webnovel

หรือฉันจะเป็นส่วนเกิน

"พี่ลินเข้าใจผมด้วยนะครับ ผมมีหนี้กยศที่ต้องใช้ มีแม่ที่ต้องดูแล แถมตอนนี้ยังมีภาระต้องหาเงินค่าสินสอด ถ้ามีโอกาสที่ดีกว่ายื่นมา ผมก็อยากคว้าไว้"

ปกติแล้วสุกรีหนึ่งในทีมงานคนสนิทของฉันไม่ใช่คนช่างพูดนัก แต่ทุกครั้งที่สุกรีเอ่ยปากพูด รุ่นน้องผมยาวคนนี้มักจะมีความคิดดีๆที่น่าสนใจแฝงอยู่ในคำพูดนั้นเสมอๆ ฉันชอบฟังความคิดเห็นของสุกรีในทุกๆเรื่อง

เพียงแต่ครั้งนี้... ฉันไม่อยากจะฟัง

"สุกรีจะทิ้งทีมเราไปจริงๆเหรอ"

ฉันรู้ดีว่าการเป็นหัวหน้าที่ดีคือการส่งเสริมลูกน้องให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด แต่ไม่ใช่กับหัวหน้าผู้กำลังอ่อนแออย่างฉันในเรื่องของการงาน สุกรีทำงานกับฉันมานาน เป็นทีมงานคนสนิทที่รู้ใจฉันในเกือบจะทุกเรื่อง

แต่ตอนนี้รุ่นน้องผู้รู้ใจคนนี้กำลังจะทิ้งฉันไป...

สุกรีถอนหายใจเฮือกใหญ่ นั่งเท้าคางกับโต๊ะมองฉันด้วยสายตาเห็นใจ

"พี่ลินก็รู้สถานการณ์ตอนนี้ของทีมเรานี่ครับ ผมไม่คิดว่า… เอ่อ... คุณเซนจะเอาทีมเราไว้"

"คุณเซนเค้ายังไม่ได้พูดอะไรซักกะหน่อย เค้ายังให้โอกาสเรานะสุกรี" ฉันพยายามจะให้ความหวังกับน้องรัก ทุกคนในทีมต่างก็เป็นน้องรักของฉันกันทั้งนั้น

"ผมไม่แน่ใจว่าพวกเราจะยื้อกันไปได้อีกนานแค่ไหนนะครับพี่ ลำพังตัวพี่ลินน่ะคุณเซนเค้าไม่ให้พี่ไปไหนหรอก แต่ผมกับคิตตี้กับเยลลี่นี่สิ อยู่ไปก็ไม่รู้อนาคต ทีมน้องมินตราเขาก็มีคนของเขาอยู่แล้ว ไปๆมาๆการมีพวกเราอยู่น่าจะเป็นภาระของคุณเซนเขามากกว่า"

"..." ไม่รู้จะตอบโต้สุกรียังไง เพราะที่น้องมันพูดมาก็ถูกหมดทุกอย่าง

ทีมของเรามันไม่มีอนาคตในบริษัทนี้แล้ว...

"พี่จะพยายามอีกครั้งนะสุกรี เรามาร่วมมือกันพยายามออกแบบแนวใหม่ๆ คุณเซนเค้าต้องรับฟังเราแน่ๆ"

"คุณเซนเค้าให้โอกาสเรามาครั้งนึงแล้วไงครับพี่ พี่จำไม่ได้เหรอครับ ตอนเค้าเข้ามาใหม่ๆ เค้าจะไม่เอาสไตล์พวกเราเลยด้วยซ้ำ ตอนนั้นเค้าก็ให้เราพิสูจน์ตัวเองตอนงานบ้านและสวนนี่ไงครับ"

ใช่ สุกรีพูดอีกก็ถูกอีก คุณเซนเขาให้โอกาสเรา และตอนนี้เราได้พิสูจน์กันแล้วว่าคุณเซนพูดถูก สไตล์ลายดอกไม้บานของทีมเรามันเอ้าท์ไปแล้ว มันขายไม่ได้อีกต่อไปแล้ว

ตอนนั้นฉันเคยคิดจะยอมแพ้ แต่ตอนนี้เปลี่ยนใจแล้ว!

