webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

407

บทที่ 407 เคยชิน

เฝิงจงเหลียง ยังคงชมเชยเผยอี้ เจียงเซ่อเข้าใจแล้วว่าทำไมเผยอี้ถึงละล้าละลังไม่ยอมพูดเหตุผลในการฝึกซ้อมกับเธอ

การฝึกซ้อมแบบนี้อันตราย มิน่าล่ะ วันนั้นที่ห้างสรรพสินค้า ผู้เฒ่าเผยถึงโทรศัพท์มาตำหนิเขา

เฝิงจงเหลียง พูดว่า 'การแสวงหาความร่ำรวยและเกียรติยศย่อมต้องเสี่ยง ' แต่เธอกลับกังวลกับความปลอดภัยของเขา ห่วงใยเขา

เธอเงียบไม่ได้พูดอะไร ตอนที่กลับมา เสี่ยวหลิวบอกเธอว่าแม่บ้านหวังเตรียมอาหารเย็นพร้อมแล้ว เธอล้างมือ หยิบผ้าเช็ดหน้าเช็ดคราบน้ำ กริยาท่าทางของเธอดูตั้งใจและละเอียดรอบคอบ สุดท้ายเธอก็เอาครีมทามือออกจากถุง

เซี่ยเชาฉวิน ให้ความสำคัญกับผิวพรรณของเธอทุกกระเบียดนิ้ว กำชับแล้วกำชับอีกถึงรายละเอียดในการใช้ชีวิตประจำวันของเธอ พอนานวันเข้าก็เลยกลายเป็นความเคยชินไป

“ทำไมเงียบไปล่ะ”

   ถึงแม้เวลาก่อนที่เธอจะเข้ามาจะใช้เวลาเพียงแค่ครู่เดียว แต่ตระกูลเฝิงมีพ่อครัวโดยเฉพาะ พ่อครัวเลยทำกับข้าวสี่อย่างน้ำซุปหนึ่งอย่างมาให้เธอ

   แต่ละมื้อมีความพิถีพิถันมาก แต่จำนวนกลับไม่มากนัก จริงๆ เฝิงจงเหลียงกินเย็นแล้ว แต่กลัวว่าเธอรู้สึกประหม่า เลยให้คนใช้ไปนำถ้วยกับตะเกียบมา แล้วนั่งลงกินเป็นเพื่อนเธอ

  "หนูกังวลนิดหน่อยค่ะ คุณปู่คิดว่าการฝึกซ้อมนี้มันอันตรายไหมคะ?"

  เธอถือตะเกียบอยู่ แล้วเอ่ยถามขึ้นมา เฝิงจงเหลียงส่ายหัว

  "คนเราใช้ชีวิต ก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรสบายๆ อยู่แล้ว ก็เหมือนกับที่ฉันมีลูกชายหลายคน ก็ไม่เห็นมีใครจะได้เรื่องสักเท่าไร แต่ก็ยังอยากจะแก่งแย่งอำนาจในบริษัทกัน เพราะกลัวตัวเองจะต้องเสียเปรียบ"

  ตอนที่เขาพูดคำเหล่านี้ เขายิ้มเล็กน้อย ทำให้เจียงเซ่อรู้สึกแย่มากยิ่งขึ้น

   คำพูดเหล่านี้ ก่อนที่เธอยังไม่เกิดใหม่ เฝิงจงเหลียงไม่เคยพูดกับเธอมาก่อน หลังจากเกิดใหม่ อาจจะเป็นเพราะทัศนคติของเธอเปลี่ยนไป รู้สึกว่าคุณปู่ไม่ได้ดูดุและไม่น่าเข้าใกล้เหมือนอย่างที่เธอจินตนาการเอาไว้แล้ว ภายในของเปลือกนอกที่ดูจริงจังถือดีนั้น จริงๆ แล้วเป็นคนที่โดดเดี่ยว เป็นเพียงคนแก่ที่กลัวความเหงาคนหนึ่งเท่านั้นเอง

ดวงตาของเธอเบิกกว้าง อ่อนโยนและใสบริสุทธิ์ ไม่ทันได้พูดอะไร ดวงตาก็เริ่มแดงขึ้นมา

