webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

343

บทที่ 343 พบโอกาส

เฝิงจงเหลียงอายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว จะเดินจะเหินก็ไม่ค่อยสะดวก มีเหล่าคนร่ำคนรวยมากมายที่ชอบทำกิจกรรมนอกบ้าน แต่เขาก็ไม่ค่อยจะสนใจด้วย เวลาว่างส่วนมากก็มักปลูกดอกไม้ใบหญ้าเสียมากกว่า หรือไม่ก็อ่านหนังสือ น้อยครั้งแล้วที่จะออกไปพบเจอกับเพื่อนๆ เพื่อนั่งดื่มชาพูดคุย

แต่ก่อนก็ยังไปที่บ้านตระกูบเผยบ่อยๆ คอยไปนั่งเล่นหมากรุกและพูดคุยเรื่องราวต่างๆ กับคุณปู่เผย ฆ่าเวลาไปเล่นๆ

แต่ตั้งแต่ที่ตัวเองมาเกิดใหม่ ระยะห่างระหว่าง ‘เฝิงหนาน’ และเผยอี้ก็มีมากขึ้น บวกกับนิสัยส่วนตัวของเฝิงจงเหลียงเอง เขาคิดว่าคงไม่ดีที่จะไปบ้านตระกูลเผยบ่อยๆ อีก

เจียงเซ่อจำได้ว่า เขาเคยพูดเอาไว้ ว่าตอนที่เป็นหนุ่มๆ เขาเคยได้เรียนแกะสลักกับเหล่าเพื่อนทหารปฏิวัติมาก่อน หลังจากจบสงครามแล้ว ก็ยังมีอยู่บ้างที่ชื่นชอบที่จะทำงานฝีมือแบบนี้

แต่หลังจากที่แต่งานมีลูกแล้ว เพื่อที่จะเลี้ยงปากท้อง เลยละทิ้งความชอบนั้นไป

ตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้วที่เธอแวะไปหาเฝิงจงเหลียง ตลอดมาจนถึงวันนี้ที่เธอเพิ่งจะกลับตี้ตูมา ถึงแม้ว่าในระหว่างนั้นจะมีติดต่อมาทางตระกูลเฝิงบ้าง แต่น้ำเสียงของเฝิงจงเหลียงที่ดูเหงาหงอยนั่นเธอก็พอจะฟังมันออก

เขาอายุมากแล้ว ร่างกายก็เจ็บป่วย ลูกหลานก็อยู่ไกลถึงฮ่องกง แถมเฝิงหนานที่อยู่ในตี้ตูตอนนี้ก็ไม่สนิทกันเหมือนเก่า คนที่อยู่กับเขาส่วนมากก็ล้วนแล้วเป็นคนรับใช้ในบ้านและเสี่ยวหลิว

เจียงเซ่อลองนึกย้อนดูดีๆ แล้ว เท่าที่ดูก็หลายปีมาแล้วที่เขาไม่ได้พูดถึงเรื่องการแกะสลักหิน และพอดีกับที่เธอยากจะหาอะไรให้เขาทำฆ่าเวลา และเป็นอะไรที่ทำให้เขามีความสุขได้

“อย่างนี้นี่เอง”

โม่อานฉีเก็บของบนโต๊ะ คิดอะไรอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดออกไป

“อย่างนั้นฉันช่วยเธอตัดสินใจเองเลยละกัน”

พอหล่อนพูดจบ ก็มองไปที่กองบทหนังกองใหญ่ ปีที่ผ่านมาเจียงเซ่อไม่มีการรับงานเลยสักงานเดียว ที่เซี่ยเชาฉวินเอามาให้ก็มีตั้งสี่ห้าเรื่องให้เธอเลือก บทหนังพวกนี้ นอกจากจะมีตัวบทหนัง เค้าโครงและตัวละครแล้ว ก็ยังมีต้นฉบับตัวนิยายที่ต้องดูให้หมดและเลือกออกมาด้วย ถือว่าไม่ใช่งานง่ายๆ เลย

