บทที่ 257 เสนอชื่อ
ในตอนที่หนังสือเรื่อง ‘นักโทษ’ ถูกตีพิมพ์ออกมาครั้งแรก ไม่แค่เพียงในประเทศเท่านั้น ยอดขายในต่างประเทศเองก็ถือว่าไม่ได้มหาศาลอะไรนัก คนที่ยังเก็บรักษาส่วนมากก็พวกมีความชื่นชอบในตัวนิยายจริงๆเท่านั้น
“ถ้าเป็นต้นฉบับของ ‘นักโทษ’ ผมเองก็มีอยู่นะครับ” เชี่ยซ่าเหลยกะพริบตา สีหน้าดูภูมิใจไม่น้อย ราวกับเด็กน้อยคนหนึ่งที่กำลังอวดของเล่นอันเสนล้ำค่าที่เพิ่งได้มา
“ผมต้องใช้เงินไปมากทีเดียวเพื่อได้มันมา แถมมันยังมีลายเซ็นของ Matthew ที่เขาเซ็นด้วยตัวเองด้วย ผมเองก็ชอบนิยายเรื่องนี้มากจริงๆ”
เขาหัวเราะร่า ท่าทางสบายอกสบายใจไม่น้อย
“แต่ถ้าคุยต้องการ ผมจะให้คุณยืมก็ได้นะครับ”
เจียงเซ่อเผยสีหน้าแปลกใจขึ้นมา แต่ก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจไม่น้อย สีหน้าของเธอดูเซอร์ไพรส์เป็นอย่างมาก
“จริงหรือคะ?”
หนังสือเล่มนี้ออกตีพิมพ์ครั้งแรกตั้งแต่เมื่อสี่สิบกว่าปีก่อนแล้ว ตอนที่ผู้เขียนอย่าง Matthew ได้ปล่อยผลงานออกมา เขาก็อายุได้หกสิบกว่าแล้ว ชีวิตของเขาถือว่าเงียบเป็นอย่างมาก ข้อมูลที่เกี่ยวกับเขาบนอินเทอร์เน็ตก็ไม่ได้มีอะไรมากมาย และปัจจุบันเขาก็ได้เสียชีวิตไปแล้วด้วย
การที่เชี่ยซ่าเหลยมีหนังสือต้นฉบับนิยายเรื่อง ‘นักโทษ’ เอาไว้ในครอบครองแบบนี้ อีกทั้งบนหนังสือนั่นก็ยังมีลายเซ็นของ Matthew อีก ถึงแม้ว่าเชี่ยซ่าเหลยเองก็มีชื่อเสียงอยู่แล้ว อีกทั้งยังเป็นคนที่มีความสามารถ แต่กับการที่จะได้นิยานเรื่องนี้มา ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เหมือนกัน
สำหรับเชี่ยซ่าเหลยแล้ว นี่คงเป็นสิ่งที่ล้ำค่ามากที่สุดสิ่งหนึ่งของเขาเลย เจียงเซ่อคิดไม่ถึงว่าเขาจะยอมให้เธอหยิบยืมง่ายๆ แบบนี้
“ครับ” เชี่ยซ่าเหลยพยักหน้า แววตาของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข “ผมพอจะเข้าใจความรู้สึกของคุณดี แต่ผมเชื่อนะ ว่า Matthew จะต้องมีความสุขแน่ๆ ที่หนังสือของตัวเองได้ไปอยู่ในมือนักอ่านตัวจริง ไม่ใช่ว่ามาโดนเก็บแช่ไว้อยู่แบบนั้น ในห้องหนังสือของผมน่ะครับ แบบนั้นก็เหมือนว่าได้สูญเสียความหมายจริงๆของนวนิยายไป”
เขาเลียริมฝีปากเล็กน้อย ก้มหน้าลงยิ้มๆ แล้วเงยหน้าขึ้นมาใหม่
“เดี๋ยวหลังงานเลิกแล้ว ผมจะให้ช่องทางติดต่อกับคุณ หลังจากที่ผมกลับอิตาลีแล้ว จะให้คนส่งกลับมาที่หัวเซี่ยเลยครับ”
สำหรับเจียงเซ่อแล้ว การที่รับของที่นอกเหนือจากสิ่งที่คาดไว้ มันทำให้เกิดความรู้สึกดีใจไม่น้อยไปกว่าการที่จะได้รับรางวัลในคืนนี้เลย
หลังจากตกลงกันแล้วว่าหลังจากจบงานจะแลกเปลี่ยนช่องทางติดต่อกัน ทั้งสองคนก็พูดถึงเนื้อเรื่องของนิยาย ‘นักโทษ’ ขึ้นต่อ ส่วนเฝิงหนานที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็กำลังรู้สึกขมในปากไปหมด