"ก็ตอนนั้นเรายังคงสไตล์เดิมเอาไว้ แล้วมันก็ไม่เวิร์ค แต่ตอนนี้เราเปลี่ยนสไตล์ใหม่ก็ได้ เราทำมาร์เกตติ้งกันใหม่เซอร์เวย์กันอีกที เราจะทำแบบที่เค้ากำลังฮิตๆกัน"

หลังจากงานบ้านและสวนผ่านพ้นไป ฉันก็ยังไม่ได้คุยกับลูกทีมถึงเรื่องนี้เลย มัวแต่จิตตกซึมเซากับยอดขายที่ไม่เป็นไปตามที่หวัง แต่ตอนนี้แหละ ฉันจะต้องลุกขึ้นสู้อีกครั้ง! เพื่อลูกทีมของฉัน! ไฟท์ติ้ง!!!

"แล้วอีกอย่างสุกรีก็เป็นนักร้องตัวท้อปของบริษัทเรา ถ้าไม่มีสุกรี แล้วเวลาเราไปคาราโอเกะกัน ใครจะร้องเพลง"

สุกรีถอนหายใจยาว ถอยหลังไปนั่งพิงพนักเก้าอี้ พลางกอดอกส่ายหน้ามองฉันอย่างเอือมระอา

แล้วน้องรักก็ถามต่อด้วยคำถามที่เอาเข้าจริงฉันเองก็ยังตอบกับตัวเองไม่ได้

"พี่ลินจะยอมเปลี่ยนสไตล์ของตัวเองได้จริงๆหรือครับ"

"..."

ฉันนิ่งไปหนึ่งอึดใจ แล้วค่อยๆเรียบเรียงคำพูดออกไป พูดในสิ่งที่ฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะทำได้อย่างที่พูดหรือเปล่า

"ก็... ถ้ามันจะทำให้ทีมเราอยู่รอด เราก็คงต้องทำ"

"ผมว่าพี่ยอมรับความจริง ...แล้วปล่อยผมไปเถอะครับ"

ฉันเงยหน้าขึ้นมองสุกรีด้วยความใจหาย น้ำเสียงนั้นมีแววเด็ดเดี่ยวแบบคนที่ตัดสินใจแล้ว ที่ใหม่เขาคงให้เงินเพิ่มเยอะกว่าที่นี่สินะ มองน้องคนสนิทแล้วก็สะท้อนใจ แต่พอคิดไปถึงเจ้าของบริษัทแล้วก็สะเทือนใจยิ่งกว่า

หรือตอนนี้พวกเรากำลังเป็นภาระของคนตาเรียวคนนั้นอย่างที่สุกรีว่าไว้จริงๆ

หลังเสร็จงานบ้านและสวนคุณเซนก็เงียบๆไป หลังกลับมาจากหัวหินคุณเซนก็ดูซึมยาว และพอยิ่งหลังจากเจอคุณฝน คราวนี้คุณเซนดูจิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว…

"ผมรู้ว่าคุณเซนเค้าชอบพี่"

อยู่ๆสุกรีก็เปลี่ยนเรื่อง ทำเอาน้ำตาของฉันที่กำลังเอ่อขึ้นมาไหลย้อนกลับไปโดยฉับพลัน นี่สุกรีรู้ได้อย่างไรว่าฉันกำลังคิดถึงคุณเซนอยู่

"ไม่ต้องเขินหรอกพี่ เค้ารู้กันทั้งบริษัทแหละ" ฉันถึงกับสะดุ้ง

หน้าตาอันเลิ่กลั่กของฉันทำเอาสุกรีอมยิ้ม

"เฮ้ย คือ..." รู้กันทั้งบริษัท! รู้กันได้ไงอะ? ฉันว่าฉันและคุณเซนไม่เคยจู๋จี๋กันในที่ทำงานเลยนะ สุกรีมั่วเอาป่าว นี่คงกะอำเล่นให้ฉันสารภาพออกมาเอง

ฉันเหลียวมองทะลุประตูกระจกไปรอบๆออฟฟิศอย่างหวาดระแวง หรือพวกเค้าจะรู้กันจริงๆวะ ตอนนี้ฉันและสุกรีกำลังอยู่ในห้องประชุมเล็กซึ่งตั้งอยู่ริมด้านหนึ่งของห้องทำงานใหญ่นั้น แม้จะรู้ดีว่าห้องนี้เก็บเสียงได้มิดชิดขนาดไหน แต่ฉันก็ยังรู้สึกหลอนๆไปเองอยู่ดีว่าคนข้างนอกจะได้ยินเรื่องที่เรากำลังพูดกันอยู่

