webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

405

บทที่ 405 เอาชีวิต

  ณ ห้องหนังสือตระกูลเผย ผู้เฒ่าเผยขมวดคิ้ว มองไปที่ลูกชายคนโตที่ยืนอยู่หลังโต๊ะ เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกระดุมแต่ละเม็ดล้วนติดตรึงแน่น เขายืนตรงราวกับหอกก็ไม่ปาน

เขามีวินัยในตนเองและจริงจัง ผ่านมาหลายปีกระทั่งความยาวของผมก็ยังคงเท่ากับเมื่อวันวาน

“ขอโทษครับพ่อ” เขาเม้มริมฝีปาก มือทั้งสองวางไว้ข้างลำตัว “ผมควรไปส่งเฉินหมิ่นซูขึ้นเครื่องบินด้วยตัวเอง”

  ก่อนหน้านี้เผยอี้เคยคุยกับผู้เฒ่าเผยเรื่องนี้มาแล้วที่ห้องหนังสือ ผู้เฒ่าเผยจึงให้เผนจิ้นฮว๋ายส่งหล่อนกลับกว่างโจว

ตระกูลเผยใช่ว่าแค่แขกคนเดียวจะให้อาศัยไม่ได้ แต่เผยอี้ไม่ชอบหล่อน ผู้เฒ่าเผยจึงไม่อยากฝืนความรู้สึกของหลานชาย

อย่างไรเสียพ่อของเฉินหมิ่นซูก็เป็นเพื่อนเก่าของเผนจิ้นฮว๋าย มีความสัมพันธ์กันไม่เลว ตอนนั้นที่เผยอี้ไปกว่างโจว เผนจิ้นฮว๋ายยังพาเผยอี้ไปเยี่ยมเพื่อนคนนี้ด้วยตัวเองเลยด้วย ด้วยเหตุและผล ตระกูลเผยจึงควรที่จะส่งเฉินหมิ่นซูกลับไปด้วยตัวเอง

ผู้เฒ่าเผยไหว้วานให้เผนจิ้นฮว๋ายไปจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเองเลยทีเดียว เขาสั่งให้คนจองตั๋วให้เฉินหมิ่นซูแล้ว จริงๆ แล้ว ควรจะได้กลับไปกว่างโจวในเย็นวันนี้

เพื่อเป็นการแสดงความเสียใจต่อสหายร่วมรบ ที่ไม่สามารถต้อนรับลูกสาวของเขาให้ดี เผนจิ้นฮว๋ายจึงเตรียมของขวัญพิเศษ และให้คนเอากลับไปเป็นเพื่อนเฉินหมิ่นซูด้วยตัวเอง เพื่อไปอธิบายกับสหายด้วยเลย

ใครจะรู้ว่ายังไม่ได้ออกเดินทาง เฉินหมิ่นซูก็หาข้ออ้างลื่นไหลจนหนีไปได้ระหว่างทาง เผนจิ้นฮว๋ายสั่งให้ค้นหาไปทั่ว ค่อยได้ข่าวว่าเฉินหมิ่นซูไปก่อเรื่องที่บริษัทซื่อจี้หยินเหอ

   ตอนที่เผนจิ้นฮว๋ายรู้ข่าว ก็กุมขมับทันที

เขาคิดไม่ถึงว่าเฉินหมิ่นซู จะเป็นคนที่เอาแต่ใจตัวเองแบบนี้ ถ้าเป็นลูกชายของเขา เขายังตำหนิและลงโทษได้

  ในห้องหนังสือนี้ หลังจากที่เผนจิ้นฮว๋ายโตขึ้นเป็นหนุ่มน้อยครั้งที่เขาจะถูกตำหนิโดยผู้เป็นพ่อ แต่ตอนนี้ เขาอายุมากขึ้น แต่กลับถูกพ่ออบรมสั่งสอนเหมือนเด็กเพราะเรื่องเฉินหมิ่นซู

   เมื่อเขาออกมาก็มีสีหน้าที่เคร่งขรึมและน่ากลัว พอเปิดประตูก็เห็นลูกชายกำลังยืนพิงราวบันไดอยู่

เผยอี้สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวที่เข้ากันกับกางเกงขายาวสีมะกอก ขาทั้งสองข้างไขว้กันและ เอามือล้วงกระเป๋า

ถ้าเป็นแต่ก่อนเกรงว่าท่าทางไม่เรียบร้อย เอ้อระเหยลอยชายอย่างนี้ต้องโดนเผนจิ้นฮว๋ายตำหนิเป็นแน่ แต่ตอนนี้เขาเพียงมองลูกชายแวบหนึ่ง ก็พูดอะไรไม่ออก