ตอนนี้หล่อนกำลังรู้สึกร้อนใจกับสถานการณ์ตรงหน้าเป็นอย่างมาก และรู้สึกเจ็บใจที่ตัวเองไม่สามารถหาเรื่องเข้าไปคุยด้วยได้ พอจ้าวจวินฮั่นไม่ยอมแปลให้หล่อนฟังอีก หล่อนก็แทบจะไม่เข้าใจเลยด้วยซ้ำว่าเจียงเซ่อกับเชี่ยซ่าเหลยกำลังพูดถึงอะไรกันอยู่
ถ้ามันยังเป็นแบบนี้ต่อไปแล้วละก็ ในงานหนังภาพยนตร์คืนนี้ ตัวหล่อนคงไม่มีโอกาสที่จะได้เข้าไปคุยกับเชี่ยซ่าเหลยแล้วแน่ๆ
สิ่งหนึ่งที่หล่อนรู้สึกผิดหวังหลังจากที่มาเกิดใหม่ก็คือ ความรู้และความเข้าใจภาษาอังกฤษของหล่อนมันไม่ได้มากมายอะไรเลย สุดท้ายมันก็ทำให้ตัวเองต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้
หล่อนรู้สึกเริ่มสงสัยแม้กระทั่งการคาดเดาของตัวเองในก่อนหน้านี้ หล่อนคิดมาตลอดว่าเจียงเซ่อเองก็มาเกิดใหม่เหมือนกัน เธอถึงได้หลีกหนีกับดักที่เคยได้เจอในโลกก่อนหน้านี้ไปได้ หลังจากที่เข้าวงการบันเทิง หล่อนก็สามารถทำทุกอย่างราบรื่นไร้อุปสรรค หนังเรื่องแรกที่เลือกก็คือ ‘ปฏิบัติการผู้พิทักษ์’ ที่หลังจากนั้นก็ได้รับคำสรรเสริญและยอดขายบัตรก็ดีสุดๆ และนั่นก็ต้องเป็นคนที่ได้กลับมาเกิดใหม่เท่านั้นที่รู้อยู่แล้วว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ถึงได้ทำเรื่องพวกนี้ได้ไงล่ะ
แต่พอตอนนี้มาได้เห็นเจียงเซ่อที่กำลังพูดคุยกับเชี่ยซ่าเหลยได้อย่างเข้าขา และสามารถใช้ภาษาอังกฤษพูดคุยกับเหล่ากรรมการที่เป็นชาวต่างชาติได้อย่างคล่องปร๋อแบบนี้แล้ว หล่อนก็เริ่มสงสัยแล้วว่าหรือตัวเองกำลังคิดผิด เพราะเจียงเซ่อตัวจริงพูดภาษาอังกฤษได้หรือไม่นั้น ตัวหล่อนรู้ดีกว่าใคร
กับคนๆ หนึ่งที่ไม่ได้เรียนแม้แต่มหาวิทยาลัย คนๆ หนึ่งที่พอเข้าวงการบันเทิงแล้ว ก็กลายเป็นเหมือนคนโง่เขลาไร้ความสามารถ ที่แม้แต่คำศัพท์ภาษาอังกฤษง่ายๆ ก็อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำ เทียบไม่ได้กับหล่อนเลยสักนิด ตอนนี้เฝิงหนานแทบจะหาความเหมือนระหว่างเจียงเซ่อในอดีตที่หล่อนรู้จักดีกับเจียงเซ่อในตอนนี้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
ตอนที่เซี่ยเชาฉวินเดินเข้ามาก็ยังรู้สึกแปลกใจอยู่ไม่น้อย
ตอนแรกคิดว่าถ้าตัวเองไม่เข้ามาในงานละก็ ถ้าไม่มีหล่อนมาคอยแนะนำ ก็คงจะยากที่เจียงเซ่อจะได้เข้าไปทำความรู้จักกับบุคคลที่มีชื่อเสียงอย่างราบรื่น แต่ทว่าตอนที่หล่อนเดินเข้ามา เจียงเซ่อไม่แค่เพียงสามารถตีสนิทกับทุกคนได้เท่านั้น เพราะแม้แต่เชี่ยซ่าเหลยเธอก็ยังหาเรื่องคุยกับเขาได้ แถมยังยืมหนังสือเขามาอีก นี่มันดีกว่าที่เซี่ยเชาฉวินคิดเอาไว้มากแล้ว!
