webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

449

บทที่ 449 ยิ่งใหญ่

เจียงเซ่อที่อยู่บนหน้าจอนั้น ไหล่ของเธอห่อตกลง หน้าผากเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ เวลาที่ถือกระเป๋าขึ้นก็ดูหอบเหนื่อย เหมือนกับว่ากำลังสื่อถึงนิสัยของตัวละครตัวนี้ออกมา ทั้งเหนื่อยล้าและปะปนไปด้วยความต่ำต้อย ความกดดันอันไร้รูปร่างแผ่มาจากแววตาและรอยยิ้มส่งผ่านมาถึงคนดูทุกคน

จ้าวร่างได้ใช้ฉากๆ นี้ที่มีความยาวเกือบจะสามสิบวินาทีในการสื่อถึงคำพูดและการกระทำของเธอ น้ำเสียงที่เธอใช้พูดคุยอยู่กับลูกค้า ท่าทางนอบน้อมและระมัดระวัง มือข้างหนึ่งของเธอจับที่จับบนรถไฟเอาไว้ ศีรษะพิงลงบนแขน และกำลังอธิบายอะไรบางอย่างกับลูกค้าอย่างตั้งใจ

ไม่ว่าจะมองมุมไหนเธอก็ยังเป็นเจียงเซ่อ แต่บุคลิกท่าทางนั้นได้เปลี่ยนไปเป็นอีกคนแล้ว หลังจากที่ ซูเพ่ยเอินเกิดความแปลกใจ ก็ค่อยๆ ค้นพบสิ่งที่แตกต่างกันระหว่างเจียงเซ่อที่เขาเห็นเมื่อครู่กับบนหน้าจอนี้ เธอที่อยู่บนหน้าจอนั้นดูผอมกว่าตัวจริงในระดับหนึ่ง การพูดจาและท่าทางของเธอเป็นไปตามบทของตัวละคร และมันก็มีแรงโน้มน้าวให้คนคล้อยตามไปได้มากเลยทีเดียว

ภาพเงาสะท้อนอยู่บนกระจกรถไฟ คือหญิงสาวคนหนึ่งที่มีรูปร่างผอมแห้งและเหมือนเป็นโรคหลังค่อม ท่าทางที่ไม่สนใจและเมินเฉยของคนรอบข้าง ยิ่งทำให้เห็นความเหนื่อยอ่อนของจางยวี่ฉินได้ชัดขึ้น

จาวยวี่ฉินเพิ่งจะวางสายไป ยังไม่ทันที่เธอจะได้ใส่มือถือลงกระเป๋าหนังที่เริ่มขาดของตัวเอง เสียงเรียกเข้าก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง

ระบบเสียงของห้องฉายหนังในเทศกาลหนังภาพยนตร์ของฝรั่งเศสนั้นถือว่าดีมากๆ หน้าจอก็มีความละเอียดคมชัด จนสามารถเห็นรายละเอียดเล็กน้อยต่างๆ บนใบหน้ารวมถึงอารมณ์ของตัวละครได้อย่างชัดเจน

หนังเรื่อง ‘Evil’ ของจ้าวร่างเรื่องนี้ ถือว่ามีการเก็บรายละเอียดได้อย่างดีไม่น้อย เขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเครื่องสำอางบนใบหน้าของจางยวี่ฉินที่แสดงโดยเจียงเซ่อนั้นเริ่มที่จะหลุดออกไปแล้ว แป้งคุณภาพต่ำที่เกาะตัวอยู่บนหางตา รอบปากและหน้าผาก เส้นผมที่จับตัวเป็นชั้นๆ เพราะชื้นเหงื่อ และเส้นผมที่ดูแห้งเสีย ต่างก็สื่อออกมาได้ดีว่าหญิงสาวคนนี้มีชีวิตอย่างไร

