webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

315

บทที่ 315 ดั่งใจ

ถึงตอนนั้นถ้าหนังทั้งสองเรื่องมันชนกันจริงๆ เฝิงหนานก็สามารถปล่อยข่าวเล็กๆ น้อยๆ ออกไปได้ ว่าหนังเรื่องนี้ใช้ต้นทุนน้อย แต่ได้คำชมเชยมากมาย ไม่แน่นะ พอถึงตอนนั้นแล้วหล่อนก็ยังสามารถพึ่งข้อวิพากษ์วิจารณ์ของมวลชน กดเรื่อง ‘Evil’ ลงไปก็ได้

และหล่อนก็ยังสามารถใช้กระแสหนังแนว ‘แก้แค้น’ แบบนี้ ดันให้หนังเรื่อง ‘Revenge’ เรื่องนี้มีชื่อเสียงเสียยิ่งกว่าที่เคยเกิดขึ้นในโลกที่แล้ว

ถึงแม้ว่ายอดขายบัตรหนังเรื่อง ‘Revenge’ อาจจะได้น้อยกว่าเรื่อง ‘Evil’ แต่ถ้าเทียบกับชื่อเสียงที่จะได้มาแล้ว มันก็ถือว่ามีประโยชน์สำหรับหนังเรื่องต่อไปของหล่อนแล้ว

ในงานหนังรอบปฐมทัศน์เรื่อง ‘เกี่ยวกับฉันที่รักเธอ’ การสัมภาษณ์ใกล้จะถึงตอนสุดท้ายแล้ว

โม่อานฉียังคงสอดส่ายสายตาไปรอบๆ งาน ก่อนจะหันไปกระซิบกับเซี่ยเชาฉวิน

“คุณเซี่ยคะ เหมือนว่าซูเพ่ยเอินจะไม่ได้มานะคะ”

ในงานหนังรอบปฐมทัศน์ในครั้งนี้ แน่นอนว่าซูเพ่ยเอินที่เป็นถึงนักวิจารณ์หนังผู้มีชื่อเสียงก็ได้รับบัตรเชิญเช่นกัน แต่เขากลับไม่ได้ปรากฏตัวอยู่ในงานเสียอย่างนั้น

ก่อนหน้านี้สองครั้งที่หนังของเจียงเซ่อเข้าฉาย เขาก็มาทุกครั้ง อีกทั้งยังเขียนบทวิจารณ์ให้กับเจียงเซ่ออีก และนั่นก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เจียงเซ่อกลายเป็นที่สนใจของใครหลายๆ คนมากขึ้น

แต่ครั้งนี้ซูเพ่ยเอินกลับไม่มา น่ากลัวว่าคงจะมีหลายๆ คนเอาเรื่องนี้ไปเขียนข่าวกันแน่ๆ

“หรือว่าเขาไม่ค่อยจะสนใจกับหนังแนวรักๆ ใคร่ๆ แบบนี้กันนะ?”

เซี่ยเชาฉวินยกมือขึ้นกอดอก แล้วพูดคุยกับโม่อานฉีไปสองสามประโยค การสัมภาษณ์บนเวทีจบลงแล้ว และกำลังเข้าสู่ขั้นตอนต่อไปของงาน ไฟในห้องฉายหนังค่อยๆ ถูกหรี่ลงจนมืด และเริ่มฉายหนังรอบแรก

บนหน้าจอยังคงเป็นสีดำสนิท ในตัวหนัง เริ่มจากการมีเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ขึ้น จากนั้นก็โดนรับสายอย่างรวดเร็ว เจียงเซ่อกรอกเสียงใส่อย่างเหนื่อยล้า

“จางเจิน พวกเรา เลิกกันเถอะ”

การเปิดเรื่องด้วยฉากแบบนี้ ทำให้หลายๆ คนเกิดความรู้สึกแปลกใหม่ขึ้นมา และเกิดความรู้สึกว่าหนัง ‘รัก’ เรื่องนี้เริ่มที่จะมีความน่าสนใจ