ประมาณสองทุ่มสิบนาที ภาพบนหน้าจอที่อยู่ในงานเริ่มเปลี่ยนไป เจียงเซ่อกลับไปนั่งยังที่ของตัวเอง
โม่อานฉีเองก็ยังต้องพยายามเก็บความดีใจเอาไว้ แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงเบาๆ
“นี่เซ่อเซ่อ พี่เซี่ยเขาชมเธอด้วยนะ”
ตั้งแต่เข้ามาในงานเจียงเซ่อก็ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของเซี่ยเชาฉวินเลย วันนี้หล่อนมากับเถาเฉิน ว่ากันว่ารางวัลใหญ่ที่จะมอบให้กับแขกผู้มีเกียรติก็คือเถาเฉินนี่เอง
เจียงเซ่อสูดหายใจเข้าลึก และก่อนที่จะมีเริ่มงานหนังภาพยนตร์อย่างเป็นทางการ ช่างแต่งหน้าก็ได้เข้ามาเติมหน้าให้เธอเล็กน้อย กับภาพหนังต่างๆ ที่เคยได้รับรางวัลสลับเปลี่ยนไปมาอยู่บนหน้าจอ จากนั้นพิธีกรดำเนินงานก็ปรากฏตัวอยู่บนเวที ถือเป็นการบอกว่างานหนังภาพยนตร์ในคืนนี้ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว
กล้องต่างๆ ที่อยู่ในงานต่างก็กำลังถ่ายทอดภาพเหล่านั้นออกมาอย่างแจ่มชัด เซี่ยเชาฉวินเคยเตือนเธอเอาไว้ ว่างานหนังภาพยนตร์ในครั้งนี้จะมีการถ่ายทอดสดผ่านทางอินเทอร์เน็ตด้วย ไม่ว่าจะเป็นนักข่าวหรือช่างภาพ หรือจะเป็นกล้องที่คอยจับภาพในงาน มันก็จะมีอยู่แทบทุกที่ทุกจุด
เจียงเซ่อนั่งตัวตรงเรียบร้อย บางครั้งก็ก้มหน้าลงคุยกับหลินซีเหวินและฟ่านจืออวิ๋นที่นั่งอยู่ข้างๆ บ้าง ใบหน้ามีรอยยิ้ม เพื่อป้องกันไม่ให้โดนถ่ายภาพไม่ว่าไม่มีใครคุยด้วยเลย
ครั้งนี้หลินซีเหวินหวังเอาไว้ว่าหนังเรื่อง ‘The Occasion of Beiping’ ของตนจะสามารถแย่งชิงรางวัลผู้กำกับยอดยอดเยี่ยม รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปีจนไปถึงรางวัลนักแสดงสมทบหญิงดีเด่นมาให้ได้ เพื่อที่มันจะได้เป็นการโปรโมทหนัง ‘The Occasion of Beiping’ ที่จะเข้าฉายในต้นเดือนมกราคมปีหน้านี้ไปเสียเลย และหวังว่าจะสามารถโปรโมทและสามารถเพิ่มสีสันให้กับเส้นชัยผลงานของตนเองได้
ส่วนรางวัลแสดงนำชายหญิงยอดเยี่ยม ทั้งฟ่านจืออวิ๋นและซ่งเซี่ยนเองก็รู้อยู่แล้วว่ามันมีการแข่งขันสูงแค่ไหน ทั้งสองคนเข้าใจอยู่แล้วว่าโอกาสที่ตนเองจะได้รับรางวัลนั้นมันมีน้อยมากแค่ไหน เพราะยังไงซะการแข่งขันในครั้งนี้มันก็สูงอยู่แล้ว ยิ่งโดยเฉพาะมีหลิวเย่เข้าชิงด้วยแบบนี้ ดังนั้นทั้งสองคนจึงสงบนิ่ง ไม่มีความตื่นเต้นหรือกังวลใดๆ
แต่กลับเป็นหลินซีเหวินเองนั่นแหละที่กังวลสุดๆ มือทั้งสองข้างของเขากำแน่นอยู่บนหน้าท้อง เนื้อแก้มบนหน้าก็เกร็งแทบจะเป็นตะคริว