“เด็กโง่” เฝิงจงเหลียงมองเธอที่เป็นแบบนี้ ก็เม้มปากแล้วยิ้มออกมา แววตาดูอ่อนแสงลง 

"อาอี้ ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว สิ่งที่เขาทำ เขาแยกแยะได้และรู้ว่าอะไรควรไม่ควร ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เขาตัดสินใจทำลงไป ล้วนเป็นเขาที่จะแบกรับผลที่ตามมานั้นเอง"

ไม่รู้เป็นเพราะแววตาของเจียงเซ่อรึเปล่า ที่ทำให้เฝิงจงเหลียงรู้สึกซาบซึ้ง เขาเรียกแม่บ้านหวังมารินเหล้า

มีเหล้าบำรุงร่างกายหลากหลายชนิดดองอยู่ในบ้าน เพียงแต่เฝิงจงเหลียงยิ่งอายุมากยิ่งต้องควบคุม ไม่ค่อยจะชนแก้วดื่มเหล้าแล้ว วันนี้คงจะเป็นเพราะเขาเกิดอารมณ์ดีขึ้นมาอย่างยากจะมีสักครั้ง

  เหล้าพุทราแดง ส่งกลิ่นหอมของสมุนไพรออกมา เขาชี้ไปที่จอกเหล้าแล้วพูดว่า

  "โสมป่าที่อยู่นี้ เป็นสิ่งที่ปู่ขุดเจอด้วยตัวเองที่ภูเขาฉางไป๋ซาน"

  หลายปีก่อน ตอนเขาเข้าร่วมกองทัพปฏิวัติ เขาเคยประจำการที่ภูเขาฉางไป๋ซาน

  “ปีนั้น ปู่เพิ่งจะแต่งงานได้ไม่นาน กองทัพที่รุกรานได้ระเบิดทางรถไฟของมณฑลหัวจี๋ อ้างว่าถูกโจมตี จนยึดมณฑลหัวจี๋ได้” หลังจากนั้นมณฑลหัวจี๋ ก็ถูกข้าศึกยึดได้ ถือได้ว่าเป็นเสียงปืนนัดแรกของกองทัพญี่ปุ่นในหัวเซี่ยเลยก็ว่าได้ และเป็นการเปิดฉากที่กองทัพญี่ปุ่นโจมตีหัวเซี่ย ในตอนนั้นสงครามเกิดได้ทุกเมื่อ

  เฝิงจงเหลียงที่อายุยังน้อย เข้าร่วมในกองทัพซึ่งเป็นภารกิจอันพึงปฎิบัติโดยไม่สามารถบอกปัดได้ เขาอำลาภรรยาของเขาแล้วรีบเดินทางไปที่หัวจี๋

  "ในตอนนั้น เป็นเรื่องทุกข์ยากแสนเข็ญ ไม่ว่าที่ไหนล้วนมีแต่กองทัพผู้รุกรานรายล้อม เราเคลื่อนไหวได้แค่ใต้ดินเท่านั้น" เขาพูดออกมาเรื่อยๆ ยิ่งพูดอารมณ์ก็ยิ่งขึ้น จนใบหน้าเริ่มกลายเป็นสีแดง

  "มีอยู่ครั้งหนึ่ง เราถูกล้อมเขาฉางไป๋ซาน หลายวันหลายคืน ไม่มีเสบียงอาหารเหลือให้กิน เลยต้องขุดผักมาเคี้ยวกินประทังชีวิต ไม่กล้าที่จะก่อไฟ เพราะกลัวจะถูกพบร่องรอยเข้า" ในเหตุการณ์แบบนั้น เขาก็ขุดเจอโสมสองหัว แต่กลับตัดใจกินมันไม่ลง

  คิดว่าเขาน่าจะเริ่มเมาแล้ว บรรยากาศค่อนข้างดี เขาจึงพูดออกมาเรื่อยๆ

  “คุณย่าของหนูน่ะสุขภาพไม่ค่อยดี ปู่คิดตลอดว่าจะนำเจ้าสิ่งนี้กลับมาให้เธอ ปู่เคยถามหมอ เพื่อดูว่าจะเอามาให้เธอบำรุงได้ยังไงบ้าง”

