webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

274

บทที่ 274 ก่อความวุ่นวาย

“อาอี้มาแล้วหรือ กลับมาตี้ตูตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”

ตอนที่เฝิงจงเหลียงเห็นเผยอี้ ใบหน้าของเขาก็เผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย เขายืนนิ่งไม่ไหวติง นี่ดูไม่เหมือนกับนิสัยจริงๆ ของเขาเสียเท่าไหร่เลย

เผยอี้เป็นหลานของคุณปู่เผย และคุณปู่เผยเองก็เป็นหัวหน้าเก่าของเขา เวลาที่เขาอยู่ต่อหน้าเผยอี้ ถึงแม้ว่าเผยอี้จะมีศักดิ์เป็นรุ่นลูกรุ่นหลานของเขา แต่เขาก็ยังคงปฏิบัติต่อเผยอี้อย่างเกรงใจและให้ความเคารพ ไม่เคยแม้สักครั้งที่จะเสียมารยาท

“เมื่อคืนได้ยินมาจากคุณปู่ว่า คุณปู่หกล้ม เลยรีบจองตั๋วกลับมาเยี่ยมน่ะครับ”

เฝิงจงเหลียงที่ได้ยินเขาพูดแบบนั้น รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็ดูฝืดลงไป

ถ้าหากว่าเป็นเมื่อก่อน ตอนที่เผยอี้ยังชอบเฝิงหนานหลานสาวของเขาอยู่ล่ะก็ การที่เขาทำแบบนี้ เฝิงจงเหลียงก็จะไม่เกิดความสงสัยแปลกใจเลยสักนิด

แต่ทว่าระหว่างเฝิงหนานและเผยอี้ในตอนนี้ มันคงไม่มีทางเป็นไปได้อีกต่อไปแล้ว สายตาของเขามองไปที่มือของเผยอี้ที่จับกับมือของเจียงเซ่อแน่น ก็รู้แล้วว่าเผยอี้นั้นมีตัวเลือกอื่น และเขาเองก็จำเจียงเซ่อได้ เมื่อตอนต้นปี เผยอี้เองก็ยังพาเธอกลับไปเจอกับผู้ใหญ่ที่บ้านตระกูลเผยด้วย ดูท่าทางจะจริงจังน่าดู

และมันก็เป็นแบบนี้ไปแล้ว เฝิงจงเหลียงจึงไม่เข้าใจ ว่าแค่ตัวเองล้มแค่นี้ ทำไมมันยังถึงเป็นเรื่องสำคัญของเผยอี้ไปได้

แล้วเขาก็นึกถึงเฝิงหนานในตอนนี้ขึ้นมา แต่ก็ได้แต่ถอนหายใจอย่างเงียบๆ แล้วฝืนใจพูดออกไป

“แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ต้องขอโทษด้วยที่ทำให้หัวหน้าต้องตกใจ”

“จะบอกว่าเป็นเรื่องเล็กๆ ได้อย่างไรกันครับ? คุณปู่เป็นห่วงมากเลย เมื่อเช้าพอรู้ว่าผมจะมาที่นี่ ท่านก็ยังฝากผมมากำชับให้คุณปู่พักผ่อนเยอะๆ หน่อยนะครับ”

เผยอี้กุมมือเจียงเซ่อเอาไว้ แล้วยิ้มออกไปเล็กๆ

“คุณปู่กับคุณปู่ของผมเคยร่วมเป็นร่วมตายมาด้วยกัน คุณปู่ฝากผมมาบอกว่า วันเวลาที่ผ่านไปแต่ละปีแต่ละปี เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของท่านก็เหลือไม่มากแล้ว ถ้าหากว่าคุณปู่พอมีเวลาว่าง ก็อยากจะให้ไปนั่งคุยกันที่บ้านบ่อยๆ อยากจะเล่นหมากรุกด้วยกัน เพราะท่านเองก็เหงาอยู่ไม่น้อยเลยนะครับ”

