บทที่ 247 ทำให้สนใจ
ตั้งแต่ตอนแรกต่งฉาวผิงก็ได้บอกถึงสาเหตุที่เจียงเซ่อเข้ามาในโรงละครกับเหลียงชุนปอแล้ว ว่าเธอจะมาเรียนรู้ ก็อย่างที่ต่งฉาวผิงคาดการณ์เอาไว้ เหลียงชุนปอไม่ได้ตอบรับคำขอของเขา
ในใจของเหลียงชุนปอ การที่เจียงเซ่อมาอยู่ในขั้นตอนการซ้อมแสดงในทุกๆ วันนั้น เหมือนว่าเธอไม่ได้ตั้งใจที่จะมาเรียนรู้อย่างจริงใจ เหมือนว่าเธอกะจะมาชุบมือเปิบให้กับตัวเองมากกว่า ดังนั้น
ตอนที่ต่งฉาวผิงขอให้เขาช่วยแนะนำอะไรให้เธอ เขาก็เลือกที่จะไม่ตอบตกลง
แต่หนึ่งเดือนผ่านไป ตัวเจียงเซ่อจริงๆ ไม่ได้เป็นเหมือนพวกดาราที่เหลียงชุนปอคิดเอาไว้ เธอไม่แสดงออกถึงความใจร้อนเลยสักนิด กลับกันเธอกลับนั่งดูนั่งสังเกตการณ์อย่างตั้งใจ ส่วนมากเธอจะใช้เวลาไปกับการพูดคุย และทำความเข้าใจต่อทุกอย่าง
ทีมนักแสดงหญิงส่วนมากก็เป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างมีอายุแล้ว บางทีหล่อนก็จะมีส่วนร่วมกับพวกหล่อนที่พูดถึงเรื่องลูกหลานที่บ้าน บางครั้งก็มาแต่เช้า บางมีก็อยู่ทานมื้อเย็นที่ถูกสั่งมาทานในโรงละครกับทุกคนเลย
ต่งฉาวผิงบอกกับเขาว่าเธอเป็นดาราหญิงที่มีชื่อเสียงพอตัว รายได้ก็ถือว่าไม่ใช่น้อยๆ แต่ทุกครั้งที่เธอมาที่นี่ เธอไม่ได้แต่งตัวหรูหราอะไรเลย แถมยังมีมารยาทกับทุกๆ คน หนึ่งเดือนที่เธอมานั่งดู เวลาที่เธอคอยสังเกต เธอแทบจะไม่ได้มารบกวนเขาเลยด้วยซ้ำ ถ้าให้พูดรวมๆ แล้ว เหลียงชุนปอเริ่มที่จะประทับใจในตัวเธอแล้ว
“ตอนที่ฉันเพิ่งจะเข้าวงการนี้ใหม่ๆ แรกๆ ดูไปแปบเดียวก็เริ่มเบื่อแล้ว”
เจียงเซ่อฟังสิ่งที่เหลียงชุนปอพูดกับเธอ จากนั้นก็ยิ้มขึ้นมา
“แต่ใครจะรู้เห็นคนอื่นแสดงมันก็ดูง่าย แต่พอได้ลองเองก็ยากสุดๆ ยิ่งได้ดูเบื้องหลังมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งได้เห็นในสิ่งที่ตัวเองยังมีไม่พอ”
เหลียงชุนปอที่ได้ยินเธอพูดแบบนั้น ก็พยักหน้าพร้อมกับหัวเราะขึ้นเบาๆ จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่เก้าอี้ข้างๆตน
“นั่งสิ”
เจียงเซ่อนั่งลง ไกลๆ นั่นมีนักแสดงชายที่แสดงเป็นไห่ถางชิวมองมาทางเธออย่างอิจฉาเล็กๆ ดูจากที่ เหลียงชุนปอทำแล้ว คงตอบรับที่จะแนะนำเธอแล้วสินะ
“ในละครเวทีเรื่องนี้ ทำไมถึงได้สนใจบทขุนศึกนักล่ะ?”