และหลังจากที่สิ้นเสียงบอกเลิกของโจวเหวย หน้าจอก็ค่อยๆ สว่างขึ้นมา

ในหนังปรากฏภาพหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังยืนหวีผมอยู่หน้ากระจก ในขณะเดียวกันก็มีเสียงดนตรีคลอตามมาด้วย นาวเอกกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อที่จะออกไปข้างนอก เธอกำลังจะไปงานศพของแฟนหนุ่ม

มุมกล้องไหลไปตามนางเอก คนรอบๆ ข้างต่างพากันพูดกับเธอว่า ‘ขอแสดงความเสียใจด้วยนะ’ จากภาพที่อยู่บนจอนั่น ทุกคนต่างก็แสดงออกมาว่าอยากจะให้นางเอก ‘สบายใจ’ ขึ้น ทำให้คนดูเริ่มที่จะพอเข้าใจความเป็นมาเป็นไปของตัวนางเอกคร่าวๆ แล้ว

เธอและแฟนหนุ่มที่เสียชีวิตไปได้คบหาดูใจเป็นแฟนกันมาเจ็ดปีแล้ว จากสายตาคนภายนอก ทั้งสองคนต่างก็เป็นคู่รักที่ดีต่อกัน คบกันมานานหลายปี ที่ขาดอย่างเดียวก็คือการแต่งงานอย่างถูกต้องตามประเพณี

“ฉันยังคิดว่า รออีกนิดนึงก็จะได้ดื่มเหล้ามงคลในงานแต่งงานของพวกเธอแล้วนะ”

นี่เป็นเสียงคนที่มาร่วมงานศพในครั้งนี้ มันเป็นประโยคที่ได้ยินบ่อยที่สุดในงานแล้ว

“ไม่คิดเลยว่าจะมีเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น”

และทุกครั้งที่ได้ยินแบบนั้น ใบหน้าของโจวเหวยก็จะปรากฏรอยยิ้มที่ฝืดเฝื่อนอยู่เสมอ

ผู้ชมที่กำลังดูอยู่ต่างก็รู้สึกรอยยิ้มแบบนั้นของเธอดี เพราะว่าก่อนที่จางเจินจะประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ เธอก็เพิ่งจะบอกเลิกกับจางเจินไป

อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับจางเจินในครั้งนี้ ท่าทางของโจวเหวยไม่ได้แสดงออกถึงความเศร้าโศกเสียใจอะไรนัก กลับกันตั้งแต่ฉากเริ่มต้น ก็เหมือนว่าเธอได้เก็บความรู้สึกเจ็บปวดเหล่านั้นเอาไว้หมดแล้ว

ราวกับว่าคนที่เพิ่งเสียชีวิตไปเป็นเพียงแค่เพื่อนคนหนึ่งที่รู้จักกันมาหลายปี ไม่ใช่คนรักที่เพิ่งตายจากกันไป

พอเหล่าผู้ชมดูถึงตรงนี้แล้ว ก็เริ่มพอที่จะคาดเดาถึงความรู้สึกของทั้งสองคนนี้ได้แล้ว

จ้าวร่างไม่ได้อธิบายถึงเรื่องราวต่างๆ อย่างโจ่งแจ้ง แต่เป็นการค่อยๆ ลงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ หนังที่เริ่มเรื่องมาได้ประมาณห้านาที ก็เริ่มที่จะค่อยๆ ปล่อยใจความสำคัญของเรื่องออกมาอย่างชัดเจนแล้ว

ในหนังเรื่องนี้ จ้าวร่างงัดเทคนิคต่างๆ ออกมาใช้ได้อย่างเยี่ยมยอด คนๆ หนึ่งที่ต้องเสียผู้ร่วมห้องไป ยามที่แสงแดดมันลอดผ่านหน้าต่างเข้ามาในห้อง เศษฝุ่นละอองลอยฟุ้งไปทั่ว ความมืดและความกดดันที่รู้สึก มันกำลังค่อยๆ โอบล้อมตัวของโจวเหวยเอาไว้ เธอดูสงบอย่างที่ไม่น่าจะเป็นได้ และทั้งๆ ที่มีหน้าจอกั้นขวางก็ยังสัมผัสถึงความรู้สึกได้เป็นอย่างดี

