webnovel

สวนทางสวรรค์ พลิกโลกา

สวนทางสวรรค์ พลิกโลกา จะกล่าวถึงโลกของมหาพิภพหวนตี๋ที่กว้างใหญ่ไพศาล ภายในโลกอันพิศดารนี้ ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า จอมยุทธ์ หรือ เทพเซียน มีแต่เพียงผู้วิเศษที่โลดแล่นอยู่ในโลกใบนี้มานานนับหมื่นนับแสนปี ท่ามกลางการคงอยู่ของเหล่าผู้วิเศษในตำนานที่สามารถเขย่าฟ้าสะเทือนแผ่นดินนั่น มีเด็กหนุ่มอัจฉริยะจากตระกูลมู่ ตระกูลเล็กๆที่แดนใต้ของทวีป เขามีนามว่า "มู่อิ่งเทียน"ผู้ไม่สนใจในการฝึกตนและกฏเกณฑ์ ทว่าเพราะการลอบสังหารน้องขายของเขา ก็ทำให้มู่อิ้งเทียนต้องเริ่มเดินเข้าสู่เส้นทางของการเป็นผู้วิเศษ เพื่อสืบหาความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้ว่าเส้นทางนั่นเขาจะต้องกลายเป็น"มารร้าย" ก็ตาม

kintsrou_crusader · Eastern
Not enough ratings
14 Chs

ตอนที่ 6 โดนลอบโจมตี

แดนพ้นโศก ชั้นที่สามของศิขรินห้าชั้นฟ้า หรือเรียกอีกชื่อนึงว่าแดนปทุมบาน

บนเหนือน่านฟ้ากว้างใหญ่ ท่ามกลางหมู่เมฆสีขาวมากมายพัดผ่าน แสงแดดเองก็ตกกระทบลงไปจนเกิดเป็นการเต้นรำบำของแสงทองอร่าม

ท่ามกลางความสงบสุขนั่น ปรากฏร่างหนึ่งนั่งอยู่ท่ามกลางเมฆและหมอกบนยอดเขาที่ปกคลุมไปด้วยแสงสีขาวคล้ายอารามขนาดใหญ่ เขาแต่งกายด้วยชุดสีแดงเข้ม ทำให้ร่างนั้นทั้งดูขัดต่อกฏเกณฑ์ทั้งดูแปลกแยกอยู่บ้าง มันเป็นร่างของบุรุษหนุ่มคนที่มีใบหน้าหล่อเหลาราวปีศาจ ดวงตาของมันคมดุจกระบี่แดงฉาน รูปร่างสูงใหญ่ราวภูเขาลูกหนึ่ง อีกทั้งชุดสีแดงที่มันสวมใส่ยังปรากฏรอยนกกระสาหมุนเวียนเป็นรูปร่างสีทองอร่ามตาแพรวพราว

บัดนี้ร่างนั้นกำลังนั่งขัดสมาธิหลับตาอยู่ ทว่า ที่หน้าผากของมันกับปรากฏดวงตาที่สามกลอกกลิ้งไปมาราวกับปีศาจร้าย ดวงตานั้นส่องแสงสีแดงของเปลวไฟคล้ายกับกำลังมองหาบางสิ่งอยู่ สุดท้ายดวงตาที่สามก็ปิดลงแต่ดวงตาทั้งสองกลับเปิดอ้าออกแทน รอยยิ้มเบาบางปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลานั้น ในแววตาของมันแฝงแววความลึกลับน่าหวาดกลัว

ถัดมาเบื้องหลังปรากฏกลุ่มแสงสีรุ่งกลุ่มหนึ่ง บินทะยานผ่าอากาศขึ้นตามมา จนกระทั้งมาหยุดลงเบื้องหลังของชายชุดแดง ปรากฏเป็นร่างอีกสองร่าง คนหนึ่งเป็นชายชราชุดขาวรูปร่างผอมอีกคนเป็น หญิงสาวในชุดสีขาว ทั้งสองประสานมือเคารพพร้อมกับกล่าวเสียงแย้มยิ้มปกปิดความตื่นเต้นไม่มิดว่า