ตอนที่อยู่ในห้องก่อนหน้านี้ พ่อไม่พอใจในสิ่งที่เขาทำเป็นอย่างมาก แล้วเขาก็คิดไม่ถึงว่าเฉินหมิ่นซูจะทำเรื่องที่เด็กผู้หญิงเค้าไม่ทำกันอย่างนี้

สองพ่อลูกมองตากัน เมื่อมองเห็นใบหน้าที่ไม่น่าดูของเผยจิ้นฮว๋ายที่ข่มความโกรธไว้ภายในดวงตาทั้งคู่ เผยอี้ที่มองเห็นมันอย่างชัดเจนก็พยายามอดกลั้นความรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นเอาไว้

“เธอไม่ยอมไปแน่ๆ เอาแต่โวยวายว่าจะไปหาลูก”

เผยอี้นึกถึงก่อนหน้านี้ที่ตัวเองถูกเฉินหมิ่นซูตามตื้อจนรำคาญ แล้วจัดการตีเธอจนเธอต้องเข้าโรงพยาบาลและหลังจากนั้นเขาก็ถูกเผนจิ้นฮว๋ายตำหนิว่าเขาทำอะไรไม่อยู่ในกรอบ ไม่สมเป็นลูกผู้ชาย

  ตอนนี้เผนจิ้นฮว๋ายคงถึงคราวปวดหัวบ้างแล้ว ในใจเผยอี้เพียงรู้สึกมีความสุขจากที่ต้องอัดอั้นมานาน

“เหลวไหลจริงๆ!”

   เผนจิ้นฮว๋ายแค่นเสียงคำหนึ่ง รู้สึกหงุดหงิด

เฉินหมิ่นซูนั่งอยู่ที่โซฟาชั้นล่าง หลังจากที่เกิดเรื่อง หล่อนก็ถูกคนของตระกูลเผยพาตัวออกมาจากบริษัทซื่อจี้หยินเหออย่างรวดเร็ว

  ในห้องรับแขกนอกจากเฉินหมิ่นซูและคนรับใช้ก็ไม่มีใครอื่นอีก คุณย่าเผยออกไปดูงิ้วกับลูกสะใภ้เลยไม่มีใครอยู่ในบ้าน

ตอนเผนจิ้นฮว๋ายลงมาชั้นล่าง สายตาของหล่อนก็เหลือบมองไปที่ชั้นบน เห็นเผยอี้ยืนอยู่ตรงราวบันไดชั้นสอง มองไปสักพัก ถึงจะยืนขึ้นแล้วพูดขอโทษ

“ขอโทษนะคะ คุณอาเผย หนูไม่ได้เจตนา แต่หนูจะขอรับผิดชอบเรื่องค่ารักษาพยาบาลเองค่ะ ”

นอกจากเรื่องนี้ ก็เหมือนที่เผยอี้พูด หล่อนปฏิเสธที่กลับไปกว่างโจว และยืนยันว่าจะกลับไปพร้อมกับเผยอี้

   ท่าทีของหล่อนทำให้เผนจิ้นฮว๋ายไม่พอใจ พูดไปตั้งนานหล่อนก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนความคิดอีก

เผยอี้ฟังมาตั้งนาน ยิ่งฟังยิ่งรำคาญ เขาจำคำสัญญาที่ให้ไว้กับเจียงเซ่อได้ แต่ผ่านไปไม่ถึงสองวัน ผู้หญิงคนนี้ก็ไปสร้างความเดือดร้อนให้เจียงเซ่อถึงบริษัทซื่อจี้หยินเหอแล้ว

วิธีของเผนจิ้นฮว๋ายใช้กับหล่อนไม่ได้ผล เผยอี้ฟังเฉินหมิ่นซูพูดฉอดๆ ไม่หยุดว่าจะต้องพาเขากลับไป พูดว่าตอนแรกพ่อของหล่อนกำชับหล่อนให้ดูแลตัวเขาดีๆ คิดถึงงานเลี้ยงวันนั้น ที่เจียงเซ่อกระซิบแผ่วเบาว่าไม่ชอบให้มีผู้หญิงคนอื่นมาอยู่ข้างกายเขา เขากัดริมฝีปากล่าง ดวงตาฉายแววแข็งกร้าวดุดัน เพียงชั่วพริบตาเดียวก็กลับมาเหมือนเดิม

เขาค่อยๆ เดินลงไปชั้นล่าง “วันนี้เธอไปทำอะไรที่บริษัทซื่อจี้หยินเหอ”

