娱乐圈头条 หัวข้อข่าว แห่งวงการบันเทิง
ผู้แต่ง กว๋านเอ่อwr
ผู้แปล เติ้ง ลี่เฟิน
บทที่ 65 โต้วโค้ว
ตอนที่เซียวจือเข้าไปในบ้านตระกูลอัน หลังจากที่พวกญาติพี่น้องได้ทราบข่าว ต่างก็พากันหนีไปกันหมดแล้ว
บ้านกว้างใหญ่ของตระกูลอันบัดนี้ได้เงียบสงัดลงไปมาก แต่ทว่าผู้หญิงร้ายกาจคนนั้นไม่ยอมหนีไปไหน เธอนั่งเอนพิงไปกับเก้าอี้ศาลาริมน้ำและปรบมือฮัมเพลง ‘เสียงคร่ำครวญของหญิงสาว’ ไปด้วย มือของเธอปรบเข้าหากันเบาๆ เสื้อกี่เผ้าสีทองลายปักที่อยู่บนตัวเธอทำให้ผิวเธอดูขาวกว่าเดิม ขาเรียวยาวโผล่ออกมานอกเสื้อ
ถึงเซียวจือจะเกลียดหญิงสาวคนนี้เข้ากระดูกดำ แต่ตอนนี้พอได้เห็น มันกลับชะล้างความรู้สึกก่อนหน้าจนแทบหมดสิ้น ใบหน้าของเขาแดงและก้มหน้าลง
รูปแบบการเขียนในฉากนี้คือเป็นความคิดของเซียวจือ ตรงหน้าเขาคือผู้หญิงที่ดูโหดร้ายแต่เธอก็เป็นคนที่สวยที่สุด
เจียงเซ่อว่าเธอสามารถนึกภาพมันได้ ตระกูลอันได้หลบหนีไปกันหมดแล้ว อำนาจอิทธิพลของอันจิ่วยวี่เองก็ได้ถูกเซียวจือถอนรากถอนโคนไปแล้ว โต้วโค้วเองก็เหมือนสูญเสียที่พึ่งไปเช่นกัน เซียวจือสั่งให้คนบุกเข้าไปในบ้านหลังใหญ่ตระกูลอัน โต้วโค้วนั่งพิงอยู่บนเก้าอี้ศาลาริมแม่น้ำ เปล่งเสียงร้องท่วงทำนองเพลงพื้นบ้านออกมา
‘น้ำเสียงอันแสนไพเราะนุ่มนวลถูกขับขานออกมา เมื่อเซียวจือลองตั้งใจฟังดูดีๆ แล้ว ก็พบว่ามันคือเพลงของละครงิ้วที่ชื่อว่า ‘เสียงคร่ำครวญของหญิงสาว’ ในใจอดไม่ได้ที่จะเกิดความคิดดูถูกหญิงสาวตรงหน้าขึ้นมา ใบหน้าเผยความสงสัย
“คุณดูถูกฉันจังเลยนะ ภรรยาของคุณหละ จะดีสักแค่ไหนกันเชียว?” พอเริ่มสัพผัสได้ว่าเซียวจือกำลังมอง โต้วโค้วก็ค่อยๆ เปิดตาออกมา แววตาของเธอดูขมขื่นและระทมทุกข์เป็นอย่างมาก และมันก็ดูเศร้าโศกเป็นที่สุด แต่แวบหนึ่งก็มีความส่อเสียดเย้ยยัน
เซียวจือพูดออกไปอย่างไม่ลังเล “ภรรยาของฉันไม่เหมือนเธอแน่นอน”’
บทที่เจียงเซ่อได้รับมายังไม่ครบ โดยเฉพาะบทของโต้วโค้ว ยังมีฉากอีกไม่น้อยที่จะต้องเข้ากับพระเอกและนางเอก แต่บทเหล่านั้นเธอยังไม่ได้รับจากบริษัทซ่างเจียเลย
เธอก้มหน้าอ่านต่อ ในบทละครเขียนเอาไว้ว่า ‘เมื่อโต้วโค้วได้ยินเซียวจือพูดเช่นนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา’
