บทที่ 322 ไม่เชื่อครึ่ง
เหอฉงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง หล่อนดูเวลา ตอนนี้มันห้าทุ่มห้าสิบนาทีแล้ว และหนังเรื่อง ‘เกี่ยวกับฉันที่รักเธอ’ ก็กำลังจะได้เวลาฉายรอบแรก
เสียงประกาศจากโรงภาพยนตร์ว่าตอนนี้สามารถเข้าสู่โรงหนังได้แล้ว เหอฉงเก็บมือถือลงกระเป๋า และเดินถือถังป็อปคอร์นเข้าไปในโรงหนังพร้อมกับเพื่อนสนิทของตนเอง
แต่ทันใดนั้นหางตาของหล่อนก็เหลือบไปเห็นคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังเดินเข้าห้องฉายหนัง VIP ไป ในกลุ่มนั้นมีหญิงสาวรูปร่างสูงเพรียวคนหนึ่งที่กำลังจูงมือมากับเด็กหนุ่มที่มีผ้าพันแผลที่มือ ถึงแม้ว่าจะใส่แมสปิดหน้า แต่ดูจากรูปร่างและบุคลิกท่าทางแล้ว ยังไงก็ดูเหมือนเจียงเซ่อ
“เหอฉง”
เพื่อนสนิทเรียกหล่อน ก่อนจะเร่งอีกรอบ
“มองอะไรอยู่? รีบเข้าไปกันเถอะ ดูสักนิดนึง แล้วฉันจะกลับไปเขียนบทวิจารณ์แล้ว”
ดูเหมือนว่าเพื่อนสนิทของหล่อนไม่ได้คิดที่จะอยู่ดูหนังเรื่อง ‘เกี่ยวกับที่ฉันรักเธอ’ จนจบเรื่องจริงๆ หล่อนตั้งใจแค่มาดูตอนเริ่มต้น ดูให้พอเข้าใจเนื้อเรื่องคร่าวๆ ดูให้รู้ว่าเจียงเซ่อแสดงแบบไหน แล้วกลับบ้านเขียนบทวิจารณ์เหน็บแนมเล่น
พอเข้ามาในโรงหนังแล้ว แล้วเพื่อนสนิทหล่อนก็ทำเหมือนเดิมทุกครั้งโดยการหยิบตั๋วหนังขึ้นมาถ่ายรูปเอาไว้ และโพสลงว่าเป็นตอนที่เข้ามาในโรงหนังแล้ว หล่อนโพสลงในแอคเค้าท์โซเชียลของตัวเอง และขึ้นแคปชั่นว่า โพสให้เหล่าแฟนคลับของเจียงเซ่อได้เห็นกัน แฟนคลับที่ชอบคิดว่าแค่มีหน้าสวยๆ ก็เป็นทุกอย่างได้แล้ว ตัวฉันจะได้มีเหตุผลและที่มาที่ไปอย่างชัดเจนว่าทำไมถึงไม่ไว้หน้ากัน! ตั๋วหนัง ‘เกี่ยวกับฉันที่รักเธอ’ ทั้งสองใบนี้ เดี๋ยวดูจบแล้วก็ค่อยว่ากัน แล้วอย่ามาหาว่าฉันด่ามั่วไม่มีความรับผิดชอบล่ะ!