"ดูเหมือนข่าวที่ได้รับมาจะเป็นความจริง เฒ่ามารกระดาษ ได้ออกจากสำนักเป็นการลับโดยไม่บอกใครแม้แต่ผู้นำอารามมารก็ตาม" ชายชราชุดขาวกล่าวขึ้นด้วยเสียงแปลกแปร่ง ดูเหมือนในน้ำเสียงนั้นคล้ายกับไม่สามารถสะกดความดีใจที่มีลงไปได้ ในขณะนี้สองตาของมันมีแวววาวประหลาด

"แสดงว่าข่าวลือนั่นก็เป็นความจริง" ชายชุดแดงยืนยันด้วยรอยยิ้มเฉียบขาด

"จากที่สืบดู ตอนนี้มันอยู่ที่ชั้นที่ห้าทางทิศใต้ของทวีป ที่เมืองเยวี่ยฉิง ไม่มีความเกี่ยวของกับภารกิจในสำนัก อีกทั้งยังเดินทางไปด้วยตัวคนเดียว ไม่สามารถยืนยันจุดมุ่งหมายของมันได้" หญิงสาวในชุดเขียวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา เมื่อได้ฟังดังนั้นชายในชุดแดงก็หันหน้ากลับมา พร้อมกับแสยะยิ้มเย็นขัดกับใบหน้าหล่อเหลาของมัน

"ทางใต้งั้นหรือ ถ้าข้าจำไม่ผิดเส้นทางนั้นคือทางไปเขตของแม้น้ำต้าหวังหรือไม่ก็ทะเลซงเทียน เป้าหมายของมันคงไม่พ้นสองที่นี่หรอก" ชายในชุดแดงยืนขึ้น ร่างสูงโปร่งเมื่อยืนขึ้นก็มีบารมีราวกับว่าร่างของเขาคือเจดีย์สูงสง่าที่ไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใด

"พวกเราไม่แน่ใจเป้าหมายของมัน ต้องการให้ข้าไปสืบดูมันก่อนดีหรือไม่?" ชายชราชุดขาวเป็นคนพูดคำนี้ขึ้น ในแววตาของมันมีความบ้าคลั่งขึ้นหลายส่วน ดูท่าจะมีความแค้นต่อกันไม่น้อย

ชายชุดแดงเพลิง โบกมือปฏิเสธด้วยสีหน้าราบเรียบ ครุ่นคิดชั่วครู่มันก็ตอบกลับ

"ไม่จำเป็น ข้ายังไม่แน่ใจว่ายังมีพวกที่รอกินของหวานเหมือนพวกเราอีกหรือไม่ ทางที่ดีเราอดทนรอให้จนถึงท้ายที่สุดจะดีกว่า"

"ทว่ากุญแจสำคัญคือ โม่กุ้ยจื่อ มันต้องเข้ามาขัดขวางแผนการของพวกเราแน่ หากจะต้องขัดขวางมันจริงๆคงต้องใช้ยอดฝีมือหลายคน" ผู้หญิงชุดเขียวพูดขึ้นพร้อมความหวาดกลัว คนอื่นๆก้เช่นกัน พวกเขารับรู้ถึงพรสวรรค์ของชายผู้นั้นดี การโจมตีหรือลอบฆ่าโดยไม่มีแผน เป็นเรื่องที่โง่ดง่ามากหากคิดจะทำกับชายผู้นั้น

"ทว่าโชคยังเข้าข้างเรา ดูท่าเรื่องที่มันกระทำไว้ยังไม่ได้ถึงหู สำนักอื่นๆไม่เช่นนั้นมันคงไม่เดินทางอย่างราบรื่นเช่นนั้นได้หรอก สิ่งที่เราต้องทำก็แค่รีบไปปิดปากพวกโง่เง่าจากสำนักใหญ่เหล่านั้น"