ในความทรงจำของเฉินหมิ่นซูนี่เป็นครั้งแรกที่เขาพูดกับหล่อนหลังจากที่ประลองต่อสู้กับเขาแล้วโดนเขาอัดเข้า

   หล่อนเลิกคิ้ว ใบหน้าเผยให้เห็นความหยิ่งยโส

"แน่นอนว่าทำไปเพื่อแก้แค้น" หล่อนยกมือข้างหนึ่งขึ้นกำจนกลายเป็นกำปั้น

“วันนั้นยัยดารากระจอกแซ่เจียงตีฉันเข้าที่ตรงนี้ การถูกเอาเปรียบเป็นสิ่งที่ฉันคนนี้เกลียดที่สุด หล่อนทำอะไรกับฉัน ฉันก็จะทำแบบนั้นกลับคืนไป”

   แต่น่าเสียดายที่หล่อนไม่ได้เจอเจียงเซ่อ คนของบริษัทซื่อจี้หยินเหอไม่มีทางยอมบอกแน่ว่าเจียงเซ่ออยู่ที่ไหน ตี้ตูก็ไม่ใช่ถิ่นหล่อน คนที่รู้จักก็มีไม่มาก เวลาก็มีน้อยเกินไป

  ตอนที่กำลังยื้อยุดกัน พนักงานบริษัทซื่อจี้หยินเหอจะมาดึงหล่อนออกไป ถึงถูกหล่อนชนจนล้มลงกับพื้นแบบนั้น

เผยอี้ฟังคำพูดของหล่อนก็หลับตาลง ปกปิดแววตาที่ดุดันเอาไว้

โชคดีที่วันนี้เจียงเซ่อไม่อยู่บริษัทซื่อจี้หยินเหอ เธอเป็นคนที่บอบบางอ่อนโยน แม้ว่าจะมีขาเรียวยาว แต่เธอก็เป็นนักแสดง และยังเป็นแค่นักศึกษาอยู่ ถ้าลงมือขึ้นมาบางทีอาจะตกอยู่ในกำมือเฉินหมิ่นซูก็เป็นไปได้

  “เธอเป็นแฟนของฉัน”

   น้ำเสียงของเขากดต่ำลง และแฝงไปด้วยความแข็งกระด้าง ในสมองเขาตอนนี้เริ่มหาวิธีจัดการเฉินหมิ่นซู

“ อ้อ" เฉินหมิ่นซูพูดออกมาอย่างไม่ใส่ใจ "งั้นนายคงจะต้องเปลี่ยนแฟนแล้วล่ะ”

   “เธอไม่เหมาะกับนายหรอก” หล่อนสะบัดผมหางม้าของตัวเอง ขยับข้อมือและบริหารไหล่เล็กน้อย

“หลังจากแข่งกันครั้งที่แล้ว ยังไม่มีโอกาสได้แลกเปลี่ยนฝีมือกับนายอีกเลย ไม่สู้พวกเรามาแข่งกันอีกครั้ง วางเดิมพันกัน”

พูดถึงตรงนี้ หล่อนก็มองไปที่เผยอี้

   “มาสู้กันอีกครั้ง ไม่แน่ว่าฉันจะแพ้นาย”

“เธออยากจะพนันอะไร”

เผยอี้ถามขึ้นมา เฉินหมิ่นซูก็พูดว่า “ก็เดิมพันเรื่องนี้ไง! ถ้านายชนะฉันจะเป็นแฟนนาย ถ้านายแพ้นายต้องมาเป็นแฟนของฉัน!”

เมื่อหล่อนพูดประโยคนี้จบ เผนจิ้นฮว๋ายก็ยิ่งขมวดคิ้วมากขึ้น

เขากับภรรยามีลูกชายเพียงคนเดียว ครอบครัวของเขาก็มีหลานสาว แต่ยังไม่เคยเห็นเด็กผู้หญิงที่ทำตัวอย่างนี้เลยจริงๆ

นิสัยของเฉินหมิ่นซูใจกล้าบ้าบิ่น ต้องการอะไรก็ต่อสู้แย่งชิงอย่างสุดกำลัง หล่อนถูกพ่อของหล่อนเลี้ยงจนไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน ตอนนี้เขาเริ่มเข้าใจความรู้สึกตอนที่เผยอี้ตีหล่อนแล้ว

   เด็กผู้หญิงคนนี้น่ารำคาญจริงๆ นั่นแหละ ทั้งอารมณ์ร้ายทั้งแข็งกระด้าง ไม่บรรลุเป้าหมายก็ไม่ยอมเลิกรา