นอกจากเรื่องพวกนี้แล้ว เจียงเซ่อก็ยังต้องรวบรวมข้อมูลของทามหาวิทยาลัยอีก รวบรวมเสร็จก็ยังต้องเขียนออกมาเป็นรายงาน จนกว่าทางศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยจะพอใจ การฝึกงานศึกษาโบราณคดีครั้งนี้ถึงจะจบลงอย่างสมบูรณ์

เวลาที่เซี่ยเชาฉวินเหลือให้เธอได้เขียนรายงานช่างน้อยเหลือเกิน ก่อนที่เซี่ยเชาฉวินจะไปก็ได้กำชับเอาไว้ ว่าอย่างน้อยในหนึ่งอาทิตย์ เธอก็จะต้องยุ่งมากกว่านี้แล้ว ทั้งเรียนเปียโนเรียนเต้นบัลเล่ต์ จากนั้นก็ยังต้องไปเข้าร่วมงานครบรอบของ Steinway ในเดือนมิถุนายนนี้อีก สิ่งที่เซี่ยเชาฉวินบอกให้เจียงเซ่อทำนั้น ไม่ใช่แค่การทำให้เธอคุ้นเคยกับเพลงในงานเลี้ยงที่จะเกิดขึ้นเท่านั้น จึงต้องเข้มงวดกับเธอให้มากขึ้นกว่าเดิม

“การเลือกหินสักชิ้นไม่ใช่เรื่องที่จะตัดสินใจให้เสร็จแค่ในชั่วโมงสองชั่วโมง” โดยเฉพาะกับเจียงเซ่อที่ถึงแม้จะไม่ได้กำหนดว่าอยากจะได้หินแบบไหน แต่คนที่จะมอบให้นั้นถึงว่ามีฐานะพอสมควร มันจึงไม่น่าจะง่ายอย่างที่คิดนัก

ถึงแม้ว่าแค่มีเงินจ่ายหนักหน่อยก็สามารถได้ของตามที่ถูกใจได้แล้ว แต่สุดท้ายมันก็จะดูเป็นการสิ้นเปลืองไปเสียเปล่า

โม่อานฉีเป็นถึงผู้ช่วยของเธอ เรื่องพวกนี้หล่อนต้องสามารถทำแทนเธอได้อยู่แล้ว

ตอนแรกหล่อนคิดว่าถ้าพูดแบบนั้นออกไป เจียงเซ่อเองก็คงจะเห็นด้วยแน่ๆ แต่ที่ไหนได้ แค่หล่อนพูดจบ เจียงเซ่อก็ส่ายหัว

“ไม่ต้องแล้วดีกว่า พี่ช่วยไปซื้ออุปกรณ์แกะสลักให้ฉันแทน เลือกอันที่เหมาะสำหรับผู้ที่เชี่ยวชาญหน่อยนะคะ ส่วนเรื่องหินฉันจะเป็นคนไปเดินดูเอง”

คำพูดของเธอทำเอาโม่อานฉีลุกขึ้นยืนตัวตรง แล้วมองเจียงเซ่อด้วยความสงสัยระคนแปลกใจอยู่นาน

“มีอะไรหรือคะ?”

เจียงเซ่อเงยหน้าขึ้นมา โม่อานฉีก็ถามออกไปอย่างแปลกใจ

“เซ่อเซ่อ ฉันคิดว่าคนที่เธออยากจะทำดีด้วยคือคุณปู่ตระกูลเผยเสียอีก แต่ทำไมจู่ๆ เธอถึงได้ยิ่งสนิทกับคุณปู่ตระกูลเฝิงมากขึ้นล่ะ? เหมือนกับว่าเขาเป็นญาติผู้ใหญ่ของเธออย่างนั้นแหละ”

