webnovel

สักวันฉันจะเป็นซุปตาร์

เธอ เฝิงหนาน คุณหนูตระกูลเฝิงผู้ร่ำรวยล้นฟ้า เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับมาอยู่ในร่างของ เจียงเซ่อ เด็กสาวยากจนที่ไม่มีอะไรดีนอกจากหน้าตา วันๆ เอาแต่ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าวงการบันเทิง แม้ชะตาจะเล่นตลกทำให้ชีวิตกลับตาลปัตรไม่มีอะไรเหมือนกับชีวิตเดิมก่อนหน้านี้เลยสักนิด แต่นี่อาจจะเป็นโอกาสที่สวรรค์มอบให้เธอเพื่อให้เธอได้เลือกทางเดินชีวิตของตนใหม่อีกครั้งก็ได้ ชีวิตที่ไม่เคยได้เลือกเอง ตอนนี้โอกาสกลับมาอยู่ในมือเธออีกครั้ง ถ้าอย่างนั้นเธอก็ขอเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่เป็นของเธอบ้าง… เมื่อคนรู้จักในชีวิตครั้งเก่าได้หวนกลับมาเจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้เธอจะได้รู้จักพวกเขาเหล่านั้นใหม่อีกครั้งในมุมมองที่ต่างออกไป

กว่านเอ๋อร์ wr · Urban
Not enough ratings
710 Chs

099

娱乐圈头条 หัวข้อข่าว แห่งวงการบันเทิง

ผู้แต่ง กว๋านเอ่อwr

ผู้แปล เติ้ง ลี่เฟิน

บทที่ 99 ความรักความห่วงใย

ในการบรรยายตำนานนี้ ได้กล่าวถึงหานหงและหลี่ซื่อที่เป็นเพื่อนกัน และหลี่ซื่อก็เป็นถึงลูกท่านหลานเธอ ตอนหานหงที่ไปเยือนบ้านตระกูลหลี่ ก็ได้เกิดชอบพอกับสาวงามคนหนึ่งนามหลิ่วซื่อเข้าเสียได้ และคนตระกูลหลี่ก็เกิดใจป้ำยกผู้หญิงคนนั้นให้เป็นภรรยาและถือว่านั่นเป็นของขวัญ

   ในปีถัดมา หานหงก็ได้สอบบัณฑิตและได้เป็นขุนนางระดับอำเภอ ในขณะที่เขากำลังกลับไปเยี่ยมญาติที่บ้านเกิด และทิ้งหลิ่วซื่อให้อยู่ที่ฉางอัน แต่ก็ได้เกิดเรื่องจลาจลขึ้น ทำให้สองสามีภรรยาต้องอยู่คนละที่กัน

   ท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวาย หลิ่วซื่อตัดสินใจตัดผมและปิดบังหน้าตา และเพื่อรักษาซึ่งความบริสุทธิ์ของตัวเอง เธอก็ตัดสินใจบวชชีและบำเพ็ญตนอยู่ในวัด แต่ทว่าสุดท้ายแล้วก็ไม่สามารถหลีกหนีสภาพแวดล้อมที่เข้ามาเปลี่ยนตัวเองได้ เธอตกไปอยู่ในมือคนอื่น กลายเป็นภรรยาน้อยที่ได้รับความโปรดปรานของเขา

   จนกระทั่งจักรพรรดิถังซู่จงยึดเมืองฉางอันกลับมาได้ หานหงเองก็ได้ออกตามหาหลิ่วซื่อทั่วทุกสารทิศ ในตอนที่หาเธอพบ เขาก็แต่งเนื้อร้องขึ้นมาท่อนหนึ่ง ฝากมันไปเพื่อส่งให้ถึงมือเธอ

 

   เรื่องราวแบบนี้ มันก็คล้ายๆ กับเรื่องของเซียวจือและโต้วโค่วใน The Occasion of Beiping นั่นละ โหวซีหลิ่งได้หยิบใช้สถานการณ์ที่เซียวจือและโต้วโค่วต้องแยกจากกัน อ่านแล้วก็ทำให้ได้เห็นถึงความงดงามเนื้อเรื่อง

 

ใน The Occasion of Beiping ตอนที่เพื่อนเก่าคนนั้นถามขึ้นมา เซียวจือก็ตอบกลับไปอย่างนิ่งเรียบ “ต้นหลิวเอ๋ย ต้นหลิว ยังคงเป็นเฉกเช่นในวัยเยาว์หรือไม่? ถึงแม้นเจ้าจะเติบโตเพียงใด กิ่งของเจ้าก็ต้องลู่ตกลงในมือของคนอื่นอยู่ดี” (กลอนที่หานหงแต่งให้กับหลิ่วซื่อ) ประโยคที่ว่า ‘ลู่ตกลงในมือของคนอื่นอยู่ดี’ มันก็ถือได้ว่าเป็นความในใจที่แท้จริงของเซียวจือเอง