เขารู้ว่านิสัยของลูกชายเป็นจอมเผด็จการตัวน้อยมาตั้งแต่เด็ก ไหนเลยจะทนต่อคำพูดของเฉินหมิ่นซูได้

เผยอี้จะจัดการอย่างไร ในใจของเผนจิ้นฮว๋ายเข้าใจชัดเจน เฉินหมิ่นซูไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาแน่นอน พูดแบบนี้กับเขามีแต่จะได้ผลที่ตรงกันข้ามเสียเปล่าๆ

เขากังวลว่า เผยอี้พอโกรธแล้วจะทำอะไรลงไปโดยไม่ยั้งคิด แล้วจะเกิดปัญหาทะเลาะลงไม้ลงมือกันอีก ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากพูด เผยอี้กลับไม่ได้แสดงอารมณ์โกรธออกมาอย่างที่คิด

   "ถ้าเธออยากจะลองแข่งกับฉันอีกครั้ง ก็ต้องดูว่าเธอจะมีคุณสมบัติพอหรือเปล่า" เขาพูดจบ เฉินหมิ่นซูก็ปรากฏสีหน้าไม่ยินยอมออกมา ไม่ต้องรอให้เธอเปิดปาก เผยอี้ก็พูดอีกว่า

   "เดือนพฤศจิกายน มหาลัยจะมีการฝึกซ้อมรบจริง พอถึงตอนนั้นเธอก็ไปแสดงฝีมือให้เต็มที่ หลังจากเข้าร่วมการรบแล้ว ถึงจะมีคุณสมบัติมาพูดเรื่องการประลองกับฉัน"

   เผนจิ้นฮว๋ายเมื่อได้ยินคำพูดนี้ ก็ร้อนใจขึ้นมาทันที แต่ตอนที่กำลังจะเอ่ยปาก เฉินหมิ่นซูกลับพูดขึ้นมาอย่างไม่หยุดคิดด้วยซ้ำว่า

   “อย่ามาดูถูกฉันนะ คำไหนคำนั้น ”

เป็นอย่างที่เจียงเซ่อพูดนั่นแหละ หล่อนสนใจในตัวเผยอี้ แต่ด้วยนิสัยเย่อหยิ่งของหล่อนเอง หล่อนทำไม่ได้หรอกนะที่จะไปตามจีบให้เผยอี้ยอมคบกับหล่อนน่ะ

แล้วยิ่งท่าทางร้องขอน่าสงสารพวกนั้นหล่อนยิ่งทำไม่ลง ดังนั้นจึงมีเพียงการใช้ท่าทางที่แข็งกระด้างเพื่อบีบให้เผยอี้ยอมมองตนบ้างเท่านั้น

ก่อนหน้านี้ เผยอี้มักจะไม่สนใจหล่อน ตอนนี้เขายินดีที่จะประลองกับตัวเองอีกครั้ง หล่อนไม่มีทางปล่อยโอกาสให้นี้ให้หลุดไปแน่นอนอยู่แล้ว

เมื่อได้ฟังประโยคนี้ของเผยอี้ เฉินหมิ่นซูก็อารมณ์ดีขึ้นมากหลังจากที่รู้ว่าเผยอี้ต้องกลับไปมหาวิทยาลัยทันที และเผนจิ้นฮว๋ายก็จะให้คนไปส่งหล่อนกลับกว่างโจวหลังจากนี้ด้วยเช่นกัน หล่อนก็ไม่ได้คัดค้านอะไรอีกและรับปากว่าเย็นวันนี้จะนั่งเครื่องบินกลับ

   การเดิมพันครั้งนี้ เหมือนเกมเด็กเล่นก็ไม่ปาน หลังจากที่ให้คนพาเฉินหมิ่นซูไปแล้ว เผนจิ้นฮว๋ายก็พยายามเก็บความโกรธเอาไว้ บอกใบ้เผยอี้ให้ออกไปคุยนอกห้องรับแขก เมื่อออกมาจากห้องรับแขกเขาก็พูดเสียงแข็งออกมาว่า

  “ลูกจะเอาชีวิตเธอเหรอ!”