"โธ่ พี่ลินครับ มาถึงขั้นนี้แล้ว รถไฟชนกันเปรี้ยงซะขนาดนั้น" คนผมยาวยิ้มขำ

"นี่เห็นกันด้วยเหรอ" ฉันไม่หยุดเลิ่กลั่ก

เรื่องที่ก้องกับคุณเซนคุยกันที่บริษัทของเราเมื่อสองสามวันก่อนมีคนรู้เห็นด้วยเรอะ

"พวกผมไม่เห็นกับตาหรอก แต่ถ้าน้ำหวานเห็น ก็เหมือนคนทั้งบริษัทเห็นนั่นแหละครับ"

เชี่ยค่ะ! น้องน้ำหวานเล่นพี่อีกแล้วค่ะ!

ในจังหวะนั้นที่คุณเซนเขาโอบฉันไว้ ฉันก็แอบมองไปรอบๆแล้วนี่นา ก็ไม่เห็นมีใครอยู่แถวนั้นเลยนี่ แล้วน้องน้ำหวานเค้าไปแอบซ่อนลอบมองเหตุการณ์มาจากตรงไหนกันวะ

เรื่องราวในวันนั้นจบลงตรงที่คุณเซนเธอผลุนผลันเอาจักรยานขี่ออกไปจากบริษัททันทีหลังจากได้รับโทรศัพท์จากคุณฝน ปล่อยให้ฉันและก้องได้ไปกินข้าวเย็นกันตามลำพังอย่างที่ตั้งใจไว้ แต่ก่อนที่คุณเซนเธอจะเดินจากไป เธอปรายตามาที่ฉันหนึ่งแวบ ดวงตายาวรีนั้นฉายความน้อยใจและความไม่เข้าใจอย่างแจ่มชัด ทำเอาฉันรู้สึกแปลบๆในหัวใจ เขาหวงฉันหรือเปล่า ความรู้สึกผิดประดังเข้ามา แต่ฮึ! ตัวเองก็ไปกับคุณฝนเหมือนกันนี่นา แล้วจะมาสนใจอะไรป้าคนนี้ล่ะ

"ผมถึงว่าคุณเซนเค้าไม่ทอดทิ้งพี่ลินหรอก ถึงแผนกเราจะถูกยุบ พี่ลินก็คงรอดอยู่ดี" เสียงของสุกรีดังขึ้นมาขัดจังหวะการคิดถึงคุณเซนของฉัน

คุณเซนเขาอาจจะน้อยใจฉันในวันนั้น แต่วันนี้ฉันกำลังน้อยใจสุกรี ทำไมน้องสุกรีคิดอย่างนี้ นี่พี่ชักจะเริ่มฉุนขึ้นมาบ้างแล้วนะ

"สุกรี! ทำไมพูดยังงี้อะ นี่เธอคิดว่าพี่เป็นฝ่ายเข้าหาคุณเซนเพราะต้องการจะเอาตัวรอดเรื่องงานเหรอ" ปกติกับลูกทีมฉันไม่เคยโวยวายให้ใครเสียน้ำใจนะ แต่ตอนนี้สุกรีกำลังเอาเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวของฉันมาปนกันมั่วหรือเปล่า เฮ้อ นี่ยังไงเค้าถึงเตือนกันนักหนาว่าอย่ามีความรักในที่ทำงาน เพราะมันจะทำให้เกิดการเข้าใจผิดกันได้ง่าย

"พี่ลิน..." ท่าทางจริงจังของฉันทำให้สุกรีเสียงอ่อนลง "ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้นครับ ผมรู้จักพี่ดี พี่ไม่ใช่ผู้หญิงแบบนั้นแน่ๆ อีกอย่างพี่ก็มีพี่ก้องอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ"