 

เขาหยิบยืมประโยคนั้นมาตอบกลับเพื่อนของตน ในใจของเขา หาก ‘โต้วชวี่เอ๋อร์’ ยังมีชีวิตอยู่และยังสวยเหมือนเดิม เธอก็คงตกไปอยู่ในน้ำมือของคนอื่นตั้งนานแล้ว บุพนิวาสระหว่างเขาและเธอคงขาดไปตั้งแต่ตอนนั้น

 

 ในบทละคร ‘โต้วโค่ว’ ก็เกิดมาในครอบครัวที่ฐานะชาติตระกูลที่ดี เธอได้การอบรมจากพ่อแม่ และได้รับการศึกษา ตอนนั้นที่ได้ยินคำพูดของเซียวจือ เธอก็รู้เหมือนโดนฝ้าผ่าลงมาทั้งร่าง

 

   ในตำนานของสมัยราชวงศ์ถัง หานหงไม่ได้สนใจเลยว่าภรรยาของตัวเองกลายเป็นของใครไปแล้ว และตอนสุดท้ายของเรื่อง สองสามีภรรยาคู่นั้นก็ได้อยู่ด้วยกัน

 แล้วเซียวจือล่ะ? เขาจะเป็นเหมือนหานหงหรือไม่ ที่สามารถให้อภัยและเข้าใจความรู้สึกของภรรยาตัวเอง?

 

หลิ่วซือในสมัยถัง เพื่อที่จะหลบหนีความหายนะของบ้านเมือง เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของตัวเอง ยอมที่จะตัดผมของตัวเอง และหลบซ่อนตัวในวัดอาราม แต่สุดท้ายก็โดนคนดึงตัวเธอออกมา และครอบครองตัวเธอ

 

  แต่ทว่า โต้วโค่วเองก็ต้องพบเจอกับความโกลาหลของโลกเช่นกัน เพื่อที่จะปกป้องความบริสุทธิ์ของตนเอง หญิงสาวก็ดิ้นรนสู้สุดชีวิต แต่โชคชะตาช่างไม่ยุติธรรม ตอนที่เธอต้องพบเจอกับเรื่องที่แสนจะน่าเจ็บปวด กลับได้อันจิ่วยวี่เข้ามาช่วยชีวิต ได้รับการคุ้มครองจากเขา

 ในขณะที่เจียงเซ่อกำลังแสดงความรู้สึกอันแสนตื่นเต้นของ ‘โต้วโค่ว’ ออกมา และกำลังรอคำตัดสินของเซียวจือ รอให้เขาพูดความคิดที่ว่า ‘ลู่ตกลงในมือคนอื่นอยู่ดี’ ออกมา

 ประโยคนี้ถือว่าสำคัญมาก ในบทหนัง ทันทีที่ ‘โต้วโค่ว’ ได้ยินประโยคต่อไปของเซียวจือ เขาถอนหายใจออกมา “ถึงแม้ว่าจะยังมีชีวิตอยู่ เกรงว่าตอนนี้คงจะกลายเป็นดอกไม้ที่ถูกเหยียบย่ำจนช้ำไปเสียแล้ว” สุดท้าย จากความเจ็บปวดและสิ้นหวัง หญิงสาวถึงได้เกลียดและคับแค้นต่อเซียวจือ

นี่เป็นจุดเปลี่ยนของ ‘โต้วโค่ว’ ในเรื่องเลยก็ว่าได้ เจียงเซ่ออ่านและทำความเข้าใจกับมันอยู่หลายครั้ง ถึงจะหาความรู้สึกนั้นออกมาได้ เธอจึงรีบส่งสัญญาณให้เผยอี้ที่กำลังถือบทเอาไว้ ว่าให้อ่านบทที่ให้อ่านออกมาได้แล้ว

 

 ในฉากๆ นี้ เธอต้องแสดงถึงอารมณ์ของตัวละครในบท ไม่มีบทพูด ต้องใช้เพียงสายตาและความรู้สึกที่จะต้องสื่อออกมาเท่านั้น อีกทั้งภาษากายที่จะช่วยเสริมถึงความรู้สึกในใจได้