เจียงเซ่อก้มลงหยิบขวดน้ำแร่จากกล่องที่ตั้งอยู่ข้างๆ ขึ้นมา เธอเปิดมันแล้วส่งให้เหลียงชุนปอ เหลียงชุนปอลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยื่นมือออกไปรับมัน
เจียงเซ่อยกยิ้มมุมปากขึ้น การที่เธอทำแบบนี้ใช่ว่าไม่มีเหตุผล
ตั้งอกตั้งใจไหว้ครูเอาวิชา ตั้งแต่โบราณกาลหัวเซี่ยก็มีการรินชารินน้ำให้กับผู้ที่เป็นอาจารย์ก่อนที่จะเริ่มสอนอยู่แล้ว แต่พอตอนนี้ที่เจียงเซ่อยื่นน้ำให้ ก็คงจะเป็นความหมายเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้เป็นพิธีตรีตรองอะไรนัก ดังนั้นเหลียงชุนปอจึงรับมันเอาไว้ก่อน
“บทไห่ถางชิว บทที่ได้เล่นก็เยอะพอสมควร เป็นตัวละครที่มีความซับซ้อนอยู่ในตัว ทำไมถึงไม่อยากลองดูล่ะ?”
“ที่จริงฉันคิดว่า บทจะเยอะหรือจะน้อยมันไม่สำคัญ แค่ตั้งใจแสดงออกมาก็เพียงพอแล้วค่ะ”
ประโยคนั้นของเธอถือว่าสะท้อนใจได้ไม่น้อย นึกถึงตอนที่ตัวเองได้แสดงหนังเรื่องแรกอย่าง ‘ปฏิบัติการณ์ผู้พิทักษ์’ ตอนนี้บทของเธอก็เป็นเพียงแค่ตัวประกอบเล็กๆตัวหนึ่ง บทพูดก็มีเพียงแค่สองประโยคได้ แต่หลังจากที่ได้ตั้งใจทำมันแล้ว การแสดงของเธอก็สามารถทำให้คนดูเกิดความประทับใจได้ไม่แพ้กัน
“ที่พูดมาก็ถูก”
เหลียงชุนปอถอนหายใจออกมา “ ‘HAI TANG QIU’ เรื่องนี้ แต่ก่อนเคยได้ดูมันบ้างไหม?”
“ตัวบทละครไม่เคยดูมาก่อนเลยค่ะ แต่ถ้าเป็นหนังสือที่คุณฉินซือเพ่ยเขียนก็เคยอ่านอยู่บ้าง”
“หือ?” เหลียงชุนปอไม่คิดมาก่อนว่าเจียงเซ่อจะพูดออกมาแบบนั้น เขาเริ่มที่จะมีความสนใจขึ้นมา“หนังสือเล่มนั้น ออกมาก่อนที่จะมีละครอีกนี่”
“ใช่ค่ะ ตอนที่คุณปู่ของฉันยังเด็กๆ เขาเคยได้ดูการแสดงละครเวทีเรื่อง ‘HAI TANG QIU’ มาครั้งหนึ่ง ท่านยังจำความรู้สึกของละครเรื่องนี้ได้ไม่ลืม ฉันได้ยินท่านพูดถึงบ่อยๆ หลังๆ เริ่มสงสัย ก็เลยไปหามาอ่านดูน่ะค่ะ”
เจียงเซ่อคิดถึงเฝิงจงเหลียงขึ้นมา รอยยิ้มบนหน้าก็ค่อยๆ เลือนหายไป ตั้งแต่ชุนเจี๋ยครั้งก่อนที่ได้ไปเจอเฝิงจงเหลียงที่บ้านตระกูลเผย หลังจากนั้นเธอก็ไม่เคยได้เจอเฝิงจงเหลียงอีกเลย ช่วงที่หนังเรื่อง ‘ปฏิบัติการผู้พิทักษ์’ เข้าฉาย เธอได้เผอิญได้ยินที่พวกเนี่ยต้านคุยกันมาสองสามประโยค และบางทีก็ได้ยินมาจากเผยอี้บ้าง แต่ตั้งแต่ที่ตัวเธอมาเกิดใหม่ เผยอี้และเฝิงหนานก็เริ่มห่างกัน แม้แต่เฝิงจงเหลียงเองก็เริ่มไปที่บ้านของตระกูลเผยน้อยลง เหมือนตั้งใจที่จะหลีกเลี่ยง เผยอี้เองก็รู้สึกเหมือนกันว่ามันจะต้องมีอะไร