  เขาเริ่มไม่มีสติแล้ว ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่ แต่คนฟังอย่างเจียงเซ่อกลับฟังอย่างสนอกสนใจ

  “หลังจากนั้นละคะ”

  ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าเรื่องปีนั้นก็ผ่านไปแล้ว แต่เมื่อเธอฟังเฝิงจงเหลียงพูดถึงเรื่องวันเก่าๆ ที่ผ่านมาพวกนี้ ก็กลับยังกังวลแทนเขาอยู่ดี

   เขายิ้มและมองไปที่ใบหน้าที่วิตกกังวลของเจียงเซ่อ ทั้งๆ ที่ใบหน้านี้้ ไม่เหมือนกับเฝิงหนานเลยสักนิด รูปร่างต่างกัน อายุก็ต่างกัน ชื่อก็แตกต่างกัน แต่ในช่วงเวลาที่มึนงง เขากลับรู้สึกว่าคนที่นั่งอยู่ต่อหน้าตัวเอง เหมือนเฝิงหนานผู้เป็นหลานสาว ที่คอยนั่งฟังเขาพูดถึงเรื่องเก่าๆ ที่ผ่านมาของตนอย่างว่าง่ายอย่างไรอย่างนั้น

เฝิงจงเหลียงสะบัดหัว เห็นเธอถือตะเกียบ ข้าวตรงหน้ายังไม่ได้แตะเลยสักนิด เขาก็นิ่งไปแล้วพูดต่อ

   “กินไปฟังไปสิ! กับข้าวเย็นหมดแล้ว”

เธอรับคำ ก้มหน้าก้มตากินข้าว แต่สายกลับยังมองไปที่เขาอยู่ ท่าทางแบบนั้นทำเอาเฝิงจงเหลียงยิ้มออกมา

   “หลังจากนั้นนะ ปู่กลับดวงดี ที่ยังรักษาชีวิตไว้ได้” เขาตีขาทั้งสองข้างของเขา “และนำโสมกลับมา ตอนแรกจะให้คุณย่าของหนูใช้ แต่เธอเสียดายที่จะใช้มัน ท้ายที่สุดก็เลยแอบมาหยิบดองเหล้าให้ปู่ซะเลย”"

  ก่อนหน้านี้ เฝิงจงเหลียง ไม่เคยเล่าเรื่องเหล่านี้ให้ลูกหลานฟังเลย เจียงเซ่อจึงไม่เคยรู้มาก่อนว่า ระหว่างคุณปู่กับคุณย่าจะมีความรู้สึกที่ดีอย่างนี้ตอนยังหนุ่มสาว

ไม่น่าล่ะ คุณย่าเฝิงจากไปเร็วมาก แต่เฝิงจงเหลียงกลับไม่ได้แต่งงานใหม่กับใครเลย

  ลูกพี่ใหญ่ที่ฮ่องกงแต่งภรรยาน้อยมากมาย แต่เขากลับไม่เคยมีความคิดแบบนี้เลย เขาทำธุรกิจก็ทำอย่างซื่อสัตย์ ข่าวลือซุบซิบพวกนี้ก็ไม่เคยมีให้ได้ยิน

  เจียงเซ่ออดไม่ได้ที่จะอิจฉาคู่ทุกข์คู่ยากคู่นี้ เฝิงจงเหลียงไม่เหมือนกับพวกวัยรุ่นที่ชอบพูดคำรักอยู่ตลอดเวลา แต่ถึงอย่างนั้นความจริงใจระหว่างสามีภรรยา กลับแสดงออกมาผ่านคำพูดหมดแล้ว

  เขาจำได้ว่าโสมป่าที่เขาขุดมาได้ เขาอดทนที่จะไม่กินมัน เอามันเดินทางรอนแรมกลับมาเพื่อบำรุงร่างกายให้เธอ แต่เธอกลับเอาแต่เป็นห่วงเขาเลยเอาโสมป่านี้ไปดองเหล้าให้เขาแทนซะอย่างนั้น