ใบหน้าของเด็กหนุ่มเผยความหนักแน่นออกมาให้ได้เห็น คิ้วตาที่เคยดูเป็นคนใจร้อนก็เปลี่ยนไปดูสงบและเก็บอารมณ์ได้เก่งขึ้นด้วย ภาพใบหน้าที่จำได้ในความทรงจำที่ดูอวดดีนั่น ตอนนี้ก็เปลี่ยนไปดูสำรวมมากขึ้น ไหล่ดูผายและกว้างขึ้น ไม่เจอเพียงแค่ปีเดียว เด็กคนนี้ก็ดูสูงขึ้นอีกนิดด้วย แข็งแกร่งและสง่างาม

คำพูดของเขาทำให้เฝิงจงเหลียงรู้สึกประทับใจขึ้นมาเล็กน้อย เขาก้มหน้าลง ตั้งแต่ที่เฝิงหนานและจ้าวจวินฮั่นตัดสินใจที่จะสานสัมพันธ์กัน ระหว่างเขาและเผยอี้ก็ได้พบกันน้อยลง ครั้งนี้คุณปู่เผยใช้ให้เผยอี้มาพุดเตือนตน ว่าอย่าเอาเรื่องเล็กๆ ของลูกหลาน มาเป็นเหตุผลที่จะทิ้งความสัมพันธ์สหายที่เคยร่วมเป็นร่วมตายกันมา

“ที่ท่านจะบอกก็คือ ถ้าหากว่าคุณปู่ว่าง จะต้องไปเยี่ยมหาท่านให้ได้นะครับ”

เฝิงจงเหลียงรับคำ จากนั้นก็เรียกให้ทั้งสองคนเข้ามาข้างในบ้านก่อน

มือของเขาที่ค้ำยันอยู่บนไม้เท้านั้นดูต้องออกแรงมากๆ มันดูสั่นไปหมด เขาลองอยู่หลายครั้ง แต่ขาของเขากลับยกไม่ขึ้นเสียที

และเพราะว่าเขาเป็นคนหัวแข็ง เสี่ยวหลิวที่คอยดูแลเขาอยู่ห่างๆ กำลังจะเข้าไปช่วยพยุง แต่ก็โดนจ้องเขม็งกลับเสียอย่างนั้น เขาเดินไปอีกสองก้าว ใบหน้าก็เริ่มซีดเสียแล้ว ในวันที่อากาศหนาวเย็นขนาดนี้ แต่บนหน้าผากของเขากลับมีเม็ดเหงื่อผุดออกมา

เจียงเซ่อเผลอยื่นมือออกไป และช่วยพยุงเขาเอาไว้

เขาขมวดคิ้ว ในขณะที่คิดว่าจะดิ้นให้หลุดจากมือของเจียงเซ่อที่กำลังพยุงตัวเองอยู่นั้น เขากลับเกิดความสงสัยและพบว่าเด็กสาวคนนี้ประคองเขาด้วยความแน่นหนาและมั่นคงมากๆ และทั้งๆ ที่อยู่ต่อหน้าเผยอี้ เผยอี้กลับไม่พูดอะไรออกมาสักคำ เฝิงจงเหลียงเองก็ไม่สามารถที่จะทำหน้าไม่พอใจหรือตะคอกให้เธอปล่อยตัวเองได้

“คนแก่อายุมากขึ้น ใช้ไม่ได้เลยจริงๆ”

เขาหัวเราะ ‘เหอะๆ’ ต่อท้าย พอเดินเข้าไปในบ้านแล้ว คนใช้ก็ได้ตระเตรียมน้ำชาและของว่างเอาไว้ให้เรียบร้อย

ข้าวของเครื่องประดับในบ้านตระกูลเฝิงส่วนมากจะเป็นแนววัฒนธรรมของหัวเซี่ย ทั้งเฟอร์นิเจอร์ โซฟาต่างก็ทำมาจากไม้หนาของจริง แต่ถึงแม้ว่าข้างบนมันจะถูกปูเอาไว้ด้วยเบาะอยู่แล้ว แต่เวลานั่งมันก็ยังไม่ค่อยจะสบายตัวอยู่ดี