ครั้งนี้เขาจะต้องมาเผชิญกับหนังเรื่อง ‘ปฏิบัติการผู้พิทักษ์’ ของจางจิ้งอาน รางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมคงจะมีโอกาสไม่มากไม่มายนัก เวลาที่หันไปคุยกับเจียงเซ่อ ในใจมันก็รู้สึกหน่วงๆ อยู่ไม่น้อย
หลังจากที่พิธีกรบนเวทีได้สร้างบรรยากาศเรียบร้อยแล้ว เขาก็ยกซองจดหมายฉบับหนึ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นสุภาพบุรุษสวมชุดทักซิโด้คนหนึ่งก็ก้าวเท้ายาวขึ้นเวที บนหน้าจอใหญ่นั่นยังคงทำหน้าที่แนะนำไปเรื่อยๆ ภาพฉากต่างๆ ในหนังเริ่มสลับตัดเปลี่ยนไปมา
เวลาที่ยังไหลผ่านไปราวกับสายน้ำ รางวัลต่างๆ ถูกประกาศและมอบให้กับหนังแต่ละเรื่องๆ ผ่านไปเรื่อยๆ จนรางวัลที่ยังเหลืออยู่ก็น้อยลงเต็มที และนั่นก็ยิ่งทำให้สีหน้าของคนที่อยู่ในงานเริ่มเผยอาการตื่นเต้นออกมาอย่างปิดไม่มิด
พิธีกรถือไมค์เอาไว้ และตะโกนกล่าวขึ้นว่าหลังจากนี้จะเป็นการประกาศรางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม โม่อานฉีอดไม่ได้ที่จะแลบลิ้นเลียริมฝีปากตัวเอง พร้อมกับมือที่กำเข้าหากันแน่น
“ถัดไป พวกเราจะมาประกาศผลรางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมกันนะครับ ผู้ที่เข้าชิงรางวัลสาขานี้มีใครกันบ้าง เชิญดูบนหน้าจอได้เลยครับ!”
ท่ามกลางเสียงปรบมือ ภาพหนังเรื่องแรกก็ค่อยๆ เลื่อนขึ้นมาบนหน้าจอใหญ่นั่น
“ ‘ปฏิบัติการผู้พิทักษ์’ เฝิงหนาน ”
บนหน้าจอ ปรากฏเป็นภาพฉากหนังในเรื่อง ‘ปฏิบัติการผู้พิทักษ์’ อย่างฉากก่อนที่คุณหนูเอกุชิจะสิ้นใจโดยที่รับบทโดยเฝิงหนาน ถึงจะเป็นแค่ช่วงภาพฉากสั้นๆ ถึงมันจะตัดผ่านไปย่างรวดเร็ว แต่มันก็ยังคงสามารถทำให้ผู้ชมคนดูรู้สึกถึงอารมณ์ได้อย่างรวดเร็วเช่นกัน
ที่จริงเจียงเซ่อก็พอจะเดาได้ ว่าครั้งนี้การที่ตัวเองจะคว้ารางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมมานั้นจะต้องเจอกับเฝิงหนาน ในตอนที่ประกาศชื่อผู้ทีเขาชิงคนแรกเป็นเฝิงหนาน เจียงเซ่อเองก็ไม่ได้แสดงท่าทางแปลกใจอะไรออกมา แต่กลับยังคงนั่งฟังอย่างสุขุม
ตามที่ภาพยนตร์ได้ออกฉายไป ชื่อของผู้เข้าชิงรางวัลนักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมถูกประกาศไปกว่าเจ็ดแปดชื่อแล้ว แต่ก็ยังไม่มีชื่อเรื่อง ‘The Occasion of Beiping’ เสียที ฟ่านจืออวิ๋นหันไปมองเจียงเซ่อแวบหนึ่ง แต่กลับพบว่าเจียงเซ่อไม่แสดงสีหน้าหรือท่าทางที่ดูร้อนใจออกมาเลยสักนิด เซี่ยเชาฉวินเคยบอกเอาไว้แล้ว ว่างานหนังภาพยนตร์ครั้งนี้ เธอมีชื่อเข้าชิงรางวัลแน่นอน!
และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะไม่กี่วิต่อมาก็ได้ยินเสียงดังออกมาจากหน้าจอนั่นแล้ว
“ ‘The Occasion of Beiping’ เจียงเซ่อ ”