‘ “คุณรังเกียจที่ฉันไม่รู้จักรักตัวเอง เอาแต่ใช้ชีวิตหลงระเริงไปวันๆ แต่คุณไม่ได้รู้เลยว่าตอนที่ฉันเองเกิดมาก็บริสุทธิ์ไม่ต่างกัน ถ้าครอบครัวฉันไม่ได้ถูกทำลาย ถ้าฉันยังมีพ่อแม่ ฉันคงไม่พลัดพรากจากบ้านเกิดเมืองนอนมาเพื่อมาหาคู่หมั้นของตัวเองหรอก” เธอยิ้มออกมาอย่างเศร้าโศกเสียใจ แววตาเองมีแต่ความสลด แต่กลับไม่มีหยาดน้ำตาสักหยด
“ตอนที่ฉันตกอยู่ในสภาพตกอับ มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ฉันต้องการและหวังเอาไว้เสียหน่อย ที่ฉันต้องดิ้นรนต่อสู้ในทุกวันนี้ มันก็เพราะฉันต้องแบกสภาพสังคมเอาไว้ไม่ใช่หรือไง” เซียวจือมองเธอด้วยความหยามเหยียด เขาคิดแค่ว่าก่อนที่ผู้หญิงไม่ดีคนนี้จะตายไป เธอก็แค่พูดหาข้ออ้างเพื่อจะหลบหนีเท่านั้น
“พูดเหลวไหล!” เขาเกิดนึกถึงหงโต้วภรรยาของตัวเองขึ้นมา เธอเป็นสตรีที่มีความเพียบพร้อมไปด้วยศีลธรรมอันดีงาม ทั้งสองต่างสนิทสนม รู้ใจ และรักกัน จนสุดท้ายทั้งสองก็ต่างเฝ้าปกป้องซึ่งกันและกันเสมอมา เธอไม่เคยยอมแพ้ให้กับโชคชะตาชีวิตของตัวเอง เหมือนอย่างโต้วโค้วที่จมปลักอยู่ในโคลนตม
พอคิดได้เช่นนั้น จากตอนแรกที่เซียวจือกำลังประหลาดใจต่อโต้วโค้ว ก็เกิดความไม่พอใจขึ้นมาในทันที
เขาไม่ได้พูดอะไรออกไป ริมฝีปากของโต้วโค้วขยับเล็กน้อย เธอพูดกล่าวออกมาอย่างยากลำบาก แขนขาวนั่นประคองตัวเองเอาไว้ แล้วค่อยๆ นั่งลงไป
“ชื่อเดิมของคุณชื่ออะไรนะ ไม่ใช่ชื่อเซียวจือแน่ๆ ใช่ไหมหละ?”
เมื่อเธอพูดเช่นนั้นออกมา ทำให้เซียวจือตกใจไม่ใช่เล่น ใบหน้าเผยความระวังตัวออกมา ขาของเขาก้าวถอยหลังไป
“คุณเป็นใคร?”’
หนังเรื่อง ‘The Occasion of Beiping’ ถือว่าเป็นการรวมผลงานเลยก็ว่าได้ เซียวจือจับเป็นอันจิ่วยวี่ และเขาก็ได้จับกุมหญิงสาวที่เคยทำให้เขาอับอายขายหน้าอย่างโต้วโค้วด้วย ถึงจะเป็นบทละครแต่โหวซีหลิ่งก็เขียนออกมาได้อย่างมีเอกลักษณ์มากๆ แฝงด้วยความรู้สึกต่อต้านลึกๆ
รู้สึกต่อต้านในช่วงแรก ก็เพื่อที่จะได้ระเบิดออกมาในภายหลัง
หลังจากที่โต้วโค้วถามเรื่องความเป็นมาของเซียวจือออกไป และพูดถึงฐานะของตัวเอง บทละครก็ค่อยๆ เข้าสู่จุดสำคัญ