 ตรงกันข้าม คนที่ต้องพูดประโยคอันแสนสำคัญนั้นคือเผยอี้ เธอหาความรู้สึกออกมาได้แล้ว ในบทหนัง ‘โต้วโค่ว’ กำลังเฝ้ารอและตื่นเต้นกับคำตอบของเขาเป็นอย่างมาก แต่พอกำลังรอให้เยอี้พูดบทออกมา จู่ๆ เขาก็โยนบทหนังลง แล้วโผเข้ากอดเธอทันที

“ไอ้เซียวจือไม่ต้องการเธอ แต่ฉันต้องการ”

 

ตอนแรกเขานั่งอยู่ตรงข้ามเจียงเซ่อและมีโต๊ะชาคั่นไว้ พอเขาโผเข้ามา เธอก็เหมือนโดนกอดไว้ทั้งตัว

 

จากตอนแรกที่กำลังรู้สึกแย่จากการสร้างอารมณ์ จู่ๆ ก็โดนเขาเป่าจนมันกระจายไปหมด

  “เผยอี้!” เธอรออยู่นาน รอให้เขาพูดบทของเซียวจือที่ควรจะพูดออกมา พอเขาพูดประโยคนั้นแล้วเธอก็จะต้องแสดงออกมาว่าใจสลายและเจ็บปวดเพียงใด แต่เผยอี้กลับไม่ทำตามนั้น แล้วจู่ๆ ก็โผเข้าใส่แบบนี้อีก

เธอโดนเขาโผกอดจนล้มไปอีกด้านของโซฟา ร่างกายอันแข็งแรงของเขาทับเธอเอาไว้แทบทั้งตัว “ถึงเซียวจือจะไม่ต้องการเธอก็ช่างมัน แต่ฉันต้องการเธอนะ”

“ลุกออกไป” ที่จริงเขาควรจะพูดประโยคที่โหวซีหลิ่งหยิบยืมมาจากตำนานของสมัยถังสิ ประโยคที่ว่า ‘ถึงแม้ว่าจะยังมีชีวิตอยู่ เกรงว่าตอนนี้คงจะกลายเป็นดอกไม้ที่ถูกเหยียบย่ำจนช้ำไปเสียแล้ว’ แบบนั้นไง เจียงเซ่อผลักเขาออกอยู่สองสามที แต่ดูท่าทางเขาจะรู้สึกกลุ้มใจเป็นอย่างมาก

“เซ่อเซ่อไม่ใช่ดอกไม้ที่ถูกเหยียบย่ำเสียหน่อย”

 

“นี่มันเป็นบทหนังนะ บทหนังน่ะเข้าใจไหม?”

เขาคุกเข่าลงกับพื้น สองแขนโอบกอดเอวเล็กของเธอเอาไว้ เผยอี้ส่ายหัว “ไม่เข้าใจ”

 

 ถึงจะรู้อยู่แล้วว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง ก็อย่างที่เธอว่า มันเป็นแค่บทหนังเท่านั้น แต่เขากลับไม่อยากที่จะพูดทำร้ายเธอถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่ความจริงก็ตาม

พูดประโยคนั้นจบแล้วก็พูดต่ออีก “หรือถึงเธอจะเป็น ‘โต้วโค่ว’ ฉันก็จะไม่มีทางพูดแบบนั้นเหมือนกัน ไม่ว่าเธอจะเปลี่ยนไปเป็นแบบไหน ได้ผ่านเรื่องราวอะไรมามากมาย ยังไงฉันก็จะต้องหาเธอให้เจอ จะไม่เป็นเหมือนเซียวจือแน่ๆ” น้ำเสียงของเขาที่พูดออกมามีความมั่นใจมากๆ สายตาของเขาก็ดูจริงจังไม่น้อย ฟังแล้วก็รู้สึกได้ทันทีว่าไม่ได้พูดไปงั้นๆ

 

   เจียงเซ่อรู้สึกว่าคงไม่ได้ซ้อมละครแล้วแน่ๆ

 

 หัวเข่าทั้งสองข้างของเธอติดกับแผ่นอกของเขาพอดี ทำให้รู้สึกถึงหัวใจที่กำลังเต้น แถมเขายังเงยหน้าขึ้นมองเธอ ทำเหมือนว่าตัวเองไม่ได้ทำผิดอะไร

“ฉันว่านะ โหวซีหลิ่งควรจะเปลี่ยนเป็น เซียวจือพูดออกมาอย่างเจ็บปวดว่า ‘ไม่ว่าโต้วชวี่เอ๋อร์จะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ฉันก็ต้องตามหาเธอให้พบ’ แล้วในที่สุด หนังก็จบลงตรงนั้น”

เจียงเซ่อหัวเราะออกมาเพราะความคิดของเขา แล้วยกขาเตะใส่เขาเบาๆ

 

“เหลวไหล นายเป็นคนเขียนบทหรืออาจารย์โหวเป็นคนเขียนบทกันฮึ?”