เขาไปกว่างโจวแล้ว ข่าวคราวที่จะได้รู้ก็น้อยลง
พอตอนนี้พูดถึงเฝิงจงเหลียงขึ้นมา เจียงเซ่อตอนแรกที่ก็ยิ้มๆ อยู่ แต่จู่ๆ ขอบตาก็แดงขึ้นมา
“ตอนที่ฉันได้ดู ‘HAI TANG QIU’ ก็เป็นตอนที่ตัวเองยังเป็นเด็กเหมือนกัน ฉันกับคุณพ่อเคยได้ไปดูการแสดงอยู่ครั้งหนึ่ง ตอนนั้นคุณสือที่แสดงเป็นไห่ถางชิวได้ให้ความรู้สึกอะไรต่อฉันมากมาย”
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะรับรู้ถึงความรู้สึกของเจียงเซ่อได้เหมือนกันหรือเปล่า เหลียงชุนปอถึงได้พูดถึงเรื่องในตอนนี้นขึ้นมาบ้าง “ดังนั้นพอโตขึ้นมาแล้ว ฉันเองก็ได้กลายเป็นนักแสดงละครเวทีเหมือนกัน และได้แสดงมาเรื่อยๆ จนผ่านมาหลายสิบปีแล้ว
และคงเป็นเพราะด้วยเหตุผลนี้ ทำให้ในตอนที่ต่งฉาวผิงเชิญเหลียงชุนปอให้มาแสดงเป็นขุนศึกในเรื่อง ‘HAI TANG QIU’ เขาก็ตอบรับทันที
พอมีเรื่องราวที่เหมือนกัน ก็ทำให้ท่าทางของเหลียงชุนปอที่มีต่อเจียงเซ่อมันดูอ่อนลงกว่าตอนแรกมาก นั่งพักกันอีกนิดหน่อย พอเริ่มเข้าสู่ช่วงซ้อมต่อแล้ว เขาก็ชี้ๆ เจียงเซ่อ แล้วบอกกับต่งฉาวผิง
“เสี่ยวเจียงอยากจะลองแสดงบทนี้ไม่ใช่หรือ ให้เธอลองไปเล่นกับเสี่ยวหูดูสิ ฉันขอพักอีกนิดหนึ่ง พวกเธอก็ช่วยๆ กันซ้อมไปก่อนล่ะ”
เสี่ยวหูที่เขาพูดถึงก็คือนักแสดงชายที่เล่นเป็นไห่ถางชิวนั่นเอง อายุราวๆ สามสิบ เขามีใบหน้าที่สวย เป็นผู้ชายร่างบาง ชื่อหูเจี้ยนอู๋ ปกติเขาไม่ใช่คนพูดเยอะเท่าไหร่ ตอนที่ซ้อมกัน ในตอนที่เขาจะต้องแสดงคู่กับคนอื่น ยังไม่มีสักครั้งเลยที่เขาจะพลาด แต่ตอนที่แสดงคู่กับเหลียงชุนปอ เหมือนว่าเขาจะได้รับแรงกดดันอยู่ไม่น้อย มีหลายครั้งที่ต่งฉาวผิงจะต้องเรียกมาคุยส่วนตัว
บทต่อไปที่นักแสดงจะต้องซ้อมกันก็คือตอนที่มีคนนำเรื่องของไห่ถางชิวและอนุภรรยาคนที่สามไปฟ้องต่อขุนศึก ขุนศึกโมโหโกรธาเป็นอย่างมาก และเป็นคนที่หยิบมีดขึ้นมาปาดใบหน้าของเขาให้เสียโฉมด้วยตัวเอง ช็อตๆ นี้สำคัญมาก ซ้อมกันมาตั้งหลายวัน ทุกครั้งที่หูเจี้ยนอู๋และเหลียงชุนปอแสดงมาถึงตรงนี้ หูเจี้ยนอู๋ก็จะยิ่งมีความกดดันมากยิ่งขึ้น แล้วตอนนี้พอมาได้ยินว่าเหลียงชุนปอจะให้เจียงเซ่อลองเป็นคู่ซ้อมกับเขาดู ใบหน้าของเขาก็เผยความโล่งอกออกมาอย่างชัดเจน