ตอนที่เจียงเซ่อมาถึง เธอก็เอื้อมมือไปเลือกเอาหมอนอิงบนโซฟามา ยัดลงไปบนที่นั่งประจำของเฝิงจงเหลียงทันที เขาที่เห็นเจียงเซ่อทำแบบนั้น ก็ชะงักไปเล็กน้อย ใบหน้าของเขากระตุกสั่น

บนโต๊ะมีหนังสือของโหวซีหลิ่งเล่มหนึ่งวางเอาไว้ ข้างๆ กันมีแว่นสายตายาวตั้งเอาไว้ด้วย ทำให้รู้ว่าก่อนที่ทั้งสองคนจะมาถึงที่นี่ เฝิงจงเหลียงคงกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงนี้

เจียงเซ่อจำได้ว่า เมื่อก่อนคุณปู่ไม่ค่อยชอบอ่านพวกนี้เท่าไหร่ เขาชอบที่จะปลูกดอกไม้ใบหญ้า เสร็จแล้วพอไม่มีอะไรทำก็จะมานั่งเล่นหมากรุก เขียนศิลปะพู่กันจีน มีบ้างบางครั้งที่อ่านพวกหนังสือพิมพ์ แต่ก็ไม่เคยเห็นว่าจะอ่านนิยาย ส่วนมากจะเป็นพวกข่าวสารเสียมากกว่า

เขาค่อยๆ นั่งลง คนรับใช้ยกชาเข้ามา เผยอี้มองไปที่เจียงเซ่อเล็กน้อย จากนั้นก็มองไปที่เฝิงจงเหลียง

“ผมขอตัวไปเข้าห้องน้ำสักครู่นะครับ”

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามาที่บ้านตระกูลเฝิง พอเฝิงจงเหลียงพยักหน้าให้ เผยอี้ก็ลุกออกไปทันที บรรยากาศจึงดูน่าอึดอัดไม่ใช่น้อย

เจียงเซ่อนั่งลงทางด้านขวามือของเฝิงจงเหลียง แล้วเอาแต่นั่งจ้องเขา ที่เผยอี้ขอตัวออกไปก็คงอยากจะให้เธอได้มีเวลาคุยกับเขา เธอเข้าใจดี

เฝิงจงเหลียงเองก็รู้สึกได้ว่าเจียงเซ่อเอาแต่จ้องมองตนเองไม่ละสายตาเสียที เขาจึงทำทีว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น จิบชาไปสองจิบ ไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่น้อย รอไปอยู่ครู่หนึ่ง เผยอี้ก็ยังไม่เข้ามาเสียที เจียงเซ่อเองก็ยังจ้องตนอยู่แบบนั้น เขาจึงขมวดคิ้วทันที

เขายังจำเจียงเซ่อได้ เอาจริงๆ แล้วก็ถือว่าจำได้แม่นเลยทีเดียว เมื่อเทียบกับตอนที่เจอกันเมื่อต้นปีแล้ว เธอก็ดูไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเท่าไหร่ ยังไม่ค่อยพูดเหมือนเดิม

แต่กับเจียงเซ่อที่เอาแต่นั่งจ้องตนไม่หยุดแบบนี้ในใจก็เริ่มรู้สึกอึดอัดขึ้นมา เลยเดาว่าหรือเธอจะรู้ว่าเผยอี้เคยชอบหลานสาวของตน เลยทำให้ทั้งเด็กสองคนนี้ทะเลาะกันหรือเปล่า

แต่พอโดนเจียงเซ่อจ้องอยู่แบบนี้สักพักใหญ่แล้ว เฝิงจงเหลียงก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป สายตาของเธอดูไม่ปิดบังความรู้สึกเลยสักนิด ราวกับว่าเธอกำลังสำรวจอะไรบนตัวเขาอยู่ นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเธอเกี่ยวข้องกับเผยอี้แล้วละก็ เขาคงจะลุกขึ้นขอตัวไปแล้ว

“เธอมองอะไรงั้นหรือ?”