“ผู้หญิงล้วนเป็นอย่างนี้ ขี้กังวล คิดมาก กลัวปู่จะได้รับบาดเจ็บกลับมา ชอบคิดไปเอง” พูดถึงตรงนี้ แววตาก็นุ่มนวลลง “ก็เหมือนกับหนูนั่นแหละ”

เขาไม่ได้คุยเรื่องภรรยาที่จากไปกับใครมานานเท่าไหร่แล้วนะ? เสี่ยวหลิวยืนมองฉากนี้จากที่ไกลๆ ด้วยความรู้สึกมากมายที่ประดังเข้ามา

   ปู่หลานภายใต้แสงไฟพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน เมื่ออยู่ต่อหน้าหลาน เฝิงจงเหลียงจะพูดถึงเรื่องราวเก่าๆ น้อยมาก กลับไม่เหมือนคุยกับเจียงเซ่อในตอนนี้ ถ้าเธอคือคุณหนูเฝิงหนาน เป็นหลานสาวของเฝิงจงเหลียง มันจะดีสักแค่ไหนกันนะ?

“จริงสิ ช่วงนี้ปู่เรียนสลักหิน กลับทำให้ปู่หาความรู้สึกเมื่อหลายปีก่อนเจอ ” เฝิงจงเหลียง ดูมีความสุขที่ได้พูดเรื่องนี้ สีหน้าดูพึงพอใจ 

เขาดื่มเหล้าไปไม่น้อย เริ่มรู้สึกมึนแล้ว เหล้านั้นดองมาหลายปี ดีกรีแรงไม่น้อย ตอนที่เขาพูดก็เริ่มพูดไม่ค่อยชัดแล้ว

   “วันข้างหน้า ถ้าหนูมีเวลา ก็มาสลักหิน ขัดหินให้ปู่สิ หินเถียนหวงที่หนูให้ปู่มาจะแกะเป็นอะไรดีละ? ”

“หนูว่า ไม่สู้แกะเป็นชื่อของคุณปู่ดีกว่าไหมคะ” เจียงเซ่อเสนอความคิด เธอกินข้าวหมดแล้ว กำลังดื่มซุปไก่ที่แม่บ้านหวังตักให้ ซุปนั้นอุดมไปด้วยสารอาหาร ตอนที่ตั้งไฟเคี่ยวนั้นก็ใส่สมุนไพรลงไปนิดหน่อย ตอนดื่มเข้าไปก็รู้สึกได้ถึงรสชาติน้ำซุปเข้มข้นที่ติดอยู่บนริมฝีปาก

   “บางครั้งคุณปู่ชอบวาดรูปไม่ใช่เหรอคะ งั้นก็ สลักเป็นตราประทับสักอันเป็นไงคะ พอวาดเสร็จ ก็ชุบหมึกสีแดง แล้วค่อยสลักลงไปบนนั้น”

“เยี่ยมเลย!” เฝิงจงเหลียงตบหน้าขา พร้อมกับพยักหน้า

   “ความคิดนี้ไม่เลว เอาอักษรอะไรดีล่ะ”

เจียงเซ่อ เอียงศีรษะครุ่นคิด แล้วพูดว่า “อักษรเสี่ยวจ้วนของฉินเป็นอย่างไรคะ”

   ตอนเธอพูด เธอยื่นมืออกไปเขียนชื่อของเฝิงจงเหลียงที่โต๊ะ

  เฝิงจงเหลียงไล่สายตามองท่าทางของมือเธอที่ยังคงเขียนอยู่ที่โต๊ะ ตอนเขียนถึงคำว่าจง (中) มีส่วนไม่ถูกเล็กน้อย เขายื่นมือข้างหนึ่งตบโต๊ะ

   “เขียนผิดแล้ว! บอกตั้งหลายครั้งแล้วว่า ลำดับขีดก่อนหลังของ คำว่า ‘โข่ว’ (口) ไม่ใช่แบบนี้ ตั้งแต่เล็กจนโต สอนไม่เคยจำสักที!”