 

ที่เธอเตะมาไม่ได้แรงอะไร ตอนที่โดนขาเขาก็แทบจะไม่รู้สึกอะไรเลย

เขามองเจียงเซ่อด้วยรอยยิ้ม เหมือนคนได้คืบจะเอาศอก เขาค่อยๆ ยันตัวเข้าไปใกล้กับเธออีกนิด “ฉันว่าบทของฉันก็ไม่เลวเลยนะ”

 

“หยุดก่อกวนได้แล้วน่า” เธอยกมือขึ้นไปดันหน้าเขาออก นี่โดนเขากวนจนไม่มีอารมณ์จะเข้าถึงบทแล้วนะอารมณ์เจ็บปวดเมื่อกี้มันกระจัดกระจายไปหมดแล้ว

เธอเอนตัวไปพิงอีกมุมของเก้าอี้หวายแล้วพูดขึ้น “นายออกไปข้างนอกก่อน ห้ามรบกวนฉันเด็ดขาดเลยนะ”

เผยอี้ไม่อยากออกไป แต่พอเจียงเซ่อมองนาฬิกา ก็พบว่ามันเริ่มจะดึกแล้ว ยังไงเธอก็คิดว่าจะกลับหอก่อนห้าทุ่ม ถ้ายังมัวแต่เอ้อระเหยอยู่แบบนี้ คงไม่ได้ซ้อมกันพอดี

 

เผยอี้ออกไปยืนอยู่นอกประตูห้อง เธอหยิบบทละครที่ตกอยู่บนพื้นขึ้นมา แล้วอ่านมันอีกครั้ง พอเริ่มจับอารมณ์ได้ เธอลองแสดงอยู่หลายรอบ ซ้อมจนรู้สึกพอใจแล้ว ก็กะว่าจะไปที่กล้องเพื่อดูการแสดงของตัวเองต่อ

ตอนที่เธอลุกขึ้นยืน หางตาก็เหลือบไปเห็นเผยอี้ที่ยืนอยู่หน้าประตูพอดี

 ก่อนหน้านี้เพื่อป้องกันไม่ให้เขาเข้ามากวนเธอก็เลยล็อคประตูห้องเอาไว้ สองมือของเผยอี้เกาะอยู่บนกระจก ก่อนหน้านี้เธอซ้อมอยู่ตั้งนาน ส่วนเขาก็ยืนอยู่ตรงนั้นมาโดยตลอดเช่นกัน

 

 ท่าทางแบบนั้นน่าสงสารไม่น้อย เธอถอนหายใจออกมา ก่อนจะเดินไปเปิดล็อคประตูออก ส่วนเขาก็รีบพุ่งตัวเข้ามาในห้องอย่างอดรนทนไม่ไหว แล้วรีบพูดขึ้นทันที

 

“จะไม่กวนแล้ว เซ่อเซ่ออย่าไล่กันเลยนะ”

 

วันนั้นเขาบอกว่าจะตามจีบเธอ พอถึงตอนนี้แล้วก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ล้อเล่นกับเธอจริงๆ

 

วันหนึ่ง ตอนที่เธอตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าตัวเองกลายเป็นอีกคนไปแล้ว และได้พบเจอกับอีกคนที่เคยติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กๆ ในใจของเธอที่มองว่าเป็นแค่น้องชายคนหนึ่งกลับมาสารภาพรักกันเสียได้ เขาค่อยๆ เผยความในใจที่เด็ดเดี่ยวและแน่วแน่ออกมาให้เห็น และพอได้เห็นว่าเขาพยายามที่จะเปลี่ยนสถานะระหว่างตัวเองและเธอ เจียงเซ่อกลับรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก

 

เขาช่วยย้อนวีดิโอที่อัดให้ดู อยากให้เธอได้เห็นตัวเธอเองที่แสดงไปเมื่อกี้นี้ แต่เจียงเซ่อกลับไม่มีกะจิตกะใจจะไปดูมันแล้ว

ความรู้สึกของเผยอี้ที่มีอยู่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว มันทำให้เธอเกิดทำตัวไม่ถูกขึ้นมา เธอเสยผมขึ้นแล้วถามเขา

 

“กี่โมงแล้ว?”

 

น่าจะสี่ทุ่มแล้วล่ะมั้ง เธอลุกขึ้นเพื่อที่จะกลับ แต่เผยอี้ก็ลนลานขึ้นมา

 

“ซ้อมอีกสักรอบสิ สาบานเลยว่าจะไม่กวนเธออีก”

 

เธอส่ายหัว “พรุ่งนี้ฉันมีเรียน……”