"ข้าอยากจะทราบว่าเราควรจะ แจ้งข่าวไปยังสำนักวาสารพงไพรดีหรือไม่" มันถามขึ้นแต่กับถูกดวงตาสีแดงเข้มจ้องกลับมาแทน

"สำนักนั้นคือสำนักอันดับสามในแผ่นดินและเป็นสำนักเกื้อหนุนกับสำนักพิรุรสวรรค์ไม่น้อย หากเราแจ้ง ข้อมูลให้กับมัน โอกาสที่เราจะฆ่ามันก็คงจะเป็นศูนย์ ข้าไม่คิดว่ามันจะเป็นทางออกที่ดีนัก ทางทีดีมันควรเป็นที่สุดท้ายที่ควรจะให้รับรุ้ข่าวสาร" " ชายชราผู้นั้นพูดขึ้นพร้อมหัวเราะอย่างสบายอารมณ์"

"แต่ว่าหากสำนักอื่นรู้ พวกมันก็ต้องรู้" มันฉีกยิ้มกว้างตอบกลับไปว่า

"รู้ก็จริง แต่ใช่ว่าจะต้องบอกข้อมูลจริงให้กับพวกมัน"

ทุกคนตาสว่างวาบเริ่มเข้าใจในสิ่งที่ชายชุดแดงกล่าวออกมา

"หากมีคนตั้งข้อขัดแย้งเราก็รีบบอกว่าข้อมูลที่ได้รับถูกโม่กุ้ยจื่อหลอกล่อจนทำให้สับสนก้พอ ทีนี้ข้อกล่าวหาทั้งหมดก็จะหาที่ลงไม่ได้ทั้งหลักฐานและที่มา มันจะทำอะไรเราไม่ได้ ใช่หรือไม่"

ชายชุดแดงแบมือออกปรากฏแสงสีแดงผันผวนไปมา ก่อนที่จะกลายมาเป็นหยกสื่อสารอันหนึ่ง "สิ่งที่ควรทำคือ ติดต่อไปยังสำนักกระบี่ฟ้า สำนักแก้วมรกต สำนักธารดารา ให้รีบตัดการสื่อสารจากสำนักใหญ่อื่นๆ ขอแค่ไม่กี่ชั่วยามก็ยังดี ที่ทำให้ข่าวสารไม่แพร่ไปที่อื่น เพราะโอกาสที่เจ้านั้นจะอยุ่ตัวคนเดียว แบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ เราจะพลาดไม่ได้"

พูดจบสายตาของมันก็ปรากฏเงาประกายความสังหารขึ้นมาสายหนึ่ง เงียบให้บ่อยขึ้นพูดน้อยลงและความเงียบจะครอบงำจิตวิญญาณของคุณและจิตวิญญาณของข้าจะสงบเยือกเย็น...

"อีกอย่าง..." มันแสยะยิ้มเย็นพร้อมกับเลียริมฝีปากนุ่ม

"ข้าไม่คิดว่าเฒ่ามารกระดาษจะทำสิ่งใดโดยไร้แผนการหรอก เราก็แค่ขัดขวางสำนักใหญ่เหล่านั่นไม่ให้มุ่งหน้าไปหามันก็พอ" ชายชุดแดงกล่าวเสียงมั่นใจ "และพอ เฒ่ามารกระดาษอยู่คนเดียวเมื่อไหร่ เราก็จะยื่นทางรอดให้แก่มันและของสิ่งนั่นมันจะต้องยอมมอบออกมาแน่"

"ไม่เช่นนั้น สงครามระหว่างฝ่ายธรรมะกับมารต้องปะทุขึ้นมาอีกครั้งแน่นอน!"