เจียงเซ่อไม่ได้พูดอะไร และโม่อานฉีก็ไม่ถามอะไรอีก

ใช้เวลาไปกว่าห้าวันถึงจะรวบรวมข้อมูลทีจะเขียนเรียงความเสร็จ และในระหว่างนั้น โม่อานฉีก็ได้ออกไปตระเวนหาซื้อของที่เจียงเซ่อต้องการตามร้านต่างๆ บางทีเจียงเซ่อว่างๆ ก็จะไปดูด้วย ตอนแรกก็กะว่าจะซื่อเป็นหินชิงเถียนสักก้อนให้เฝิงจงเหลียง แต่สุดท้ายก็เลือกเป็นหินหวงเถียนแทน จ่ายไปทั้งหมดกว่าแปดแสน และนี่ก็เป็นเพราะเถ้าแก่เห็นว่าเป็นเจียงเซ่อด้วย ถึงได้ยอมปล่อยขายให้กับเธอ

ก่อนที่จะไปหาเฝิงจงเหลียง เจียงเซ่อก็ได้มีการติดต่อไปบอกก่อน ตอนที่เจียงเซ่อไปถึงก็ประมาณแปดโมงเช้าพอดี

ตอนที่เธอขึ้นลิฟต์มาก็พบว่าเฝิงจงเหลียงนั่งรออยู่ที่ห้องรับแขกเรียบร้อยแล้ว มือข้างหนึ่งถือแก้วชา อีกข้างถือหนังสือเอาไว้ พอประตูลิฟต์เปิด ถึงหูของเขาจะได้ยินเสียงแล้ว แต่ก็ทำเป็นไม่หันไปมอง

ผู้ดูแลบ้านหยิบรองเท้าแตะมาให้เธอ และแม่บ้านหวังก็ช่วยเธอถอดเสื้อคลุมออก

ในบ้านเริ่มเปิดฮีตเตอร์แล้ว อากาศนอกบ้านในช่วงเดือนกุมภาค่อยข้างหนาวจัด เฝิงจงเหลียงหันไปสั่งหน้านิ่ง

“ยกชามาให้คุณหนูคนนี้ด้วย”

เขาหันหน้ามา แล้วมองเจียงเซ่อครู่หนึ่ง ในแววตามีความตื้นตันบางอย่างสะท้อนอยู่ในนั้น แต่ก็เม้มปากเอาไว้ ก่อนจะพยายามอดกลั้นเอาไว้ แล้วบ่นออกมา

“ออกมาข้างนอกแบบนี้ ทำไมยังใส่อะไรบางๆ อีก”

เขาวางแก้วชาลง ก่อนจะตบลงที่วางมือของโซฟา ท่าทางจริงจังไม่น้อย

“เด็กๆ แบบพวกเธอนี่นะ สนใจแต่เรื่องจะใส่อะไรให้ดูดี ไม่สนใจดินฟ้าอากาศ วันหลังแก่ตัวไปแล้วจะรู้สึก!”

พูดไปๆ เฝิงจงเหลียงก็ยิ่งไม่พอใจเข้าไปอีก

“ตื่นก็สาย นี่มันก็จะแปดโมงกว่าแล้ว ถ้าไม่อยากจะมาหาละก็ วันหลังก็ไม่ต้องมาแล้ว!”

เขาตะคอกออกมาเสียงดัง คนในบ้านต่างพากันกลั้นหายใจ ไม่กล้าที่จะเปิดปากพูดอะไรออกมาสักอย่าง

ในบ้านเงียบฉี่ เฝิงจงเหลียงโมโหแบบนี้ ใบหน้ายังสั่นอยู่เล็กน้อย ราวกับว่ากำลังรู้สึกผิด แต่ก็ดึงกลับมาไม่ได้แล้ว เลยหันหน้าหนีอย่างหงุดหงิด

