webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

342

บทที่ 342 ท่ามกลางอุปสรรค

เซี่ยเชาฉวินไม่ได้เลือกงานมั่วๆ เพื่อแค่ให้เธอทำเงิน แต่เป็นการเลือกงานที่จะส่งผลดีต่อตัวเธอในอนาคตมากกว่า

ตลอดมาสิ่งที่หล่อนเลือกให้เธอนั้นมันชัดเจนมาโดยตลอด เส้นทางที่เลือกให้เธอเดินคือการเป็นดาราที่มีความสง่าผ่าเผย การเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณาสินค้าทั่วๆ ไปไม่มีทางที่จะรับแน่ๆ ต้องยอมที่จะให้ตัวเงินเป็นปัจจัยรอง และไม่ให้มันมาเป็นตัวตัดโอกาสเจียงเซ่อในอนาคต

แบรนด์สินค้าที่มีความหรูหราและมีมูลค่าจริงๆ แต่จะมีเงื่อนไขและข้อแลกเปลี่ยนที่เข้มงวดต่อตัวดาราเสมอ นอกจากจะต้องคอยดูรูปลักษณ์ภายนอกและบุคลิกส่วนตัวว่าจะเหมาะกับตัวสินค้าหรือไม่แล้ว ดาราที่เคยมีการเป็นพรีเซนเตอร์สินค้าอื่นมาก่อน ก็ถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของตัวดาราเองด้วย

โฆษณาชิ้นแรกที่เจียงเซ่อได้รับไปก็คือกางเกงยีนส์ Adeele ถึงแม้ว่ามันจะไม่ได้เป็นที่รู้จักเหมือนๆ กับแบรนด์อันดับโลก แต่ทางเดินของแบรนด์นี้ก็เป็นสินค้าหรูและทำเงินเช่นเดียวกัน

ในด้านของเกรดสินค้า ตามที่ยอดขายของแบรนด์ Adeele เพิ่มขึ้นในทุกๆ วัน และชื่อเสียงก็กลายเป็นที่รู้จักมากขึ้น ก็ถือว่าได้ผลประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย

ตัวที่สองอย่างสินค้าเครื่องประดับของกังหัวอันนี้ก็คงไม่ต้องพูดมากอะไร เพราะมันเป็นสินค้าตัวหนึ่งที่ทำให้ชื่อเสียงของเจียงเซ่อเพิ่มขึ้นมากทีเดียว

ตารางงานที่จางฉือส่งมาให้นั้น เจียงเซ่อดูแล้วชี้ไปที่เวลาเรียนเปียโนและเต้นบัลเล่ต์ แล้วถามออกไป

“พี่เชาฉวิน สองคาบที่ต้องเรียนนี่ เป็นตัวที่เพิ่งเพิ่มเข้ามาใช่ไหมคะ?”

เซี่ยเชาฉวินไม่ใช่คนที่จะทำอะไรแล้วสูญเปล่า พอเธอถามจบ เซี่ยเชาฉวินก็พยักหน้า และเผยรอยยิ้มที่เห็นได้ยากออกมา

“เซ่อเซ่อ เธอเคยคุยกับผู้จัดการ Steinway ของตี้ตูใช่ไหม?”

“Steinway?” พอเซี่ยเชาฉวินพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ก็ทำเอาเจียงเซ่อตกใจไปไม่น้อย และพยายามนึกถึงเรื่องเก่าๆ

“น่าจะนะคะ” แล้วเธอก็อธิบาย

“ก่อนหน้านี้ที่ฉันไปถ่ายหนังเรื่อง ‘99 Love Letter’ ทางกองถ่ายเขาได้ไปถ่ายทำกันที่ร้านของ Steinway ตอนนั้นมีผู้ดูแลของทางร้านเปียโนได้แลกเปลี่ยนช่องทางติดต่อกับฉันเอาไว้น่ะค่ะ”

แต่ว่าหลังจากนั้นเป็นต้นมา ทางเปียโน Steinway ก็ไม่ได้มีการติดต่อกลับมาทางเจียงเซ่ออีกเลย ถึงแม้ว่าพักหลังมานี้ชื่อเสียงของเจียงเซ่อจะมีมากขึ้นก็ตาม แต่หญิงสาวที่เคยให้นามบัตรเจียงเซ่อก็ไม่เคยติดต่อกลับมาหาเธอ

เซี่ยเชาฉวินเหมือนกำลังคิกอะไรบางอย่าง “นั่นก็คงไม่แปลกอะไร ช่วงต้นเดือนมิถุนายนทาง Steinway จะมีการจัดงานฉลองครบรอบสามสิบปี นอกจากจะมีผู้นำชั้นสูงของทั้งในและต่างประเทศมาร่วมประชุมกิจกรรมกันแล้ว กลุ่มนักประพันธ์ที่มีชื่อเสียงเองก็ไปด้วย”