ก้องรึ? จริงสินะ ฉันมีก้องที่รออย่างมั่นคงอยู่แล้วไม่ใช่หรือ

'ก้องอยากมีลูก ตอนนั้นเมย์เค้ามีลูกไม่ได้ แต่ตอนนี้เมย์เค้าไม่อยู่แล้ว ลินมาสร้างครอบครัวใหม่กับก้องนะ'

'ก้องยังรักลินอยู่ รักมาก'

คำพูดที่ก้องทิ้งท้ายไว้ก่อนจะกลับไปไร่นั้นทำเอาฉันคิดหนัก ก้องคงคิดจะรุกมากขึ้นเมื่อเห็นอาการของคุณเซนที่แสดงออกในวันนั้น แฟนเก่าของฉันเดินหน้าเอาอกเอาใจฉันมากขึ้นโดยไม่ย่อท้อ

เฮ้อ! คงถึงเวลาที่ฉันคงจะต้องตัดสินใจทำอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งเสียที ทำไมช่วงนี้ถึงมีเรื่องราวประดังประเดเข้ามาให้ต้องคิดมากอย่างนี้นะ…

บ่ายแก่ๆสองสามวันถัดมาคุณเซนเรียกฉันเข้ามาคุยในห้องประชุมเล็ก ฉันเลือกนั่งเก้าอี้ตรงข้ามกับเขาและเป็นฝั่งที่มองเห็นด้านนอกผ่านทางประตูใส และก็เป็นอย่างที่คิด สายตาของบรรดาเหล่าหนุ่มสาวชาวออฟฟิศมองตามเราสองคนมาด้วยความอยากรู้ขั้นสูงสุด ข่าวลือเรื่องความสัมพันธ์ของฉันกับคุณเซนจากปากน้องน้ำหวานคงแพร่สะพัดไปทั่วแล้ว

เรานั่งนิ่งๆกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่คุณเซนจะเป็นฝ่ายเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่นิ่งและราบเรียบจนน่าหวั่นใจ

"ผมตัดสินใจไม่รับงานโรงแรมที่บาหลีนะครับ ผมว่าคุณวาเลนติโน่เขากดราคาเรามากเกินไป"

"..."

นี่เหตุการณ์เรื่องการลาออกของสุกรียังทำให้ฉันสะเทือนใจไม่พอใช่ไหม ข่าวใหม่ที่กำลังได้รับรู้จากปากของคุณเซนทำให้ฉันถึงโกรธจนถึงกับมือไม้อ่อน

ฉันนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ จ้องมองคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา

"เซนทำยังงี้ได้ยังไงคะ เซนก็รู้ว่าลินทุ่มเทกับงานนี้มากแค่ไหน" ในที่สุดฉันก็เอ่ยขึ้นมา พยายามบังคับตัวเองไม่ให้เสียงสั่น จะต้องเสียงแข็งบ้างแล้ว ใครๆก็รู้ว่าฉันคาดหวังกับงานชิ้นนี้ที่บาหลีมากขนาดไหน

"ผมคำนวณดูแล้วมันไม่คุ้ม ราคานี้เราแทบไม่ได้กำไรเลย ผมอยากได้กำลังคนกับเครื่องจักรไปเร่งทำโปรเจ็กต์ของคุณมินเเค้ามากกว่า เดี๋ยวผมจะให้ลินดูราคาต่างๆที่ผมคำนวณไว้" สีหน้าและน้ำเสียงของคนพูดนั้นช่างไร้อารมณ์ เขากำลังเปิดโน้ตบุ๊คแล้วต่อสายเคเบิลเพื่อจะฉายภาพจากโน้ตบุ๊คไปยังจอบนผนังห้อง

แต่ฉันไม่สนใจเรื่องราคาบ้าบอนั่น!

กำไรหรือ? คุณมินหรือ? ไม่ให้ฉันทำงานของตัวเองไม่พอ ยังจะให้ฉันไปทำงานให้น้องมินตราอีก แล้วดูเค้าเรียกน้องมินตราว่า 'คุณมิน' ปกติในเวลาทำงานคุณเซนไม่เคยเรียกพนักงานในบริษัทด้วยชื่อเล่น!