เจียงเซ่อแสดงออกมาได้ดีเสียยิ่งกว่าที่ซูเพ่ยเอินคาดคิดเอาไว้มาก จ้าวร่างไม่ได้ให้เธอพูดร้องตะโกนว่าตัวเองนั้นมีชีวิตที่ทุกข์ยากและเหนื่อยล้าเหมือนพวกคนเป็นโรคประสาท แต่ใช้ภาพการที่ให้เธอติดต่อกับลูกค้าแทนเพื่อแสดงถึงหน้าที่การงานและฐานะทางสังคมของเธอ

มันทำให้คนดูรู้สึกถึงความรู้สึกนั้นและคล้อยตามไปได้อย่างง่ายดาย และผลลัพธ์ของมันก็ดีกว่าการที่ให้เธอมาตะโกนบอกเรื่องของตัวเองเสียอีก

เสียงเรียกเข้ามือถือของจางยวี่ฉินดังขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้รอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นมาไม่ได้เหมือนกับรอยยิ้มที่คุยกับลูกค้าเมื่อครู่นี้แล้ว พอเธอยกมือถือขึ้นมา เธอก็ใช้มืออีกข้างลูบๆ จัดผมของตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง เมื่อเห็นชื่อที่โชว์อยู่บนหน้าจอแล้ว ท่าทางอารมณ์ของเธอก็เปลี่ยนเป็นดูอ่อนโยนขึ้นทันที

“จูจู”

ตอนที่เธอเรียกชื่อนั้นขึ้นมา น้ำเสียงของเธอก็นุ่มนวลและอบอุ่นราวกับว่าสามารถปล่อยไออุ่นออกมาได้

ถ้าหากจะบอกว่าท่าทางของจางยวี่ฉินในตอนแรกนั้นดูตายด้าน งั้นตอนที่คุยกับสายนี้ ก็กลับดูกระตือรือร้นและมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก

“คุณแม่คะ คุณแม่จะกลับบ้านกี่โมงหรือคะ? หนูทำการบ้านเสร็จเรียบร้อยแล้วนะเนี่ย......”

ปลายสายมีเสียงออดอ้อนอันแสนหวานดังออกมา จางยวี่ฉินตอบกลับให้ลูกสาวรออีกนิดหนึ่ง เพราะตัวเธอยังมีเอกสารอีกชุดที่ต้องเอาไปส่งให้กับลูกค้า จากนั้นเธอก็ถามถึงสามีของตนเอง แต่จูจูก็ตอบกลับมาว่าหลังจากที่คุณพ่อเลิกงานก็นัดไปร้านเหล้ากับเพื่อนแล้ว ยังไม่ได้กลับไปที่บ้านเลย

หนังเริ่มฉายไปได้ไม่กี่นาที แต่ก็สามารถเล่าสภาพการณ์และเรื่องราวทั้งหมดออกมาได้อย่างชัดเจน

ซูเพ่ยเอินเกิดความรู้สึกว่าตัวเองดูถูกจ้าวร่างและเจียงเซ่อมากเกินไปเสียแล้ว

เจียงเซ่อพูดบทของตัวเองออกมาได้ดีไม่น้อยเลย และมันก็เป็นตัวผลักดันการแสดงของเธอให้ดูดีมายิ่งขึ้นด้วย ร่างกาย คำพูด สีหน้าและรายละเอียดของอารมณ์ต่างๆ เธอแสดงออกมาได้เข้ากันมากๆ ทำให้ถึงแม้ว่าเธอจะต้องมาแสดงเป็นหญิงสาวที่ดูมีอายุและต้องมาอยู่ในสถานที่ที่ไม่เหมาะกับหญิงสาวแบบนี้ ก็ไม่ได้ทำให้ซูเพ่ยเอินรู้สึกว่ามันดูขัดๆ หรือแปลกตาอะไร