“ครับ”

เผยอี้ไม่ได้เก็บซ่อนจุดประสงค์ของแผนการตัวเองเอาไว้สักนิด เขายอมรับออกมาตรงๆ ด้วยซ้ำ

เจียงเซ่อคือเส้นเลือดที่คอยหล่อเลี้ยง ใครก็ไม่สามารถมาแตะต้องเธอได้ ความคิดแบบนี้ของเฉินหมิ่นซูเขาก็ไม่มีทางอนุญาตเช่นกัน

   ในตอนเย็นเจียงเซ่อก็ได้รับโทรศัพท์จากเผยอี้พูดถึงว่าหลังจากที่เขาพูดคุยกับผู้เฒ่าเผยแล้ว เขาก็ต้องกลับไปโรงเรียนในคืนนั้นเลย

เขาจะเรียนจบอย่างช้าก็ปลายปี ตอนจะออกเดินทางก็อาลัยอาวรณ์นัก

ในช่วงครึ่งวันบ่ายหลังจากที่คอนเฟิร์มเรื่องแบบเครื่องประดับในงานเลี้ยงวันมะรืนกับหลิวลี่จื้อเสร็จแล้ว เจียงเซ่อลังเลอยู่พักหนึ่ง ก็เลี้ยวรถไปบ้านตระกูลเฝิง

ตอนเธอมาถึงก็เกือบจะสองทุ่มแล้ว เฝิงจงเหลียงถือบัวรดน้ำรดพุ่มหนึ่งของต้นเยว่จี้อยู่ในสวนดอกไม้ ตอนที่เห็นเจียงเซ่อก็มีสีหน้าประหลาดใจแกมยินดี

“จะมาทำไม่โทรมาบอกล่วงหน้าสักคำ" เฝิงจงเหลียงอดไม่ได้ที่จะปาดเหงื่อที่หน้าผาก "กินอะไรมารึยัง?”

เจียงเซ่อส่ายหัว เขาสั่งแม่บ้านหวังให้ไปเตรียมพวกกับข้าวไว้

นี่คือสวนดอกไม้เล็ก ๆ ที่เฝิงจงเหลียงดูแลอยู่คนเดียว ไม่บ่อยนักที่เขาจะยืมมือคนอื่น เขาขุดหลุมใส่ปุ๋ย แล้วก็รดน้ำอยู่เรื่อยๆ

เขาคุ้นเคยกับวิธีรดน้ำแบบนี้แล้ว และเชื่อว่าการเคลื่อนไหวสามารถออกกำลังกายได้

เจียงเซ่อก้าวเข้าจะไปเพื่อจะช่วย เขาเองก็ไม่ปฏิเสธพวกเขาทำงานด้วยกัน เจียงเซ่อที่พูดคุยกับเฝิงจงเหลียงอยู่พักหนึ่ง เธอหยุดไปนิดหนึ่งและถามขึ้นอย่างกะทันหันว่า

   "คุณปู่คะ คุณปู่ทราบไหมคะว่าการฝึกซ้อมรบจริงคืออะไร?"

   เธอถือพลั่วไว้ในมือ นั่งยองๆ ที่พื้น ไม่เงยหน้าขึ้นมา แล้วขุดดินเหนียวด้วยพลั่ว หว่านเมล็ดแล้วกลบดินไปเรื่อยๆ

   เฝิงจงเหลียง รดน้ำไปสักพัก ไม่ได้ตอบคำถามของเธอ แต่ถามกลับว่า

"ระหว่างหนูกับอาอี้เป็นยังไงบ้าง เขาปรึกษากับหนูบ้างหรือยังว่าจะแต่งงานเมื่อไหร่?"

"มีพูดเกริ่นไว้แล้วคะ วางแผนไว้บ้างแล้ว" เธออยากจะพูดแต่ก็หยุดไว้ เฝิงจงเหลียงจึงเข้าใจผิด "ในเมื่อมีแผนล่วงหน้าแล้ว ก็รีบๆ คุยกันเสีย รีบหาฤกษ์ยาม จะได้ไม่ฉุกละหุก แล้วผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายล่ะเคยเจอกันรึยัง เมื่อถึงช่วงวันเทศกาลหรือวันปีใหม่ ก็ไปบ้านผู้ใหญ่บ่อยๆ ล่ะ แล้วก็อย่าทำหน้าบูดหน้าบึ้ง เหมือนกับเฝิงหนานของฉัน...... "

  เขาพูดถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจออกมา

"ผู้ใหญ่ในครอบครัวคงจะเคยพบกับแล้วใช่ไหม" เจียงเซ่อได้ยินคำพูดนี้ หัวใจของเธอก็เต้นระรัว แล้วมองไปที่เฝิงจงเหลียง

  “หนูแค่หวังว่าวันหนึ่งในอนาคต ครอบครัวของหนูจะสามารถมาอยู่ข้างๆ หนูได้ และมาจับมือหนูเอาไว้”

เธอพูดออกมาอย่างเศร้าสร้อย เธอเองก็ไม่รู้ว่าจะมีวันนั้นมั้ย หรือว่าวันนั้นมันจะยืนยาวไปได้สักแค่ไหน