"เซนคะ เซนก็รู้ว่าลินตั้งใจออกแบบงานนี้เต็มที่ อดตาหลับขับตานอนทำแบบไปเสนอคุณวาเลนติโน่ คนออกแบบทุกคนก็อยากเห็นงานที่ตัวเองออกแบบออกมาเป็นรูปเป็นร่างนะคะเซน เซนให้ลินทำงานนี้เถอะค่ะ" ฉันพยายามระงับอารมณ์และอธิบายถึงความเอาจริงเอาจังของฉันกับงานนี้ ซึ่งคุณเซนก็น่าจะเห็นอยู่แล้ว ช่วงเวลาก่อนไปบาหลีเราอยู่ที่ออฟฟิศถึงดึกๆดื่นๆกันบ่อยๆ ไปกินข้าวเย็นด้วยกันก็หลายครั้ง เจ้าเรนก็เป็นพยานรู้เห็นเป็นอย่างดี

"ผมรู้ว่าลินทำเต็มที่ไปแล้ว ซึ่งผมก็ขอบคุณมาก แต่งานของลินมันจบไปแล้วไงครับ" น้ำเสียงนั้นดูอ่อนโยนขึ้นมานิดนึงเมื่อเห็นอาการอ้อนวอนของฉัน

"ลินดูตารางราคานี่ครับ มันไม่คุ้มไงครับ ถ้าเรารับ เราก็เสียเวลา เสียแรงงานโดยใช่เหตุด้วย"

ตารางบ้าบออะไรกัน คำก็ไม่คุ้ม สองคำก็ไม่คุ้ม เขาเคยเห็นคุณค่าของงานฉันบ้างไหม เขาเคยเห็นคุณค่าของงานออกแบบ เห็นคุณค่าของงานศิลปะบ้างไหม คำก็กำไร สองคำก็กำไร

"เซนไม่เคยเห็นค่าของงานลินตั้งแต่แรกอยู่แล้ว" ฉันปิดน้ำเสียงของความน้อยใจไว้ไม่ได้อีกต่อไป ไม่แม้แต่จะแลตาไปดูสิ่งที่เขาอยากจะให้ดู จะไปสนใจทำไมกับตัวเลข สนใจเรื่องความรู้สึกของฉันดีกว่าไหม

"ลิน... เพราะผมเห็นค่าของงานลินไงครับ เพราะมันเป็นงานออกแบบของลิน ผมถึงรับไม่ได้ถ้าคุณวาเลนติโน่เค้าจะกดราคาเราขนาดนี้"

ตอนนี้ฉันสังเกตได้ว่าน้ำเสียงของคนตาเรียวนั่นเริ่มจะต้องใช้ความอดทนบ้างแล้วเหมือนกัน ฮึ แต่ฉันไม่สนหรอก วินาทีนี้ฉันอยากจะเอาชนะบ้างแล้ว

และแล้วความไร้เหตุผลก็พุ่งพรวดขึ้นมา ถ้าคุณเซนเค้าชอบฉันจริง เค้าต้องยอมฉันสิ

"แต่ลินไม่สนใจเรื่องเงิน ลินอยากได้งาน ลินอยากเห็นงานที่ลินทุ่มเทมันออกมาเป็นรูปเป็นร่าง ลินอยากทำงานนี้เข้าใจไหมคะ เซนต้องรับงานนี้นะคะ"

"ลิน..." สายตานั้นแสดงความผิดหวังเมื่อเห็นผู้หญิงตรงหน้าแสดงอาการเอาแต่ใจออกมา

ใช่สิ ปกตินิสัยของฉันเป็นคนที่ยอมประนีประนอมกับทุกคน ไม่ชอบพูดจาทำร้ายจิตใจใคร มักจะพยายามมองในมุมของคนอื่นๆเสมอ

แต่วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์นั้น ฉันอยากจะเอาแต่ใจตัวเองบ้าง ใครจะทำไม ก็วันนั้นคุณเซนยังออกไปกับคุณฝนโดยไม่แคร์ความรู้สึกของฉันเลยสักนิด แหม พอได้รับโทรศัพท์จากคุณฝนหน่อยก็รีบแจ้นออกไปหาทันที

เฮ้ย เดี๋ยวนะ แล้วเรื่องของคุณฝนมาเกี่ยวอะไรกับเรื่องรับงานที่บาหลี?

แต่ฉันไม่สนแล้วว่าใครจะว่าฉันเอาเรื่องงานมาปนกับเรื่องส่วนตัว ก็ฉันนิสัยไม่ดี ไม่เป็นมืออาชีพ แล้วไง?