แต่สิ่งที่ทำให้ซูเพ่ยเอินรู้สึกแปลกใจก็คือ ความงดงามของเธอไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการแสดงตัวละครนี้ของเธอเลยแม้แต่น้อย หนังฉายมาแล้วกว่าห้านาที ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ซูเพ่ยเอินจะได้เห็นเจียงเซ่อแสดงบทบาทอื่นที่น่าประทับใจมาแล้ว แต่ความประทับใจในตัวละครจางยวี่ฉินกลับแทรกซึมเข้ามาในใจเขาอย่างรวดเร็ว

ที่ซูเพ่ยเอินเลือกมาดูหนังเรื่อง ‘Evil’ จริงๆ แล้วก็เป็นแค่ความคิดที่เพิ่งแวบขึ้นมา แต่พอได้ดูมาถึงตรงนี้แล้ว กลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่ามันน่าสนใจมาก เขายกขาขึ้นข้างหนึ่ง และขยับท่าทางให้นั่งสบายกว่าเดิม นักข่าวชาวต่างชาติหลายคนที่แบกอุปกรณ์กล้องต่างๆ เข้ามาเป็นกลุ่มเริ่มวางมือถือลงแล้ว เอนศีรษะไปมาเหมือนกับกำลังจะนอนอย่างไรอย่างนั้น เขาขมวดคิ้ว และได้แต่ถอนหายใจอยู่ในใจ

หนังเรื่อง ‘Evil’ นั้นเป็นหนังที่ฉายในภาษาหัวเซี่ย และด้านล่างก็มีซับไตเติ้ลเป็นภาษาอังกฤษอยู่ด้วย จะได้ทำให้ชาวต่างชาติดูได้รู้เรื่อง

แต่เนื่องจากวัฒนธรรม ภูมิหลังและภาษาของหัวเซี่ยและชาวตะวันตกไม่เหมือนกัน ทำให้บางทีรูปแบบการถ่ายทำหนังของหัวเซี่ย เป็นที่เข้าใจได้ยากของชาวต่างชาติ

กลุ่มคนเหล่านั้นเหมือนกับว่าแค่อยากจะหาที่เงียบๆ นอนเสียมากกว่า เหล่าสื่อข่าวทั้งหลายที่ต้องมาทำข่าวเทศกาลหนังภาพยนตร์ในเกือบครึ่งเดือนนี้คงจะยุ่งกันไม่น้อย งานเทศกาลหนังภาพยนตร์เริ่มได้ไม่กี่วัน ห้องฉายหนังแต่ละห้องก็เต็มไปด้วยผู้ชมแล้ว

ผู้ชมบางส่วนที่ไม่สามารถเข้าไปในห้องฉายหนังที่อยากดูได้ก็จะถือโอกาสเข้ามาในห้องฉายหนังที่คงไม่มีทางได้รับความสนใจแทน เพื่อเลือกที่เงียบๆ และนอนหลับอย่างสบาย พักร่างกายให้มีชิวิชีวาและรอให้หนังที่ตัวเองอยากดูหรือหนังของผู้กำกับที่น่าสนใจเหลือที่นั่ง แล้วค่อยไปดู

ภาพแบบนี้กลายเป็นสิ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับเทศกาลหนังภาพยนตร์ของฝรั่งเศสไปเสียแล้ว ในฐานะที่ซูเพ่ยเอินมาที่นี่หลายครั้งจนเป็นคนเก่าคนแก่ไปแล้ว เขาจึงรู้ถึงนิสัยของคนเหล่านี้ดี

ถึงแม้ว่าตัวเขาไม่ชอบภาพแบบนี้สักเท่าไหร่ แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปก้าวก่ายคนเหล่านั้น และอย่างไรเสียกลุ่มสื่อชาวต่างชาติเหล่านั้นก็แค่มาพักสายตากันเงียบๆ ไม่ได้เข้ามานั่งเล่นมือถือกันในขณะที่หนังฉาย และไม่ได้ส่งเสียงหรือทำอะไรที่เป็นการรบกวนคนรอบๆ ข้าง ก็ถือว่ายังรู้จักวางตัวกันอยู่บ้าง