หนังรักทั่วไปจะมีอารมณ์การแตกหน่อ ออกดอก และออกผลไปตามลำดับ แต่ตัวละครโจวเหวยและจางเจินในหนังเรื่อง ‘เกี่ยวกับฉันที่รักเธอ’ ในตั้งแต่แรกเริ่มกลับเป็นการร่วงโรย

แต่หลังจากที่จางเจินเสียชีวิตไป ชีวิตของโจวเหวยในทุกๆ ย่างก้าวยังมีแต่ร่องรอยและความทรงจำของเขาอยู่เสมอ

คิดว่าตัวเองไม่ได้รักเขาแล้ว คิดว่าความรักมันจะค่อยๆ เสื่อมถอยลงจนกลายเป็นเรื่องจู้จี้กวนใจในชีวิต แต่ทุกครั้งที่เลิกงานและระหว่างที่เดินกลับบ้าน เธอมักจะเดินผ่านทะเลสาบซีหูเสมอ และเธอก็มักจะนึกถึงตอนที่เธอเคยมาที่นี่กับจางเจิน

ความรักที่เคยคิดว่ามันขาดหายไปแล้ว กลับค่อยๆ งอกงามขึ้นมาใหม่ทุกครั้งที่เดินผ่านไปในสถานที่ที่คุ้นเคย

ข้าวของในบ้านยังคงมีของของจางเจินจัดวางไว้อยู่ที่เดิม ห้องที่ทั้งสองคนเช่าด้วยกันเป็นห้องชุดห้องหนึ่ง เขาเป็นนักวาดภาพประกอบ จะต้องมีห้องหนังสือเป็นของตัวเองห้องหนึ่ง ตอนที่เช่าห้องนี้ด้วยกัน ทั้งสองคนก็ยังช่วยกัน ทำระเบียงห้องเล็กๆ นั่นให้เป็นห้องหนังสือส่วนตัวของเขาอยู่เลยด้วยซ้ำ

โจวเหวยยังจำได้ เมื่อหลายปีก่อน ในตอนที่ความรู้สึกของทั้งสองคนยังดีกันอยู่นั้น เธอมักชอบเข้าไปอยู่เป็นเพื่อนเขาบ่อยๆ ตอนนั้นเขากำลังวาดรูป ส่วนตัวเองก็จะนั่งอ่านหนังสืออยู่ข้างๆ

บางทีพอดึกๆ เข้าหน่อยเกิดหิวขึ้นมา ก็ต้มบะหมี่สักถ้วย แล้วเราสองก็แบ่งกันกิน

แต่ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ที่เธอค่อยๆ ไม่ไปอยู่กับจางเจินแล้ว เธอเริ่มรู้สึกเบื่อกับชีวิตที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแบบนั้นแล้ว เธอเริ่มที่จะไม่ยอมรับชีวิตที่มันเรียบง่ายและเงียบสงบแบบนั้นอีกต่อไป

เธอดันประตู ‘ห้องหนังสือ’ ของจางเจินออก สิ่งของที่อยู่ข้างในยังคงจัดวางเอาไว้เหมือนเดิมอย่างเคยเป็น แต่กระดาษที่ทั้งสองคนเคยแปะเอาไว้บนผนังเริ่มที่จะเหลืองแล้ว

เจ็ดปีก่อนหน้านี้ ตอนที่ทั้งสองเช่าห้องนี้เอาไว้ และทั้งๆ ที่ต่างก็เคยเฝ้าฝันและปรารถนาถึงอนาคตไว้มากมาย แต่ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ที่ความฝันเหล่านั้นมันค่อยๆ เลือนหายไป?