มันยิ้มออกมา ใบหน้าหล่อเหลานั้นเฉิดฉายขึ้นเรื่อยๆ ก่อนที่ดวงตาของมันจะหม่นแสงลง เขาลุกขึ้นออกจาการนั่งสมาธิ ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ที่ทางใต้ของอาราม สองมือไขว่หลัง สายตามองลอกออกไปบนหมุ่เมฆคล้ายกับกำลังครุ่นคิดตัดสินใจบางสิ่ง ชั่วครูเสียงเรียบนิ่งก็พุดออกคำสั่ง

"รีบส่งคนไปทางทิศใต้ ข้าจะตามไปทันทีหลังจากที่ได้รับการติดต่อจากสำนักอื่น"

ได้ยินเช่นนั้นพวกเขาก็พยักหน้ารับ คนเหล่านั้นก็คารวะชายชุดแดงก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นสายรุ่งพุ่งทะยานหายไปในเมฆหมอกอย่างรวดเร็ว

ชายชุดแดงยืนพร้อมกับนำมือไขว่หลัง ใบหน้านั้นยังคงสงบนิ่ง แต่ในดวงตานั้นมีคลื่นความบ้าคลั่งปะปนอยู่จนไม่สามารถมองเห็นอะไรได้อีก และมันก็หายไปทิ้งไปเพียงกองเพลิงที่สลายไปตามอากาศช้าๆ

เขาเขียวไกลห่าง เมฆหมอกปกคลุม

น้ำค้างพร่างพราวระยิบระยับ ธารน้ำคดเคี้ยว สองข้างทางล้วนเป็นป่าใหญ่ ยิ่งต้นไม้สูงเพียงใดใบของมันก็ยิ่งเยอะมากขึ้นเท่านั้น เมื่อดวงตะวันสีทองอร่ามส่องรัศมีลำหนึ่งลงมาจากยอดเขา ทุกสิ่งเบื้องหน้าก็พร่ามัวไปจนหมด

ภายในป่าเขาที่แลดูสงบวังเวนผืนนี้ ปรากฏร่างหนึ่งที่กำลังยืนอยู่บนกิ่งไม้ และใช้สายตาสีดำสนิทกวาดตามองไปรอบๆบริเวณ

เขาผู้นี้ก็คือมู่อิ้งเทียนที่ออกมาสำรวจพื้นที่ด้วยตนเอง ที่ป่าเขาตรงนี้อยู่ห่างจากตัวเมืองไปไม่มากนัก ปกติบริเวณนี้มู่อิ้งเทียนจะสั่งให้คนเดินออกมาตรวจตราเป็นระะะเพื่อป้องกันเหตุฉุกเฉิน แต่ในตอนนี้มู่อิ้งเทึยนเองก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกแปลกประหลาดบางอย่างได้

มู่อิ้งเทียนยืนอยู่บนต้นไม้ที่สูงทีาดพักหนึ่ง พยายามกวาดสายตามองไปรอบๆก่อนที่จะกระโดดลงมายืนกับพื้นและหลับตาลงเพ่งสมาธิไปที่หูของตนเอง

อยู่พักใหญ่ที่เด็กหนุ่มยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ก่อนที่เขาจะลืมตาขึ้นมาด้วยท่าทางที่แปลกใจ

"เงียบเกินไป"

ถึงแม้ว่าจะอยู่ห่างจากตัวเมืองไม่มาก ภายในป่าเขาก็ไม่ควรจะสดับเงียบเช่นนี้ หูของมู่อิ้งเทียนนั่นสามารถแยกแยะเสียงได้มากกว่าคนทั่วไปจึงรับรู้ได้ในทันทีว่าบริเวณรอบด้านตรงนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่เลยแม้แต่ตัวเดียว

อีกอย่างสัญชาตญาณของเด็กหนุ่มก็กำลังบอกว่ามีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นที่นี่ และสัญชาตญาณของเขาก็ไม่เคยพลาดเลยสักครั้ง

มู่อิ้งเทียนไม่รอข้า กระโดดขึ้นไปบนต้นไม้และโหนกิ่งทีละต้นราวกับวานร ท่าทางที่ชำนาญของเขาทำให้รู้ได้ในทันทีว่าเด็กหนุ่มต้องคุ้นชินกับสถานที่ตรงนี้มากจึงสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างว่องไวชำนาญ