รวมไปถึงนักบรรเลงเปียโน อาจารย์ของโรงเรียนสอนดนตรีที่มีชื่อเสียงต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศก็มาด้วย จนไปถึงผู้จัดการคนดูแลและผู้ที่เคยร่วมงานกับทางบริษัท Steinway

หรือพูดได้ว่า การจัดงานเลี้ยงครบรอบของ Steinway ในครั้งนี้เป็นงานเลี้ยงชั้นสูงนั่นเอง ทางซื่อจี้ หยินเหอทั้งซีอีโออย่างลัวหยิ่นและผู้จัดการอย่างลัวอ้าวเองก็ได้บัตรเชิญไปงานครั้งนี้ด้วย หรือแม้แต่เซี่ยเชา ฉวินที่เป็นถึงผู้ที่มีชื่อเสียงในฮ่องกง ก็ได้รับบัตรเชิญจากงานนี้ด้วยเช่นกัน

ถ้าเป็นอย่างที่เซี่ยเชาฉวินพูด นอกจากจะมีศิลปินเคารพนับถือในวงการบันเทิงแล้ว ในบรรดาดารานักแสดง คนที่ได้บัตรเชิญในงานครั้งนี้ก็คงจะไม่พ้นหลิวเย่ เถาเฉิน ถ้าจะให้เพิ่มอีกสักคน ก็คงจะเป็นเฝิงหนานที่ได้รับบัตรเชิญเพราะฐานะทางบ้านที่มีอำนาจฐานะสูงส่ง

บัตรรับเชิญในงาน Steinway ครั้งนี้มีจำกัด คนที่ได้รับเชิญส่วนมากต่างก็เป็นคนที่มีชื่อเสียงทั้งนั้น และคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับวงการดนตรีก็จะโดนคัดออกจากการรับเชิญด้วย

แค่บัตรเชิญบัตรเดียว ถึงมีเงินก็คงไม่มีทางซื้อมันได้ มันเป็นตัวแทนของฐานะและเกียรติ คนในวงการต่างก็สามารถเข้างานแบบนี้เพื่อประสบความสำเร็จในภายภาคหน้า

เซี่ยเชาฉวินเองก็ได้คิดหาวิธีที่จะพาเจียงเซ่อเข้าไปในงานตลอด

เจียงเซ่อเป็นแฟนสาวของเผยอี้ ถ้าหากว่าเผยอี้ยังอยู่ที่ตี้ตู งานงานนี้ ถ้าเขาอยากจะได้บัตรเชิญก็คงไม่ใช่เรื่องยากอะไร อยากจะพาเจียงเซ่อเข้าไปก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากด้วย

แต่มันก็ยากเพราะตอนนี้เผยอี้ไม่ได้อยู่ที่ตี้ตูแล้ว ส่วนเจียงเซ่อเองก็ไม่ได้อำนาจฐานะอะไรมากมาย ชื่อเสียงและจุดยืนของเธอในวงการ มันยังไม่พอที่จะทำให้แบรนด์อย่าง Steinway หันมาสนใจเธอได้

แต่สิ่งที่อยู่ความคาดหมายของเซี่ยเชาฉวิน ก็คือการจัดงานเลี้ยงครบรอบของ Steinway ในครั้งนี้ ได้มีการเชิญให้เจียงเซ่อไปเข้าร่วมงานอย่างไม่น่าเชื่อ

ตอนที่หล่อนได้เห็นจดหมายเชิญ หล่อนก็ติดต่อไปหาเบื้องบนของ Steinway ทันที และผู้ช่วยของ Chapman ที่เป็นผู้อำนวยการ Steinway ในหัวเซี่ยก็รับสายหล่อน และบอกว่าคุณ Chapman นั้นยังคงมีความประทับใจในตัวเจียงเซ่ออยู่ไม่น้อย

“คุณผู้หญิงคนนั้นแซ่กัว หล่อนว่าคุณ Chapman บอกว่าบุคลิกของเธอเหมาะสมกับเปียโนของ Steinway และได้เห็นตอนที่เธอลองบรรเลงมันดูแล้ว และอยากจะเชิญเธอมาร่วมงานครั้งนี้เป็นกรณีพิเศษ”

และเซี่ยเชาฉวินก็นึกถึงเจียงเซ่อที่เคยได้สัมผัสกับเปียโนของ Steinway เพียงครั้งเดียว ก็คือในตอนถ่ายทำหนังเรื่อง ‘99 Love Letter’ ของจ้าวร่างนั้นเอง

ตอนที่จ้าวร่างถ่ายหนังเรื่อง ‘99 Love Letter’ เขาเลือกที่จะใช้เปียโนของ Steinway และจ้าวร่างต้องคอยขอให้ผู้จัดการเหยียนชุนหัวของบริษัทุร่ยเหอในการดำเนินการอยู่นาน กว่าจะสามารถเกลี้ยกล่อมให้ Chapman ผู้อำนวยการ Steinway ในหัวเซี่ยยอมให้ยืมใช้เปียโนในการถ่ายหนัง