คนตัวสูงที่นั่งตรงข้ามถอนหายใจ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วยกมือขึ้นกอดอก จ้องมองฉันด้วยสายตายิ้มเยาะ

โคตรเกลียดสายตาแบบนี้เลย สายตาแบบนี้ที่เขามองฉันตอนที่เรารู้จักกันใหม่ๆ สายตาที่เหมือนกับว่าตัวเองรู้ดีกว่า สายตาแห่งการดูถูก!

"ผมอยากให้ลินเข้าใจมุมมองของนายจ้างบ้าง ผมก็ไม่อยากทุ่มคนของเราไปกับงานที่ไม่ได้กำไร ตอนนี้คุณมินกำลังจะออกโปรดักต์ตัวใหม่อีกไลน์ ผมอยากให้เราโฟกัสไปที่ตัวนั้นมากกว่า"

"เราก็ทำไปพร้อมๆกันก็ได้นี่คะ น้องมินเค้าก็ทำส่วนเค้าไป ลินก็ทำส่วนของลินไป" ฉันยังคงดื้อดึง พยายามทำเสียงเข้ม

ไม่ยอมหรอก ฉันไม่ยอม คุณเซนต้องยอมฉัน ถ้าเค้าชอบฉันจริง เค้าต้องยอมฉัน!

"เอาจริงผมอยากให้ลินไปช่วยงานคุณมินมากกว่า ลินมีประสบการณ์สูงน่าจะช่วยทางโน้นได้มาก เราต้องทำงานกันเป็นทีม" แต่คนเป็นเจ้าของบริษัทก็ไม่ยอมเช่นกัน

"จะให้ลินไปช่วยน้องมินตราหรือคะ ฝันไปเถอะ!" ฉันเริ่มออกอาการเกรี้ยวกราด นักออกแบบรุ่นใหญ่อย่างฉันต้องไปช่วยเด็กรุ่นนั้นเรอะ! บ้าไปแล้ว! ไหนเขาบอกว่าเขาชอบฉัน เขาจะหาทางออกเรื่องงานให้ฉัน แล้วทำไมเขาพูดง่ายๆอย่างนี้

แต่เมื่อเห็นตาเรียวนั่นเริ่มส่งประกายของความว่างเปล่าออกมา ฉันก็เริ่มจะรู้ตัวแล้วว่า ความอดทนของคนตรงหน้าคงกำลังเริ่มจะสิ้นสุด ฉันรู้จักคุณเซนดี

โอเค ในเมื่อไม้แข็งใช้ไม่ได้ผล ฉันคงต้องเริ่มดึงดราม่า

"เซนไม่เคยเข้าใจความรู้สึกของลิน ไม่เคยเลย" ฉันทำเสียงสั่น

"เซนไม่เคยบอกชอบลินด้วยซ้ำ" แล้วฉันก็พูดความรู้สึกที่เก็บไว้ลึกๆในใจออกมา เขาขอคบกับฉัน แต่เขาไม่เคยบอกว่าชอบฉัน ก้องเสียอีกที่ย้ำแล้วย้ำอีกให้ฉันมั่นใจว่าเขายังรักฉันอยู่

"ลิน…" ตาเรียวนั่นฉายความงงงวยออกมา คิ้วเรียวนั่นขมวดเข้าหากันนิดๆ

แน่สิ เขาคงงงว่าทำไมจู่ๆฉันโยงไปเรื่องความรักของเรา ทั้งๆที่กำลังพูดเรื่องงานที่บาหลีกันอยู่แท้ๆ

ฉันก็เป็นอย่างนี้แหละ ใครจะทำไม

"เซนเคยบอกรักลินบ้างไหม"

ฉันเริ่มถลำลึกๆไปในทางดราม่าขึ้นเรื่อยๆ โหมดการทำงานของหัวใจและความรู้สึกเริ่มชนะโหมดการทำงานของหัวสมองและเหตุผล ทำไมตอนอยู่กับก้องฉันไม่ใช่ผู้หญิงแบบนี้เลย ฉันเป็นลินหญิงสาวใจเย็นมีเหตุผลและเข้าใจโลก แต่พออยู่กับพ่อหนุ่มปากแดงคนนี้ ฉันกลับกลายเป็นมนุษย์ป้าผู้เวิ่นเว้อเพ้อพกไปได้