เจียงเซ่อเองก็ได้จำบทพูดเอาไว้แล้วจนขึ้นใจแล้ว พอได้ยินเหลียงชุนปอพูดแบบนั้นก็ไม่ได้เกิดอาการประหม่าแต่อย่างใด ยิ่งรู้ว่านี่เป็นการให้โอกาสของเขาแล้ว เธอก็พยักหน้ารับทันที
แต่ต่งฉาวผิงกลับชะงักไปในทันที แต่พอเห็นใบหน้าอ้อนวอนของหูเจี้ยนอู๋แล้ว ก็เข้าใจว่าช่วงนี้เขาได้รับแรงกดดันอยู่ไม่น้อย เวลาที่อยู่ต่อหน้าเหลียงชุนปอเขาก็เหมือนโดนกดจนแทบเงยหน้าไม่ขึ้นอยู่แล้ว ถ้าลองได้เปลี่ยนคู่ซ้อมดู บางทีอาจจะเป็นผลดีต่อตัวเขาด้วยก็ได้
แล้วอีกอย่างเหลียงชุนปอเองก็ดูตั้งใจที่จะแนะนำเจียงเซ่อแล้ว เจียงเซ่อมาที่นี่อยู่นาน แต่ยังไม่ได้ลองซ้อมแสดงกับทุกคนเลยสักครั้ง ดังนั้นต่งฉาวผิงจึงตอบตกลง
เจียงเซ่อวางบทละครลง จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินไปยังที่เขาซ้อมกันอยู่ ทุกย่างก้าวที่เธอเดินไป รอยยิ้มที่มีอยู่บนหน้าก็ค่อยๆ เลือนหายไปด้วย พอไปถึงจุดที่ซ้อมกันอยู่แล้ว ใบหน้าของเธอก็เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ได้ยิ้ม
พักนี้ก็ได้ไปที่เรือนจำอยู่ช่วงหนึ่ง เธอไปก็ไม่ได้ไปเปล่า อีกทั้งยังได้สังเกตการณ์แสดงของเหลียชุนปอมาตั้งเดือนหนึ่ง เธอเองก็พอที่จะได้พิจารณาอะไรมาได้บ้างแล้ว นอกจากเทคนิคการแสดงของเหลียงชุนปอแล้ว เธอก็บวกกับสิ่งที่เธอได้เรียนรู้มาหลายๆ อย่าง หลังจากที่ได้มายืนอยู่บนเวทีซ้อมแสดงแล้ว แววตาที่เย็นเฉียบมองไปรอบๆ รอบหนึ่ง ถึงแม้ว่าความโหดเหี้ยมและความมัวเมาโลกีย์จะยังไม่ได้ถูกเผยออกมา แต่ก็เริ่มสัมผัสได้ถึงความอำมหิตแล้ว
เมื่อเทียบการแสดงละครเวทีและการแสดงหนังภาพยนตร์แล้ว การแสดงออกทางด้านร่างกายและการพูดจะต้องแอคติ้งให้มากกว่าที่เคย การแสดงออกจะต้องดูใหญ่เอาไว้ก่อน
ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ขุนศึกเคยชื่นชมไห่ถางชิวมาก หรือจะเป็นในภายหลังที่จี้จ้าวสงขู่เข็ญไห่ถางชิวไม่สำเร็จ เลยเอาความลับระหว่างอนุภรรยาคนที่สามกับไห่ถางชิวมาฟ้องต่อขุนศึก เจียงเซ่อก็สามารถแสดงออกมาได้อย่างน่าชื่นชม