ถ้าหากว่าเจียงเซ่อมีโอกาสได้เคยติดต่อกับผู้ดูแลบริษัท Steinway มาก่อน ก็คงจะเป็นในครั้งนั้น

และคำตอบของเจียงเซ่อที่ให้หล่อนมาในวันนี้ก็ทำให้หล่อนพอที่จะเดาอะไรได้แล้ว หล่อนกดมุมปากลง

“การที่จะได้เข้าร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้ถือว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยาก และมันก็เป็นการดีที่จะช่วยให้ชื่อเสียงและฐานะของเธอเติบโตขึ้น”

ที่สำคัญก็คือ ในงานนั้นจะมีผู้ที่มีชื่อเสียงมากมาย ถ้าหากว่าเจียงเซ่อได้เข้าร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ ก็ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีในการขยายคอนเนคชั่น

“เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดในงานนี้ เลยเพิ่มสองอย่างนี้ให้เธอเรียนเพิ่ม”

พอโม่อานฉีที่นั่งฟังอยู่ข้างๆ ได้ยินแบบนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา

“แต่ว่านะคะคุณเซี่ย ตลอดที่ผ่านมา Steinway ไม่เคยมีพรีเซนเตอร์เลยนี่นา......”

หล่อนยังไม่ทันพูดจบ เซี่ยเชาฉวินก็หันไปมองหล่อนเล็กน้อย ก่อนจะเราะเย็นๆ ออกมา หัวเราะจนโม่อานฉีรู้สึกขนลุกขึ้นมา

สายตาที่หล่อนมองโม่อานฉีไม่มีแม้แต่ความดูถูก จากนั้นก็พูดต่อ

“บริษัท Steinway ไม่ต้องการพรีเซนเตอร์ แต่ไม่ได้หมายความว่ากิจกรรมงานอื่นของเขาจะไม่ต้องการนี่”

ทุกๆ คำที่หล่อนพูดออกมา โม่อานอานฉีถึงกับยิ้มแห้งแล้วถดตัวห่าง เซี่ยเชาฉวินจึงพูดต่อ

“คนที่จะได้เข้าร่วมงานในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเลือกคบหากับใครก็ล้วนแล้วมีผลประโยชน์ทั้งนั้น” หล่อนก้มมองดูนาฬิกาข้อมือ

“คำถามแบบนี้วันหลังไม่ต้องถามแล้วนะ เธอเป็นผู้ช่วยของเซ่อเซ่อ ไปข้างนอกนั่นก็เหมือนเป็นตัวแทนของเจียงเซ่อเองด้วย”

โม่อานฉีหน้าขึ้นสีก่อนจะขอโทษออกมา “ขอโทษด้วยค่ะ คุณเซี่ย”

เซี่ยเชาฉวินยังต้องไปประชุมต่อที่บริษัท หลังจากสั่งงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ตัดบทสนทนาแค่นั้น

เจียงเซ่อเก็บบทหนังขึ้นมา คิดอะไรอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามโม่อานฉี

“อานฉี พี่ช่วยหาอะไรให้ฉันหน่อยสิ ว่าในตี้ตูมีที่ไหนขายหินชิงเถียนบ้าง”

การที่เธอขอให้ช่วยทำอะไรแบบนี้ แน่นอนว่ามันไม่ใช่การซื้อของเล่นๆ แน่ โม่อานฉีรับคำ ก่อนจะถามออกไปอีกครั้ง

“เซ่อเซ่อ เธออยากจะให้แกะสลักออกมายังไงดี?”

เจียงเซ่อส่ายหน้า

“ฉันแค่อยากได้หินน่ะค่ะ จะส่งให้คนๆ หนึ่ง ของแค่ที่ดีๆ หน่อยก็พอ ไม่ว่าราคาจะเท่าไหร่ก็ตาม”

สิ่งที่เจียงเซ่อพูดทำให้โม่อานฉีรู้สึกแปลกใจไม่น้อย ราคาหินพวกนี้ยากที่จะประเมินดู แบบถูกๆ แค่ไม่กี่ร้อยก็มี แบบแพงจนเป็นสิบล้านก็ยังมี

เจียงเซ่อเองก็ไม่ได้รู้จักคนใหญ่คนโตอะไรนัก แต่การที่เธอบอกให้หาซื้อหินชิงเถียนโดยที่ไม่สนว่าราคาจะเท่าไหร่แบบนี้ มันก็อดไม่ได้ที่จะทำให้โม่อานฉีสงสัย

“เธอจะซื้อให้คุณเผยอย่างนั้นหรือ?”

“เปล่าค่ะ”

เธอส่ายหัว แววตาเผยความอบอุ่นออกมา

“จะมอบให้กับคุณปู่ของฉัน......” เจียงเซ่อชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเปลี่ยนคำพูดใหม่

“ฉันจะมอบให้คุณปู่เฝิงน่ะค่ะ”