โจวเหวยเอียงคอคิดพินิจถึงมัน อาจเป็นเพราะตัวเธอคิดว่าจางเจินไม่รู้จักที่จะโรแมนติก อาจเป็นเพราะเขาไม่ค่อยใส่ใจ ไม่ค่อยบอกรักเธอ เขาเงียบเกินไป แม้แต่ตอนที่เธอขอเลิก เขาก็ไม่แม้แต่จะรั้งเธอเอาไว้

ในใจของเขามีแต่ความเพ้อฝันของตัวเอง สิ่งที่เขาปรารถนาคือแกลลอรี่ อาร์ตข้างทะเลสาบซีหูที่เต็มไปด้วยรูปวาดของเขา ความหวังของเขามักจะมาก่อนเธอเสมอ ดังนั้นไม่ว่าจะวันสำคัญไหนๆ ก็ตาม เขาก็มักจะให้เวลาอยู่กับแค่การวาดรูปอยู่เสมอ จนลืมสิ่งเหล่านั้นไป

โต๊ะเขียนหนังสือเล็กๆ ตั้งเอาไว้ในห้องแคบๆ บนนั้นมีสมุดจดบันทึกเล่มหนึ่งที่เขาใช้มันมานานหลายปีแล้ว อีกทั้งรูปวาดร่างอีกมากมาย มากพอที่จะตั้งเป็นกองสูงใหญ่ และมีหลายรูปที่เหมือนจะวาดเสร็จแล้ว เขาเก็บมันเอาไว้ในห่ออย่างเรียบร้อย และตั้งเอาไว้ตรงมุมหนึ่งของห้อง

สิ่งที่เกิดกับเขามันกะทันหันมากๆ ของหลายๆ อย่างเขายังไม่ทันจะได้เก็บมันด้วยซ้ำ บนขาตั้งวาดรูปที่เพิ่งจะวาดไปได้เพียงครึ่ง ลายเส้นดูหวัดไปหวัดมาไม่ค่อยเรียบร้อยนัก ดูก็รู้ว่าจางเจินวาดรูปนี้ขึ้นมาด้วยอารมณ์ที่ไม่สงบนัก

มันไม่ใช่ทุกวันที่เขาจะสามารถสร้างสรรค์ผลงานออกมาได้ เขาเองก็มีมุมที่สงบสติอารมณ์ไม่ได้เหมือนกัน โจวเหวยลองเปิดดูรูปต่างๆ ที่เขาเคยวาดเอาไว้ดู ก็พบว่าหลายปีที่ผ่านมานี้ตัวเองมองข้ามแฟนหนุ่มไปมากขนาดไหน

ในขณะที่เธอคิดว่าจางเจินไม่ได้ให้ความสนใจเธอเลย แต่ตัวเองก็กำลังมองข้ามความรู้สึกของจางเจินไปเหมือนกัน

เธอเองก็ไม่ได้เข้าใจเขาดีพอ อย่างน้อยสิ่งที่เธอไม่รู้ ก็คือการที่เขาเขียนชื่อของเธอเอาไว้บนกระดาษสเกตซ์เต็มไปหมด

สีหน้าและอารมณ์ของโจวเหวยค่อยๆ เปลี่ยนไป เธอเหมือนอยากจะหลีกหนีไปให้ไกล ไม่กล้าที่จะไปรื้อค้นความทรงจำที่มีฝุ่นจับตรงนั้นอีก

เธอเดินไปที่โต๊ะเขียนหนังสือ ตรงมุมๆ นั้นมันแคบมาก มันเป็นที่ๆ สำหรับนั่งได้เพียงคนเดียว เธอเป็นคนรูปร่างผอม แต่ตอนที่ลองนั่งก็พบว่าแทบจะไม่มีที่ให้หมุนตัวเลยด้วยซ้ำ ถ้าจางเจินนั่งตรงนี้ มันจะต้องอึดอัดมากแน่ๆ

หลายปีที่ผ่านมานี้ สิ่งที่ทำให้เขาทนนั่งอยู่ในสภาพที่ดูแย่แบบนี้ได้ ก็คงจะเป็นความฝันของเขาสินะ

พอคิดถึงตรงนี้ โจวเหวยก็หัวเราะออกมาเบาๆ แต่ขอบตากลับแดงก่ำ

เธอสูดหายใจลึก กัดปากตัวเองเอาไว้ แล้วเงยหน้าขึ้น

รอยด่างพร้อยบนเพดานห้องมันเริ่มจะลอกหลุดลงมาแล้ว แต่เมื่อลองเงยหน้ามองขึ้นไป สิ่งแรกที่เห็นอย่างชัดเจนก็คือชื่อของเธอเอง