ห้องฉายหนังค่อยๆ ปล่อยโฆษณาออกมา เหอฉงยังคงนึกถึงกลุ่มคนที่เห็นเมื่อครู่นี้ แล้วจู่ๆ เพื่อนสนิทหล่อนก็สะกิด
“บนโซเชียลมีคนเข้ามาเม้นท์เยอะแยะเลย แถมยังอยู่ข้างฉันกันทั้งนั้น”
หล่อนเป็นแฟนคลับตัวยงของจูพ่าน แถมหล่อนยังเป็นเหมือนกองหนุนแฟนคลับของจูพ่านอีก และแฟนคลับของจูพ่านที่มีมากมายก็มีความแน่นแฟ้นกลมเกลียวกันดี
คนกลุ่มนี้ล้วนแล้วต้องการที่จะดับความหยิ่งยโสของเจียงเซ่อลงให้ได้ และพวกเขาก็ยังหวังว่าจูพ่านที่ถูกซื่อจี้หยินเหอดองเอาไว้จะหมดสัญญาเร็วๆ และออกมาจากซื่อจี้หยินเหอเพื่ออนาคตที่ดีกว่านี้
เหอฉงมองตามอย่างไม่ค่อยใส่ใจนัก คิดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็พูดสิ่งที่ตัวเห็นออกไป
“นี่เหวินจิ้ง ฉันรู้สึกว่าเมื่อกี้เหมือนจะเห็นเจียงเซ่อ”
หล่อนอธิบายถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ แล้วพูดต่อ
“เหมือนว่าจะจูงมือกับผู้ชายอีกคนเข้ามาด้วย ผู้ชายสูงมาก น่าจะประมาณร้อยเก้าสิบขึ้นได้ มือข้างหนึ่งได้รับบาดเจ็บ มาเป็นกลุ่มใหญ่ เดินเข้าไปในห้องฉายหนัง VIP”
“จริงอ่ะ?”
สีหน้าของเพื่อนสนิทหล่อนดูตื่นๆ ขึ้นมาทันที “หล่อนไม่ได้มีแฟนอยู่แล้วเหมือนที่คนในวงการเขาพูดๆกันเหรอ? แถมบอกว่าเป็นแบ็คหลังให้หล่อนด้วยนี่ แต่ว่าหนึ่งปีที่ผ่านมานี้ไม่ค่อยได้ยินเรื่องนี้เท่าไหร่แล้ว ก็เห็นลือๆ มาเหมือนกันว่าอาจจะเลิกกันไปแล้วก็ได้ ซื่อจี้หยินเหอปั้นภาพพจน์ให้เธอเป็นเหมือนกับนางฟ้านางสวรรค์ และนางฟ้านางสวรรค์ที่ไหนจะควงชายอื่นเข้าโรงหนังในเวลาดึกดื่นแบบนี้กัน? แล้วผู้ชายคนนั้นอายุประมาณเท่าไหร่ล่ะ? รูปร่างหน้าตาเป็นไงเธอจำได้ไหม?”
ทั้งสองคนคุยกันได้ไม่กี่ประโยค คนที่เดินเข้ามาในห้องฉายหนังก็เริ่มเยอะขึ้นแล้ว และตอนนี้ที่นั่งก็ถูกจับจองกันเต็ม เหอฉงดูเวลาอีกครั้ง ยังเหลืออีกหนึ่งนาทีก็เที่ยงคืนแล้ว หล่อนส่งสัญญาณว่าให้เงียบ
“เอาไว้คุยกันทีหลัง”
แล้วทั้งสองคนก็มีความคิดที่จะไม่ดูให้จบทั้งเรื่องจริงๆ หรือแม้แต่คนอื่นๆ ที่เข้ามาในห้องฉายหนังก็ล้วนแล้วพกป็อปคอร์นและขนมอื่นๆ มากันด้วย หลายๆ คนก็มากันเป็นกลุ่มๆ ดูท่าก็คงจะคาดหวังกับหนังเรื่องนี้ที่มีการโปรโมตเสียใหญ่โตก่อนที่จะเข้าฉาย
พนักงานของโรงหนังเข้ามาปิดไฟลง รอบๆ ยังคงได้ยินเสียงเคี้ยวป็อปคอร์นได้อย่างชัดเจน แล้วเสียงของเจียงเซ่อก็ดังขึ้นมา
“จางเจิน พวกเรา เลิกกันเถอะ”
แค่ประโยคเดียวที่ดังออกมา แค่นั้นก็ทำให้เหอฉงเกิดสนใจขึ้นมาได้แล้ว
รู้แค่ว่าหนังเรื่อง ‘เกี่ยวกับฉันที่รักเธอ’ มันจะเป็นเรื่องราวหลังจากที่เกิดเรื่องกับจางเจินพระเอกของเรื่องนี้ แต่ก่อนหน้านี้ ในตัวอย่างหนังที่ได้เห็น ไม่มีการบอกมาก่อนว่านางเอกจะเริ่มด้วยการบอกเลิกแบบนี้
เหอฉงได้ยินแม้กระทั่งเสียงพูดกับตัวเองของคนรอบๆ
“มาถึงก็ขอเลิกเลย นี่จางเจินใช่พระเอกหรือเปล่า?”