คุณเซนเหลือบตามองไปที่ประตูกระจกของห้องประชุมเล็กนั่น ทั้งฉันและเขาต่างก็รู้กันดีว่าบทสนทนาของเราไม่มีวันเล็ดลอดออกไปนอกห้องอย่างแน่นอน แต่ถึงกระนั้นฉันก็ยังเห็นแววตาไม่ไว้ใจเกิดขึ้นกับคนตรงหน้า

"ไว้เราพูดเรื่องนี้กันที่อื่นได้ไหมครับลิน" เขาทอดเสียงอ่อนโยนขึ้น คงหวังจะเตือนสติฉันบ้าง

"ไม่ ลินไม่อยากรอแล้ว ลินอยากพูดเรื่องของเราตรงนี้ เดี๋ยวนี้!"

รู้ว่ามันไม่เหมาะ รู้ว่ามันไร้เหตุผล แต่ฉันยังอยากเอาชนะ มีไรป่ะ ไหนๆเรื่องงานของฉันมันก็พังไปแล้ว จบไปแล้ว ก็ให้เรื่องอื่นๆมันจบซะตรงนี้ด้วยเลยเหมือนกัน

ดูก็รู้ว่าคนตัวสูงตรงข้ามกำลังพยายามอดกลั้นกับมนุษย์ป้าอย่างฉันจนสุดความสามารถ เขากำลังสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างลึกๆ ใบหน้าเรียวนั่นเรียบเฉย แต่สายตาเรียวนั่นกำลังตำหนิฉัน

"ลินต้องการอะไรกันแน่ ถึงขนาดนี้แล้วยังต้องพูดคำนี้อีกหรือ ที่ผ่านมาลินยังไม่รู้อีกหรือว่าผมรู้สึกยังไง ทำไมลินถึงได้คิดเล็กคิดน้อยทำตัวเหมือนเด็กๆนะ" เขาพูดช้าๆชัดๆด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ

ฉันหน้าชา หนอย มาว่าฉันเป็นเด็กน้อยเหรอ ตัวเองนั่นแหละเด็กน้อย อายุก็อ่อนกว่าฉันตั้งหลายปี

"เซนไม่รักษาสัญญา ตอนที่ก้องมาหาลินที่นี่ เซนไปแสดงออกอย่างนั้นได้ยังไง ตอนนี้คนในออฟฟิศเค้ารู้เรื่องของเรากันหมดแล้ว" ฉันพาลโวยวายต่อไปเรื่องอื่น ต้องทำให้เขารู้สึกผิดให้ได้

"ผมพยายามทำตามที่ลินขอแล้ว ผมไม่เคยพูดเรื่องของเราที่ไหน ปกติผมโคตรเกลียดที่จะต้องมาปิดบังเรื่องอะไรแบบนี้ แต่วันนั้นจะให้ผมทนไหวได้ยังไง" น้ำเสียงนั้นเริ่มจะมีอารมณ์ขึ้นมาบ้างแล้ว "ไอ้คุณลุงนั่นเค้าขับรถตรงมาจากไร่เป็นหลายร้อยโลเพื่อจะมาหาลินถึงที่นี่ ถ้าลุงเค้าไม่เห็นลินเป็นคนพิเศษ แล้วเค้าจะอุตส่าห์ขับรถมาทำไม"

"ก็ก้องอาจมาทำธุระอย่างอื่นก็ได้นี่" ฉันยังพยายามเฉไฉทั้งๆ ที่รู้ดีว่าก้องขับรถจากจังหวัดเลยมาที่กรุงเทพนี่เพื่อมาหาฉันโดยเฉพาะ เพราะเช้าวันรุ่งขึ้นก้องก็ขับรถตรงกลับไปไร่ทันทีเพราะมีงานที่ไร่รออยู่

"ก็ลุงเขาบอกผมเอง ว่าเขาตั้งใจขับรถมาหาลิน"