แม่บ้านหวังลอบมองเจียงเซ่อเล็กน้อย เพราะกลัวว่าเธอจะอายจนไม่มีหน้ามาที่นี่อีก เด็กสาวรุ่นราวนี้มักจะหน้าบางเสมอ ก็ดูอย่างเฝิงหนานหลานสาวของเฝิงจงเหลียงเองก็ทนที่เขาชอบโมโหใส่ไม่ได้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเจียงเซ่อที่เป็นคนนอกเลยด้วยซ้ำ

“คุณอย่าคิดเล็กคิดน้อยกับคุณท่านเลยนะคะ”

แม่บ้านหวังพูดเสียงเบา ก่อนจะก้มมองของขวัญที่เจียงเซ่อนำติดมาด้วย ก็เกิดเห็นใจไม่น้อย ก่อนจะหันหน้าไปมองเฝิงจงเหลียง

“คุณท่านก็แค่คิดถึงคุณมากไปเท่านั้นเอง”

คำว่าคิดถึงไม่เคยหลุดออกมาจากปากเขาเลยแม้แต่น้อย แต่มักจะแสดงผ่านการกระทำเสมอ

“เมื่อวานที่คุณโทรมา เมื่อคืนคุณท่านเองก็นอนดึก แต่ตีห้าก็ตื่นแล้ว แถมยังลงมาตัดดอกไม้ด้วยตัวเองอีก”

แม่บ้านหวังชี้ไปที่กิ่งดอกล่าเหมยหลายกิ่งที่ตั้งอยู่ข้างๆ กาน้ำชา “ถามบ่อยๆ ว่ากี่โมงแล้วๆ แถมยังสั่งให้เสี่ยวหลิวไปยืนเฝ้าหน้าบ้านอีก”

จากตอนแรกที่เฝิงจงเหลียงคอยผลักไสเจียงเซ่อ จนเริ่มที่จะยอมรับ และเริ่มที่จะชอบเหมือนอย่างทุกวันนี้ คนในบ้านต่างก็ล้วนแล้วเห็นมันมาทั้งหมด

“เมื่อวานคุณท่านยังสั่งพ่อครัวเอาไว้ด้วยว่าให้เตรียมของหวาน ขนมและผลไม้เอาไว้ให้พร้อม”

ดูเหมือนว่าเขาจะรอมานานแล้วจริงๆ เขาตื่นแต่เช้า เลยคิดว่าถึงแม้ว่าเจียงเซ่อจะมาถึงตอนแปดโมงเช้า ก็ยังดูสายในสายตาของเฝิงจงเหลียงอยู่ดี

“ฉันเข้าใจค่ะ”

เจียงเซ่อพยักหน้า ที่เฝิงจงเหลียงหงุดหงิดใส่แบบนนี้ ในใจของเธอก็รู้ดี

เธอถือของในมือแล้วเดินเข้าไปหาเฝิงจงเหลียง ท่าทางเขาจะยังดูหงุดหงิดอยู่ ใบหน้านิ่งเรียบ ก็ไม่รู้ว่ากำลังหงุดหงิดที่ตัวเองโมโหออกไปเมื่อครู่ หรือว่ากำลังโกรธที่เจียงเซ่อมาช้าไปจริงๆ

“คุณปู่”

เจียงเซ่อคุกเข่าลง แล้วยื่นของที่กอดเอาไว้ให้เขา ก่อนจะเงยหน้ามองเฝิงจงเหลียง

“หนูกลับมาแล้วค่ะ”

เธอวาดรอยยิ้มขึ้น “ไม่ใช่ว่าหนูไม่อยากจะมาให้เช้ากว่านี้ แต่แค่กังวลว่าจะไปรบกวนเวลาพักผ่อนของคุณปู่เท่านั้นเอง”

เฝิงจงเหลียงขยับปากเล็กน้อย เด็กสาวนั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าตนเอง และกำลังยิ้มออกมาอย่างจริงใจ เหมือนว่าไม่ได้รู้สึกขุ่นเคืองใจหรืออึดอัดที่ตัวเองพาลโมโหใส่เมื่อครู่เลยแม้แต่น้อย