลอด” เธอหายใจเข้าออกอย่างรุนแรง เพราะท่าทางที่ดูตื่นตระหนกของ ใบหน้าที่ขาวซีดในตอนแรกมีสีแดงเพิ่มเข้ามา และยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
“ตรงนี้ ตรงนี้ ตรงนี้”
เธอยื่นมือออกไปชี้กลางอากาศที่ไม่มีอะไรเลยหลายจุด และเดินไปมาอยู่กับที่
พลังหนึ่งคอยสนับสนุนเธอ ทำให้เธอเต็มไปด้วยพลังที่ใช้อย่างไรก็ใช้ไม่หมด วินาทีนี้ เจียงเซ่อเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
ไม่ได้สงบนิ่งและเย็นชาเหมือนในความคิดของเชี่ยซ่าเหลย และไม่ใช่คนที่น่ากลัวเหมือนจางยวี่ฉินใน ‘Evil’ และไม่ได้ดูงดงามโดดเด่นเหมือนใน 'The Occasion of Beiping' เธอเป็นสาวกผู้บ้าคลั่งคนหนึ่ง
เสียงของเธอฟังดูแหบแห้งและสะอื้นเล็กน้อย เจียงเซ่อในตอนนี้ไม่มีบทหนัง ไม่มีบทพูดที่ตายตัว ทุกอย่างจะต้องมาจากจินตนาการในตอนนั้น เชี่ยซ่าเหลยเคยดูหนังที่เธอแสดง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นเธอแสดงฝีมือการแสดงต่อหน้าตนเอง
“ครั้งนี้ตอนที่ฉันกวาดล้างพวกนอกรีตก็ได้รู้คาถามาท่อนหนึ่ง แค่ก แค่กๆ...” เธอกดเสียงให้ต่ำลง ดวงตาอันสว่างดูลึกซึ้ง ก้มหน้าลงมองพื้นที่ว่างโล่งตรงหน้า ราวกับตรงหน้ามีคนกำลังตั้งใจฟังเธอพูดอยู่จริงๆ
“มันสามารถทำให้เกิดปาฏิหาริย์ได้และบอกความปรารถนาของตนเองกับพระเจ้า แล้วความปรารถนานั้นจะกลายเป็นความจริง”
เชี่ยซ่าเหลยมามือลูบคาง ใบหน้าเผยความสนใจ
ข่าวในช่วงที่ผ่านมาของหัวเซี่ย มีการเปรียบเทียบเจียงเซ่อและเถาเฉิน จนกลายเป็นเรื่องใหญ่มากพอสมควร และสร้างความฮือฮาให้กับสื่อทางยุโรป เขาก็เคยได้ยินข่าวนี้เช่นกัน
ในฐานะที่เป็นผู้กำกับที่เคยร่วมงานกับเถาเฉิน เชี่ยซ่าเหลยมั่นใจในฝีมือการแสดงของเถาเฉิน
การแสดงของเจียงเซ่อในตอนนี้ เมื่อเปรียบกับเถาเฉินแล้ว เห็นได้ชัดว่าแตกต่างกัน ระยะเวลาที่ทั้งสองเข้าสู่วงการไม่เท่ากัน ประสบการณ์แสดงหนังของเถาเฉินหลากหลายกว่าเจียงเซ่อมาก
เธอสามารถเปลี่ยนอารมณ์ของตนเองได้ตามที่ต้องการ
แต่เซี่ยซ่าเหลยกลับไม่อาจไม่ยอมรับในความสามารถของเจียงเซ่อได้ แม้ว่าประสบการณ์การเปลี่ยนอารมณ์ของเธอยังเทียบกับเถาเฉินไม่ได้ แต่การควบคุมตัวละครของเธอทำให้เธอสร้างอารมณ์ของตนเองได้เป็นอย่างดี ทำให้เหมาะสมกับทุกบทบาทที่เธอแสดง
แต่ความกระตือรือร้นของเธอส่งผลกระทบต่อคนรอบข้าง อาจจะเพราะเวลา ในบางเรื่องเธอยังคงอ่อนกว่าเถาเฉิน แต่ด้วยอุปนิสัยแบบนี้ของเธอ กลับทำให้ผู้กำกับทุกคนที่ร่วมงานกับเธอล้วนชื่นชอบเธอ
หากในวันข้างหน้า เมื่อเธอเก็บเกี่ยวประสบการณ์มากพอแล้วและทำให้การฝีมือการแสดงของตนเองหลากหลาย เอาชนะสิ่งที่ตนเองยังขาด เธอจะต้องส่องแสงประกายได้มากกว่าตอนนี้แน่
ระหว่างที่เธอแคสติ้ง ปฏิกิริยาว่องไว บทพูดออกจากปากอย่างคล่องแคล่ว อารมณ์ส่งผลกระทบต่อตัวเธอ ในขณะเดียวกันก็ส่งผลกระทบต่อคนอื่น
เชี่ยซ่าเหลยถึงขั้นสังเกตเห็นว่า ความกังวลเรื่องใบหน้าชาวหัวเซี่ยของเจียงเซ่อของเขาในตอนแรก ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร
ตอนแรกเขาคิดว่าจะให้โอกาสเจียงเซ่อได้แคสติ้งบท ‘เชอรีน’ แต่ตอนนี้เขาเริ่มสงสัยการตัดสินใจของตนเอง ความสามารถแบบนี้ของเธอ หากผู้กำกับเห็นถึงนิสัยของเธอ เวทีแห่งการแสดงของเธอไปได้ไกลกว่านี้ ไม่เพียงแค่แสดงเป็นตัวละครตัวเล็กๆ ในหนังยุโรปเท่านั้น
ความคิดแบบนี้วนเวียนอยู่ในความคิดของเชี่ยซ่าเหลย เจียงเซ่อคุยกับ ‘อังเดร’ ที่ไม่มีตัวตน และบอกคาถากับเขา
ผู้ช่วยของเขาถือกล้องเอาไว้ มองเชี่ยซ่าเหลยแวบหนึ่ง เจียงเซ่อแสดงมาหกเจ็ดนาทีแล้ว แต่เชี่ยซ่าเหลยยังไม่สั่งให้หยุด
“เพราะอะไร เพราะอะไรอังเดร” วินาทีต่อมา มือทั้งคู่ของเจียงเซ่อกอดตัวเองเอาไว้อย่างไม่อยากจะเชื่อ แสดงให้เห็นว่าเธอได้เข้าถึงอีกความรู้สึกหนึ่งแล้ว ร่างกายของเธอดิ้นรน ใบหน้าไร้ซึ่งความกลัว แต่กลับมีเปลวเพลิงแห่งความโกรธปะทุขึ้น การแสดงของเธอในตอนนี้ แตกต่างจากความกระตือรือร้นก่อนหน้านี้ และรวมกับความโกรธบนใบหน้าของเธอ เธอกัดฟัน ความเจ็บปวดปะทุออกทางใบหน้าของเธอ
“OK”
เชี่ยซ่าเหลยดูถึงตรงนี้ ในที่สุดก็ส่งเสียง เจียงเซ่อที่ก่อนหน้านี้นั่งเกร็งอยู่โล่งอกและลุกขึ้นยืน จัดเสื้อผ้าของตนเอง
เธอออกจากตัวตนของ ‘เชอรีน’ และกลับไปเป็นสาวหัวเซี่ยผู้สง่าและงดงามอีกครั้ง