เพื่อนสนิทหล่อนหันหน้ามา แล้วหัวเราะเย้ยหยัน
“ฉันจะรอดูว่าจ้าวร่างจะดึงเรื่องไปได้ยังไงอีก”
แต่ในห้องฉายหนังอีกห้องหนึ่ง พอเผยอี้ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมา เขาก็กระชับมือเจียงเซ่อแน่นกว่าเดิม
ตัวหนังยังคงใช้เสียงจริงๆ ของเธอ น้ำเสียงของเธอมันมีความหนักแน่นแต่ก็เต็มไปด้วยความอ่อนล้า ถึงชื่อที่เรียกออกมาจะไม่ใช่ชื่อของตัวเอง และรู้ว่าเป็นแค่ ‘เธอ’ ในหนัง แต่ตอนที่ได้ยินเสียงของเธอดังขึ้นมาข้างๆ หู ตอนที่เธอบอกว่า ‘เลิกกันเถอะ’ แค่นั้นมันก็สามารถทำให้ใจของเขารู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาได้แล้ว
“พวกเราจะไม่เลิกกัน” เขาหันหน้าไป แล้วมองเจียงเซ่อที่กำลังยิ้มอยู่ ท่ามกลางความมืดพวกเนี่ยต้านกำลังจดจ้องไปที่หน้าจอ ไม่ทันได้สังเกตทั้งสองคน
เขาทำเนียนโน้มตัวเข้าไป เพราะอยากจะจูบเจียงเซ่อ แต่ยังไม่ทันที่จะได้แตะเธอ เธอก็เป็นฝ่ายโน้มตัวเข้ามาหาเอง แล้วจุ๊บลงไปเบาๆ บนใบหน้าของเขา
เผยอี้เป็นฝ่ายรุกบ่อย กุมมือเธอบ้าง โอบเอวเธอบ้าง แต่การที่เธอมารุกเขาแถมยังเป็นการจุ๊บแบบนี้มันน้อยจนถึงขึ้นว่าไม่มีเลยก็ว่าได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงในสถานการณ์แบบนี้เลยด้วย
เขาชะงักตกใจ จนเกือบจะกระโดดลุกขึ้นอยู่แล้ว แต่ทั้งตัวกลับรู้สึกเหมือนกำลังโดนก้อนเมฆล้อมตัวเอาไว้ เหมือนกำลังจะล่องลอยไปไกล เหมือนเท้ามันไม่ติดพื้นแล้ว
“เซ่อเซ่อ......”
เขาเสียงสั่น แล้วจู่ๆ เฉิงหรูหนิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็หันหน้ามา
“เฮ้ย! พี่อี้ พี่ช่วยเงียบๆ หน่อยได้ไหมเนี่ย?”
“......”