เธอเกิดมาในครอบครัวที่ดี ตั้งแต่เด็กๆ แล้วที่ได้มั่นหมายว่าจะได้แต่งงานกับเซียวจือ แต่เซียวจือมีความตั้งใจในปณิธานของตัวเองว่าจะปกป้องประเทศ หลายปีที่แล้วเขาได้จากบ้านไปเพื่อเข้าร่วมกับรัฐบาล เพื่อช่วยพัฒนาประเทศชาติ
ในตอนที่พวกผู้ร้ายเริ่มก่อความวุ่นวายโกลาหล พ่อแม่ของเธอไม่อยากจะกลายเป็นสุนัขรับใช้ให้กับพวกขายชาติ และยอมที่จะตายด้วยห่าฝนกระสุนปืนใหญ่แทน
เธอที่เป็นแค่หญิงสาวบอบบางจำใจต้องจากบ้านเกิดเมืองนอนมา เธอมุ่งหน้ามามาที่เป่ยผิงเพื่อตาหาคู่หมั้น แต่ทว่าจิตใจของคนนั้นช่างเหี้ยมโหด เธอโดนคนจับตัวไป
สถานการณ์ในตอนนั้น เธอโดนเฆี่ยนตีอย่างโหดร้ายหลายครั้งหลายครา และการลงโทษที่ทารุณอีกนับไม่ถ้วน แต่เธอก็ไม่เคยยอมที่จะก้มหัวให้ เธอได้รับการปฏิบัติอย่างสัตว์ตัวหนึ่งจนเรียนรู้ที่จะปกป้องตัวเอง
อันจิ่วยวี่เป็นคนที่ชั่วร้ายในสายตาของคนทั่วไป แต่ทว่าเขาเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเธอเอาไว้ ดึงเธอขึ้นมาจากบ่อโคลนตม
เธอจำเซียวจือได้ แต่น่าเสียดายที่จากบ้านมาหลายปี เซียวจือที่มีภรรยาแล้วกลับจำเธอไม่ได้เลย
สิ่งที่ยิ่งทำให้เธอรู้สึกเหมือนโดนเย้ยหยันก็คือภรรยาของเซียวจือที่เขามักจะพูดอยู่เสมอว่าหล่อนนั้นบริสุทธิ์ผุดผ่อง กลับเป็นเหมือนเธอในตอนแรก โดนคนจับเข้าไปในซ่อง
แต่ทว่าภรรยาของเซียวจือนั้นโชคดี หล่อนได้เซียวจือช่วยดึงเธอออกมาจากที่นั่น
แต่ดูท่าว่าเธอจะไม่มีโชคเลยสักนิด สุดท้ายก็ต้องมาลงเอยแบบนี้
หลายครั้งที่เธอได้เซียวจือมาอยู่ในกำมือ และต้องการจะเอาชีวิตเขาให้ได้ แต่สุดท้ายเธอก็ปล่อยให้เซียวจือมีชีวิตอยู่ต่อไป นั่นก็เพราะว่าในใจลึกๆ ของเธอมันมีความรักและความเกลียดตีกันไปหมด แม้แต่ตัวเองก็พูดออกมาไม่ได้
ในตอนที่เซียวจืออยู่ต่อหน้า และยืนปกป้องหงโต้วภรรยาของตนเอง หญิงสาวใจดำอำมหิตในสายตาของเซียวจือ กลับทำเพียงแค่ยกยิ้มมุมปาก ไม่ได้ปริปากพูดถึงความหลังของหงโต้วออกมา
โหวซีหลิ่งได้เขียนบรรยายถึงโต้วโค้วในบทละครเอาไว้ว่า
‘เธอคิด ว่ายังไงซะตัวเองเองก็ต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้แล้ว แล้วยังจะต้องไปทำลายชีวิตสามีภรรยาของพวกเขาให้ต้องวุ่นวายอีกทำไมกัน เพื่อทำให้คนอื่นต้องใช้ชีวิตอย่างไม่สงบสุขอย่างนั้นหรือ?’