ไม่นานนักเมื่อลึกเข้าไปในป่าที่เงียบสงบนี้ขึ้นเรื่อยๆ มู่อิ้งเทียนก็หยุดร่างอยู่บนต้นไม้ต้นหนึ่ง ก่อนที่เขาจะหันสายตาไปรอบๆบริเวณ

"มีกลิ่นเน่าเหมือนศพ"

เมื่อมั่นใจเขาก็กระโดดลงมาอีกครั้งและใช้จมูกที่ดีเลิศของตนเอง นำทางไปจนถึงกองหินก้อนหนึ่งภายในป่าเขา และเด็กหนุ่มก็หยุดอยู่ที่ตรงนั่นด้วยสายตาที่เคร่งเครียด

บริเวณหินโสโครกมีร่องรอยสีดำที่เป็นวงขนาดใหญ่ เด็กหนุ่มย่อเข่าลง ก่อนที่จะใข้มือหยิบดินบริเวณที่มีคราบสีดำขึ้นมาถูช้าๆ

"เป็นรอยเลือด" เขาคิดและนำดินมาดม ด้วยประสาทสัมผัสที่ดียิ่งของเขาจึงสามารถแยกออกได้โดยง่าย

"เลือดยังไม่แห้งสนิท ทว่ากลับมีสีดำเข้มเกินไป แถมยังกลิ่นนี้ไม่ใช่กลิ่นของเลือดสัตว์ป่าแน่ "

มู่อิ้งเทียนยืนขึ้นด้วยใบหน้าเคร่งเครียด เขาเริ่มแน่ใจแล้วว่า มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นที่นี่แน่นอน ถ้าเป็นยามปกติเขาคงคิดว่า อาจจะเป็นโจรป่าหรือพ่อค้าเถื่อน แต่ถ้าเป็นเช่นนี้ต้องเป็นจำนวนกลุ่มที่ใหญ่และทำการรอบคอบแน่ถึงสามารถจัดการกับคนของพรรคมัจฉาทวนน้ำได้อย่างไร้ร่องรอยอย่างนี้

เมื่อคิดทบทวนไปมามู่อิ้งเทียนก็ตัดสินใจที่ตะถอยออกไป เขาไม่ใช่คนโง่ที่ตะบุกสุ่มสี่สุ่มห้าตามหาต้นตอ ด้วยตนเอง เพื่อความแน่นอนมู่อิ้งเทียนคิดที่จะยกให้สำนักคุมกฏเป็นคนจัดการด้วยตนเองจะดีกว่า คิดได้เช่นนั่นมู่อิ้งเทียนก็คิดที่จะหมุนตัวกลับ ทว่าทันใดนั่นเองก็มีเสียงดังจากพุ่มไม้ด้านหลังของเขา

"ใครกัน!?" เด็กหนุ่มหันกลับตั้งท่าอย่างรวดเร็วด้วยความเคร่งเครียด

พุ่มไม้ด้านหลังของเขาสั่นไหวอยู่เป็นระยะภายใต้การจ้องมองของมู่อิ้งเทียน พุ้มไม้ต้นนั่นก็สั่นอยู่สักพักก่อนที่มันจะหยุดลง

"สัตว์ป่า? ไม่ใช่แน่ ไม่ได้กลิ่นสาบเลย"

พริบตานั่นมู่อิ้งเทียนที่กำลังครุ่นคิด ก็รู้สึกหนาวสันหลังวาบ

เร็วกว่าความคิดร่างกายของเขาก็เคลื่อนไหวอัตโนมัติ ตีลังกากลับหลังหลบบางสิ่งที่พุ่งเข้ามาหาเขาในทันที!

พรึ๊บ!!