ซูเพ่ยเอินพยายามระงับความไม่พอใจของตัวเองลง จากนั้นก็หันไปให้ความสนใจกับหนังตรงหน้าอีกครั้ง

หนังของจ้าวร่างมีจังหวะและมุมกล้องการถ่ายทำที่ดูก็รู้ว่าผ่านประสบการมาอย่างโชกโชน เขาทำให้คนดูพอที่จะรู้จักตัวละครจางยวี่ฉินได้ ไม่นานนักน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นในยามที่เธอพูดคุยกับลูกสาวก็ค่อยๆ เบาลง

“จูจู”

และตอนนี้เองที่บนหน้าจอมีตัวหนังสือชื่อเรื่อง ‘Evil’ ปรากฏขึ้นมา เป็นตัวหนังสือที่ดูไม่เหมาะกับภาพฉากเมื่อครู่เลยสักนิด และมันก็ทำให้คนดูรู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังสั่นทั้งๆ ที่ไม่ได้รู้สึกหนาว กับรอยยิ้มอันอบอุ่นบนใบหน้าของจางยวี่ฉิน ก็ทำให้รู้สึกแปลกประหลาดใจ

การหักมุมที่ใหญ่ขนาดนี้ ไม่เพียงแค่ทำให้ซูเพ่ยเอินต้องเลิกคิ้วขึ้นเท่านั้น เพราะแม้แต่เหล่านักข่าวทั้งหลายที่เหมือนกำลังจะพักสายตาก็ต้องหันไปมองบนหน้าจอ แล้วพากันกระซิบกระซาบ

ตามเสียงดนตรีประกอบหนังที่เดี๋ยวก็ดังเดี๋ยวก็แผ่วลง ในที่สุดจางยวี่ฉินก็แบกร่างที่วิ่งวุ่นทำงานจนเหนื่อยล้ามาทั้งวันกลับมาถึงบ้าน เธอเดินมาถึงหน้าประตูบ้านที่เย็นเฉียบและมันถูกเปิดเอาไว้อยู่ครึ่งหนึ่ง ในบ้านไม่มีแม้แต่แสงไฟ เธอร้องเรียก ‘จูจู’ ขึ้นมา แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับจากลูกสาวเลย

จูจูหายไป! สามีของเธอยังคงดื่มเหล้าเมาหัวราน้ำอยู่ที่บาร์ และตอนนี้นี่เองที่ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังของจางยวี่ฉินได้ปรากฏสู่สายตาคนดูทุกๆ คน

ลูกสาวหายตัวไป สำหรับจางยวี่ฉินแล้วมันเหมือนกับว่าชีวิตนี้ได้ถูกทำลายไปแล้ว เธอเริ่มที่จะนอนไม่หลับติดกันหลายวัน และแน่นอนว่าไม่มีกะจิตกะใจที่จะทำงานอีก เธอเดินไปทั่วทุกที่ที่คิดว่าน่าจะเจอลูกสาวตัวเอง เธอเดินหาไปทั่วหมู่บ้านและทั่วเมือง

ทุกๆ วันเธอจะหอบเอารูปภาพของลูกสาวตัวเอง ตามหาจูจูไปทั่วทุกซอกทุกมุม

พอดูถึงตรงนี้แล้ว เถาเถาที่นั่งดูอยู่ก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาเป็นอย่างมาก

ก่อนหน้านี้ตอนที่เธอนั่งลง ในใจก็ยังเอาแค่คิดว่าอยากจะดูหนังให้จบเร็วๆ และจะต้องไปขอถ่ายรูปกับเจียงเซ่อให้ได้ แต่ตั้งแต่ที่หนังเรื่อง ‘Evil’ เริ่มฉาย หล่อนก็ไม่ได้นึกถึงเรื่องพวกนี้อีกเลย