ในชั่วนาทีนี้ ‘โต้วโค้ว’ ในเรื่อง ‘The Occasion of Beiping’ ก็เริ่มมีชีวิตชีวาขึ้น ที่เธอกลายเป็นคนที่แสนโหดร้ายขนาดนี้ นั่นก็เพราะเธอได้ประสบกับความพลิกผันในชีวิต โดนคนอื่นทำร้าย
เธอเกิดมาในครอบครัวที่ดี ทุกวันที่เจ็ดของทุกเดือนเธอจะไปฟังละครงิ้วที่ถนนเทียนเฉียว นั่นก็เพราะว่าครอบครัวของเธอได้เสียชีวิตด้วยระเบิดในวันที่เจ็ดเดือนสาม
เธอเปลี่ยนชื่อเป็นโต้วโค้ว ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นตัวเองไว้ด้านหลัง มันก็เหมือนเป็นการหนีความจริงในตอนนั้น เพราะในก้นบึ้งหัวใจของเธอมันหวาดกลัวเหลือเกิน
การที่เธออยู่ท่ามกลางผู้ชายมากมาย นั่นก็เพราะหลังจากที่เธอได้รับความเจ็บปวดในตอนนั้น การที่ใช้ชีวิตในวงเวียนอันแสนขมขื่น ทำให้เธอเรียนรู้ที่จะปกป้องตัวเอง
เธอทอดกายให้กับอันจิ่วยวี่ แม้ว่าทุกคนต่างก็ทอดทิ้งเขา แต่เธอก็ไม่เคยทอดทิ้งเขาเลย ยินยอมที่จะอยู่กับเขาในบ้านแห่งนี้ แม้จะรู้ว่าไม่มีทางที่จะให้ถอยกลับแล้ว แต่เธอก็ยังยืนยันที่จะไม่จากไป นั่นก็เพราะว่าอันจิ่วยวี่ได้เข้ามาหาเธอในช่วงเวลาที่ทรมานที่สุด ยื่นมือมาดึงเธอขึ้นมาจากบ่อโคลน
เซียวจือด่าเธอ ‘***ตอนที่เธอโดนจับ ปากยังร้องเพลง ‘เสียงคร่ำครวญของหญิงสาว’ อยู่เลยด้วยซ้ำ คิดว่าตัวเองไม่ได้เกิดมาแล้วเลว แต่เพราะว่าโลกมันสอนให้เธอเลวต่างหาก’
สุดท้ายเธอก็ไม่ได้พูดถึงภูมิหลังของภรรยาเซียวจือออกมา แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ‘ผู้หญิงต่ำช้า’ ที่ ‘สารเลว’ ขนาดนี้ ในใจนั้นก็ยังมีความอ่อนโยนเมตตา
‘โต้วโค้ว’ เป็นบทที่ซับซ้อนมากๆ ทั้งความรักและความเกลียดที่มันปะปนอยู่ในใจของเธอ จะไม่มีใครได้รับรู้มันเด็ดขาด
ในตอนที่ได้พบเซียวจือ เธอก็ทั้งรักทั้งเกลียดเขา และมันก็มีความหวาดกลัวปะปนอยู่ในนั้นด้วย เธอยอมที่จะให้เขาคิดว่าเธอได้ตายไปแล้ว และไม่อยากให้เขารู้ว่าคู่หมั้นหรือว่าที่ภรรยาของตัวเองยังมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ และตัวคู่หมั้นของเขาก็ไม่ได้สะอาดบริสุทธิ์อย่างที่เคยเป็น
โต้วโค้วที่โหวซีหลิ่งเขียนขึ้นมา ถึงร่างกายของเธอจะได้รับความอัปยศจากโลกใบนี้มากมาย แต่สุดท้ายแล้วจิตใจของเธอก็ยังคงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์เสมอ
ในตอนสุดท้ายเธอก็ไม่ได้บอกความจริงกับเซียวจือไป เธอเก็บเอาความเสียใจที่มีให้มันตายไปพร้อมๆ กับตัวเอง อย่างน้อยเซียวจือก็จะได้ไม่เป็นห่วงเธอจนทำให้เธอรู้สึกผิดบาปในใจ
ในตอนจบของเนื้อเรื่องเขียนเอาไว้ว่า ‘เธอรู้อยู่แล้วว่ายังไงอันจิ่วยวี่ก็คงไม่รอด ตัวเธอเองก็ไม่ได้เตรียมใจที่จะใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพัง
ที่อดทนจนลมหายใจสุดท้าย ก็เพื่อได้อยู่ดูหน้าเซียวจือเป็นครั้งสุดท้าย แต่เมื่อได้เจอแล้ว ควรจะพูดอย่างไรดีล่ะ? หลายครั้งที่เธอได้เจอกับเซียวจือ แต่กลับเป็นทุกครั้งที่เธอไม่ได้พูดในสิ่งที่อยากจะพูดออกไป ในใจของเธอเองก็เสียใจไม่น้อย
ในนาทีนี้ เธอเพิ่งจะค้นพบว่า ตอนที่เธอเผชิญหน้ากับเซียวจือ ตนเองก็ไร้ซึ่งคำที่จะเอื้อนเอ่ย’
‘เซียวจือมองโต้วโค้วที่ได้สิ้นลมไปแล้ว หญิงสาวที่เคยปั่นหัวเขาให้อยู่ในกำมือของเธอ บัดนี้ได้นั่งเอนร่างไปกับเก้าอี้ศาลาริมน้ำ สิ้นชื่อไปในที่สุด