เผยอี้ไม่ได้สนใจเขา ก่อนจะกระชับมือของเจียงเซ่อให้แน่นกว่าเดิม แล้วยกขึ้นมาจูบลงไปอยู่หลายที เธอหันไปมองเผยอี้ยิ้มๆ ทำเอาเผยอี้รู้สึกว่าหนังไม่มีอะไรให้น่าสนใจอีกต่อไป อย่างน้อยก็ไม่เท่ากับการที่ได้ดูเธอตัวเป็นๆ แน่
แต่ทางด้านของเหอฉง หลังจากที่ได้เห็นว่าโจวเหวยได้ขอจางเจินเลิกไปแล้ว จนกระทั่งเกิดเรื่องขึ้นกับจางเจิน และโจวเหวยก็ไปงานศพ
ในตอนนี้ทั้งเหอฉงและเพื่อนสนิทของหล่อนก็เริ่มตั้งใจที่จะจับผิดแล้ว แต่ทว่าตั้งแต่ตอนที่หนังเริ่ม ความตั้งใจมันก็เริ่มนิ่งไป จนถึงตอนนี้ก็ยังหาจุดผิดพลาดไม่เจอ
และเพราะว่าฉากเริ่มมันไม่เหมือนกับหนังรักเรื่องอื่น เลยทำให้ทั้งสองคนรู้สึกสนใจมากขึ้น
ตั้งแต่ความเหนื่อยล้าและความอึดอัดที่โจวเหวยต้องแบกรับเอาไว้ และได้ไปงานศพของแฟนเก่าที่ยังอยู่ในใจเสมอ จนไปถึงเรื่องราวหลังจากนั้นของเนื้อเรื่อง ล้วนแล้วไม่ได้ดูโอ้อวดเกินจริงเหมือนอย่างที่ทั้งสองคนตั้งข้อสงสัยกันเอาไว้ แล้วก็ไม่คิดว่าจะสามารถดึงดูดได้ขนาดนี้ หรือแม้แต่คำพูดของเพื่อนสนิทหล่อนที่พูดเอาไว้เล่นๆ ว่า ‘ผู้กำกับบ้าหรือเปล่าที่ให้นักแสดงนำชายแสดงได้อย่างมีชีวิตชีวาขนาดนี้’ ที่เรียกได้ว่าเป็นคำวิจารณ์ไร้สาระแบบนั้นก็ไม่มีเกิดขึ้นในหนัง
จ้าวร่างเอาสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วแบ่งออกเป็นสองทาง มีบางจุดที่เชื่อมต่อกันอย่างไม่ขัดแย้งกัน และดูไม่วุ่นวาย
หรือแม้แต่จุดที่ทำให้เหอฉงหลุดจากอารมณ์ของหนังก็ไม่มี
เจียงเซ่อที่แสดงเป็นโจวเหวยในเรื่องนั้นแสนจะสดใสและบริสุทธิ์ราวกับหยดน้ำค้าง เธอสวมกระโปรงยาวชีฟองสีเขียว คู่กับเสื้อเชิ้ตสีอ่อน เอวคอดที่เข้ารูป มันดูเข้ากับฉากหนังได้อย่างดี
ทัศนียภาพของทะเลสาบซีหูที่ขมุกขมัว ต้นหลิวสีเขียวสด น้ำที่ใสสะอาด หญิงสาวที่ผมยาวถึงเอวกำลังเดินไปยืนอยู่ที่ข้างสะพาน เหอฉงกลับเริ่มรู้สึกว่าคำวิจารณ์ของเพื่อนสนิทเธอที่มีต่อเจียงเซ่อดูใจร้ายไปหน่อยแล้ว
และหล่อนก็เริ่มเข้าใจพวกแฟนคลับของเจียงเซ่อที่พากันตกหลุมรักรูปลักษณ์ภายนอกของเธอแล้ว เธอค่อยๆ ไหลไปตามเนื้อเรื่อง และตกอยู่ในภวังค์บรรยากาศของหนัง อีกทั้งยังรู้สึกตำหนิจางเจินที่เมินเฉยต่อหญิงสาวแสนสวยอย่างโจวเหวยเกินไป
ภายในห้องฉายหนัง แทบไม่รู้ตัวเลยว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่เสียงเคี้ยวป็อปคอร์นค่อยๆ น้อยลง จนสุดท้ายก็ไม่ได้ยินมันอีกเลย ได้ยินเพียงเสียงดนตรีประกอบหนังที่รื่นหู
ความรู้สึกและจิตใจของคนดูไหลไปตามเนื้อเรื่องเรื่อยๆ ในตอนที่เนื้อเรื่องมันยิ่งเจาะลึกมากเท่าไหร่ ภาพของโจวเหวยที่กำลังหวนรำลึกถึงความทรงจำของจางเจินก็ยิ่งมากขึ้น และเหอฉงก็เริ่มสัมผัสได้ถึงความเศร้าเหล่านั้นแล้ว
ความเจ็บปวดเหล่านั้น ก็เหมือนกับตอนที่ทุกคนได้เห็นงานศพของจางเจิน เก็บกดอารมณ์เอาไว้เหมือนอย่างที่โจวเหวยทำ และค่อยๆ ระเบิดมันออกมาในภายหลัง