มู่อิ้งหลังคอเย็นวาบเมื่อเขากระโดดออกจากที่ยืนอยู่ ต้นไม้ด้านหลังของเขาก็ถูกตัดออกไปด้วยความเนียนกริบราวกับเต้าหู้ที่ถูกผ่าออก เหงื่อเย็นไหลออกเต็มแผ่นหลังของเด็กหนุ่มใตทัตทีที่คิดได้ว่าถ้าตนเองไหวตัวไม่ทันเมื่อครู่ ศีรษะของเขาคงหลุดออกจากบ่าไปเรียบร้อยแล้ว

หบังจากทรงตัวอยู่ เขาก็ไม่ชักข้ากวาดสายตามองสำรวจสิ่วที่เล่นงานเขา แต่เด็กหนุ่มก็ต้องตื่นตระหนกเมื่อเขามองไม่เห็นคนร้ายที่รอบสังหารเขาเลย

"หมายความว่ายังไงกัน?"

ยังไม่ทันได้คิดอะไรทั้งนั้นความรู้สึกอันตรายก็วาบผ่านเขาอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้มู่อิงเทียนไม่ได้หลบกลับหลังแต่ยอตัวลงดีวยความรวดเร็ว ก่อนทึ่จะชักมีดพกตรงสนับเชือดไปเบื้องหน้าที่ไม่มีสิ่งใดด้วยความรวดเร็ว

เคร้ง!

เสียงใบมีดกระทบถูกอะไรบางอย่างเบื้องหน้าราวกับโลหะประทะกับโลหะ แต่สายตาของเขากลับมองไม่เห็นมัน สมองของมู่อิ้งเทียนประมวลผลอน่างรวดเร็วกัยสถานการณ์ตรงหน้า ก็พบว่าในตำราลับที่ตนเองเคยอ่านเคยมีเรื่องเกี่ยวกับวิชาที่สามารถทำให้ร่างของผู้ฝึกไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ซึ่งคนที่จะฝึกวิขานี้สำเร็จต้องอยู่ในขั้นที่หกและเจ็ดและมันเป็นวิชาขั้นสูงของสำนักในชั้นที่สี่อีกด้วย เพราะฉนั่นมู่อิ้งเทียนก็สามารถเดาได้ว่าคนที่มาทำร้ายตนเองต้องเป็นผู้ฝึกตนขั้นสูงจากชั้นที่สี่แน่ ไม่มีทางที่เขาในตอนนี้จะต่อกรได้อย่างแน่นอน และอีกอย่างเขาก็พอจะเดาได้ว่าศัตรูคงกำลังประมาทตนเองจึงไม่ใช่ฝีมือเต็มที่ไม่เช่นนั่นเขาคงตายไปตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว

แม้จะมองไม่เห็นแต่สัญขาตญาณของมู่อิ้งเทียนก็เป็นเลิศ เจาสัมผัสได้ถึงความผันผวนเบาบางอีกครั้ง ครั้งนี้เด็กหนุ่มจึงใช้ร่างกายที่อ่อนตัวหลยการโจมตีไปด้านหลังอีกครั้งด้วยความฉิวเฉียด ทำให้เสื้อคลุมของเขาขาดออกจากกัน มู่อิ้งเทียนไม่คิพจะสู้ตั้งแต่แรกเพราะไม่มั่นใจที่จะชนะและไม่คิดส่าศัตรูล่องหนจะมีแค่คนเดียว คิดได้เช่นนั่นมู่อิ้งเทียนก็หยิบบางสิ่งมาปาลงพื้นในทันทึ

ตึ้ม!

"แค่กๆ"

ระเบิดควันถูกปาลงพื้นทำให้มู่อิ้งเทึยนเห็นเงาร่างของควันที่มีเค้าลางเป็นตัวคน เขาไม่มีเวลาคิดอีกรีบโคจรลมปราณอันร้อยนิดของตนเองพุ่งทะยานหนีไปทันที

ถ้ารู้ว่าตะเกิดเริ่องแบบนี่เจาไม่น่าหาเรื่องมาตั้งแต่แรกเลยจริงๆ มู่อิ้งเทียนโอดครวญในใจก่อนที่จะหนีไม่คิดชีวิต!