เขาวางแก้วชาลง ตอนแรกคิดว่าถ้าตัวเองพูดแบบนั้นออกไปแล้ว เด็กสาวก็คงจะต้องรู้สึกอายแล้วเก็บสีหน้าอารมณ์ถึงจะถูก

แต่ที่ไหนกัน แค่สิ้นเสียงตน เจียงเซ่อก็ลุกพรวดขึ้นมา แล้วก้าวเข้ามาอยู่ตรงหน้าเขาทันที เธอก้มหน้าลง

“ได้ยินมาว่าคุณหกล้ม กระแทกโดนตรงไหนหรือคะ?”

แววตาของเธอแสดงออกถึงความเป็นห่วง เฝิงจงเหลียงนึกไม่ถึงว่าเธอจะถามออกมาแบบนั้น สีหน้าเขาอ่อนลงเล็กน้อย ถึงจะไม่เข้าใจว่าทำไมเจียงเซ่อต้องมาใส่ใจกับอาการบาดเจ็บของตนขนาดนี้ แต่ตนเองก็ไม่ชินกับการที่จะไปรับความหวังดีจากคนแปลกหน้าเช่นกัน เพราะงั้นเขาถึงส่ายหน้ากลับไป

“ไม่ใช่เรื่องที่เธอจะต้องกังวลหรอกนะ ไม่ได้หนักหนา......”

เขายังไม่ทันได้พูดจบ เจียงเซ่อก็คุกเข่าลงตรงหน้าเสียแล้ว เธอยื่นมือมาจับลงบนข้อเท้าและหัวเข่าของเขา เพราะเมื่อกี้เธอสังเกตตอนที่เฝิงจงเหลียงเดินและเห็นว่ามันดูไม่ปกติเท่าไหร่ เขาที่โดนเจียงเซ่อทำแบบนั้นใส่ก็ตกใจ และรีบหลบทันที

“เธอทำอะไรกัน?”

“หนูแค่อยากจะดู ว่าข้อเท้าได้รับบาดเจ็บหรือเปล่าน่ะค่ะ”

เธอเห็นท่าทางตอนที่เขาเดินก่อนหน้านี้แล้ว แต่เฝิงจงเหลียงก็ยังพูดขึ้นเสียงแข็ง

“ไม่ได้บาดเจ็บอะไร”

เธอเงยหน้าขึ้น และพบว่าเฝิงจงเหลียงกำลังขมวดคิ้วและสีหน้าก็ดูไม่สู้ดีนัก หางตาของเขาเริ่มมีริ้วรอยเหี่ยวย่น ใบหน้าก็ดูตอบลง รูปคิ้วสูงขึ้น ถ้าไม่ลองดูให้ดีสักนิดแล้วละก็ ก็จะไม่มีทางเห็นเลยว่าตรงหัวคิ้วของเขามันมีรอยฟกช้ำด้วย เธอลุกขึ้นและกำลังจะยื่นมือไปแตะมัน เฝิงจงเหลียงที่ไม่คิดว่าเธอจะทำแบบนี้ ก็รีบยกมือขึ้นกันเอาไว้ทันที แต่เจียงเซ่อก็ดึงมือของเขาออก

“ให้หนูดูหน่อยนะคะ”

ต่อหน้าคนรับใช้แบบนี้ เฝิงจงเหลียงเองก็ถือว่าเธอเป็นแขกไปไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว เขาปัดป้องอยู่สองครั้ง และเริ่มรู้สึกว่าการที่เด็กมาฉุดยื้อแบบนี้มันไม่ถูกจารีตประเพณีเสียแล้ว เขาทำหน้านิ่ง แล้วตะคอกออกไปทันที

“วุ่นวาย ไม่เข้าเรื่อง!”