   เขาคงเลอะเลือนแล้ว ที่คิดว่าเจียงเซ่อเป็นเฝิงหนาน

   การเขียนของเฝิงหนานล้วนเป็นสิ่งที่เขาสอนทั้งนั้น เธอเขียนตัวอักษรเป็นระเบียบตั้งแต่เด็กๆ แต่กลับมีนิสัยหนึ่งที่แก้ไม่หาย

   ตอนที่คนอื่นเขียน คำว่า ‘โข่ว’ ต่างก็ขีดแนวตั้งข้างซ้ายก่อน แล้วค่อยขีดเส้นตรงจากซ้ายไปขวาต่อด้วยบนลงล่าง แล้วลากเส้นตรงจากซ้ายไปขวาปิดท้าย ถึงจะได้ตัว ‘โข่ว’ การฝืนธรรมชาติของเฝิงหนานก็คือ เธอมักจะเขียนเหมือนเป็นเลขศูนย์ประจำ เริ่มตั้งแต่การขีดเส้นตรง แล้วขีดเส้นจากล่างวนขึ้นบน จนกลายเป็นตัว ‘โข่ว’ที่ไม่ค่อยถูกต้องเท่าไหร่

   เฝิงจงเหลียงบอกเรื่องนี้กับกับเธอตั้งหลายครั้งแล้ว ครั้งนี้ฟัง ครั้งต่อไปก็เหมือนเดิม

   เจียงเซ่อหดมือทันที เสี่ยวหลิวคิดว่าเขาเริ่มอารมณ์ไม่ดีแล้ว คาดว่าเขาดื่มจนเมาแล้ว จึงรีบมาประคองเขาก่อน

  แก้วเหล้าดองบนโต๊ะ มีประมาณครึ่งนึง แต่ตอนนี้ลดลงมากแล้ว

  “คุณท่าน คุณท่านเมาแล้วนะครับ”

  เสี่ยวหลิว รีบมาประคองเขาลุกทันที แต่เขาก็ยังตะโกนออกมาว่า

  “ฉันไม่ได้เมา เธอว่าฉันเมาเหรอ ฉันยังมีสติดีทุกอย่าง”

คนที่ดื่มจนเมาจะไม่มีสติแล้ว คำพูดแบบนี้ปกติเฝิงจงเหลียงจะไม่มีทางพูดเด็ดขาด เขาเบิกตากว้าง ยืนกรานไม่ยอมรับคำพูดของเสี่ยวหลิว ที่ส่ายหัวไปมาแล้วพูดว่าไม่เมาแบบนี้แสดงว่าเมาแล้วแน่นอน

   เฝิงจงเหลียงเมาแล้ว เจียงเซ่อก็ไม่อยากรั้งอยู่ต่อ

  เธอจึงช่วยคนรับใช้ตระกูลเฝิงแบกเขาขึ้นไปชั้นบน ล้างหน้าบ้วนปาก พาเอนตัวลงแล้ว เจียงเซ่อถึงลุกขึ้นขอตัวลา

   เฝิงจงเหลียงนอนไปครั้งนี้ ตีสามตีสี่ถึงจะตื่นขึ้นมา

  ช่องลมของแอร์ที่อยู่กลางห้องค่อยๆ แผ่ความเย็นออกมาทีละน้อย บนร่างเขาห่มผ้าห่ม ภายในปากก็แห้งเหลือเกิน

  เหล้าที่เขาดื่มเข้าไปช่วงเย็นเป็นเหล้าชั้นเยี่ยม หลังดื่มไปแล้วก็ไม่รู้สึกปวดหัวเท่าไหร่นัก เขาลุกขึ้นหมุนปุ่มเปิดโคมไฟ ตู้ข้างหัวเตียงมีน้ำอุ่นวางไว้อยู่แก้วหนึ่ง เสี่ยวหลิวน่าจะว่าทิ้งไว้ ยังคงมีน้ำอุ่นอยู่ภายใน คงรู้ว่าเขาตื่นมาแล้วจะอยากดื่มน้ำ

  เฝิงจงเหลียงรู้สึกว่ามีบางอย่างยังคลุมเครือไม่ถูกต้อง เหมือนกับว่าลืมอะไรบางสิ่งที่สำคัญไป

  แล้วมันเรื่องอะไรกันแน่ละ เขามือข้างหนึ่งหยิบแก้ว พลางยกมืออีกข้างลูบหัว เพราะเพิ่งตื่น ก็เลยยังมึนๆ อยู่ ตอนที่ยังมึนๆ งงๆ ก็เลยยังจำอะไรไม่ค่อยได้

  จำได้แค่เมื่อวานเจียงเซ่อมา เขามีความสุขมากกว่าเคย และยังดื่มเหล้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คุยเรื่องสัพเพเหระที่ผ่านมาแล้วกับเธอ

  เฝิงจงเหลียงคิดถึงตรงนี้ ก็ยิ้มขึ้นมา เขากุมแก้วน้ำยกขึ้นจิบ ปกติเรื่องราวเก่าๆ เหล่านี้เขาไม่เคยพูดที่ไหนมาก่อน พวกลูกหลานก็ไม่มีเวลามานั่งฟังเรื่องเหล่านี้ของเขาหรอก บรรดาลูกชายกลัวว่าก็คงจะอยากรู้แต่เพียงว่าวิสาหกิจจงหนานในวันข้างหน้าจะจัดสรรปันส่วนหุ้นกันอย่างไร และใครจะมารับช่วงต่อวิสาหกิจจงหนานต่อเท่านั้น

  พวกหลานชายหลานสาวก็ไม่ต้องพูดถึง ต่างห่างเหินกันมาก มีเพียงเฝิงหนานคนเดียวที่อยู่ข้างตัว แต่หลายปีมานี้กลับเปลี่ยนไปราวกลับไม่รู้จักกัน

  โชคดีที่เขายังมีเจียงเซ่อหลานสาวที่น่าเอ็นดูอีกคน แม้ไม่ใช่ญาติ แต่ก็ราวกับเป็นหลานสาวแท้ๆ เลยทีเดียว

  แล้วมันเรื่องสำคัญอะไรกันแน่ละ ที่ลืมไป เขาขมวดคิ้วอย่างสับสนเล็กน้อย รู้สึกว่าคนที่อายุมาก ความจำก็ไม่ค่อยจะดีแล้ว

  เขาเหมือนโกรธอะไรเจียงเซ่อสักอย่าง เสี่ยวหลิวเลยเข้ามาห้ามปรามเขา เขายังเสียงดังโวยวายอยู่ครู่หนึ่งด้วย

  แต่เด็กคนนั้นว่านอนสอนง่ายมาโดยตลอด จะมีเรื่องอะไรที่ทำให้เขาโกรธกันล่ะ เฝิงจงเหลียงคิดไปสักพัก คิดจนปวดหัวไปหมด เขาสะบัดผ้าห่มเพื่อที่จะลงจากเตียง แสงไฟที่สว่างอยู่ภายในห้อง คาดว่าทำให้เสี่ยวหลิวมองเห็น เขาเคาะประตู หลังจากที่เฝิงจงเหลียงอนุญาตให้เข้ามา เมื่อเห็นท่าทางเขาอยากจะลุกขึ้น ก็รีบหารองเท้ามาให้เขา

“เมื่อคืนวาน ท่านดื่มจนเมา ทำไมถึงตื่นเช้าขนาดนี้ละครับ งีบอีกสักครู่เถอะครับ”

  เฝิงจงเหลียงยังนึกถึงเรื่องเมื่อคืนวานอยู่ตลอดเวลา คิดอยู่ตั้งนานก็คิดไม่ออก เขาถามเสี่ยวหลิวว่า

  “ฉันจำได้ว่า เมื่อคืนวานฉันได้โกรธอะไรหรือเปล่า”

  “ครับ” เสี่ยวหลิวพยักหน้า “ตอนแรกท่านคุยไปยิ้มไปกับคุณหนูเจียงเซ่ออยู่เลย แต่อยู่ๆ กลับโกรธเธอขึ้นมา ตำหนิเธอเหมือนเธอเป็นคุณหนูเฝิงหนาน บอกว่าเวลาเขียนอักษรก็สอนตั้งหลายครั้งแล้วแต่ไม่ยอมปรับปรุงแก้ไขสักที......”