เชี่ยแล้ว! แล้วนี่คุยอะไรกันอีกเนี่ย

"ลินบอกผมมา ว่าลินกับไอ้ลุงนั่นยังมีเยื่อใยกันหรือเปล่า ที่ลินปฏิเสธผม เพราะลินกำลังคุยๆอยู่กับไอ้ลุงนั่นหรือเปล่า" น้ำเสียงที่เข้มขึ้น ท่าทางจริงจังที่ลุกขึ้นยืนแล้วโน้มตัวลงมาเท้ามือทั้งสองไว้ที่โต๊ะทำเอาฉันเริ่มใจหวั่น

"ลินกำลังปิดบังอะไรผมอยู่ใช่ไหม" ตาเรียวนั่นมีแววดุดันอย่างที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน โอย มาถึงจุดจุดนี้จนได้ ฉันเคยนึกไว้แล้วไงว่าเวลาคุณเซนโกรธเขาต้องน่ากลัว ก็คุณเขาเคยเป็นมาเฟียมาก่อน ฉันถึงไม่อยากให้เขามารู้เรื่องก้องไง

ทำไงดีวะเนี่ย แม่งเกมพลิก จังหวะนี้คุณเซนเป็นฝ่ายหูร้อนขึ้นมาบ้างแล้ว

ไม่ได้ เกมนี้ฉันจะแพ้ไม่ได้ คงต้องหงายการ์ดคุณฝนซะแล้ว

"เซนก็เหมือนกันแหละ เซนมีอะไรปิดบังลินอยู่หรือเปล่าคะ คุณฝนเป็นใคร!"

"ลิน..." คนตาเรียวอึ้งไปเมื่อเจอคำถามนี้ เขาถอนหายใจอีกรอบ ก่อนจะถอยไปนั่งลงพิงพนักเก้าอี้ ยกมือทั้งสองขึ้นมาลูบหน้าแล้วปิดตาอยู่ชั่วครู่

ช่วยไม่ได้ ก็คุณเซนเป็นฝ่ายเริ่มก่อนนี่นะ เหมือนว่าสองสามวันมานี้เราต่างคนต่างเลี่ยงที่จะเผชิญหน้าหรือพูดคุยกัน ทั้งฉันและเขาต่างมีอะไรกันอยู่ในใจ แต่วันนี้แหละ เคลียร์ๆกันไปเลย ฉันไม่สนใจแล้วว่าคนข้างนอกห้องประชุมจะกำลังแอบจับจ้องปฏิกิริยาของเรากันแค่ไหน

วินาทีฉันจะต้องถามเค้าให้รู้เรื่องแล้ว

"คุณฝนคือแม่ของเจ้าเรนหรือเปล่าคะ"

คนตรงหน้าลืมตาขึ้นมาขมวดคิ้ว

"ไม่ใช่" แววตานั่นอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย เมื่อได้ยินฉันเอ่ยถึงชื่อของลูกชายสุดที่รัก

"แล้วแม่ของเจ้าเรนคือใครคะ" ฉันคาดคั้นอย่างต่อเนื่อง ไม่เหลือความเกรงใจอีกแล้ว ฉันจะต้องรู้ความลับนี้ให้ได้

"ผมยังไม่พร้อมที่จะคุยเรื่องนี้ มันยังไม่ถึงเวลา แล้วก็มันไม่ใช่เรื่องที่จะมาคุยกันที่นี่"

แม้จะรู้ว่าน้ำเสียงนั่นเริ่มออกอาการจะตัดบทแล้ว แต่ฉันไม่สน มันเป็นความลับอะไรกันนักหนาถึงบอกไม่ได้

"ถ้างั้นก็แปลว่าใช่ เซนไม่อยากบอกลินเพราะเซนกลัวลินเสียใจใช่ไหม คุณฝนเป็น…"

แต่ก่อนที่ฉันจะทันได้แสดงความเอาแต่ใจอย่างไม่ลืมหูลืมตาต่อไป เราก็ได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง หันไปเห็นน้องน้ำหวานกำลังผลักประตูกระจกนั่นเข้ามา ก่อนจะรายงานยาวเหยียดด้วยความตื่นเต้น

"มีคนมาหาคุณเซนค่ะ ชื่อคุณฝน มาพร้อมกับขนมเต็มไปหมดเลยค่ะ น้ำหวานให้ลุงยุทธ์ช่วยหิ้วขึ้นมาวางในครัวของเราแล้วค่ะ แต่คุณฝนยังยืนรอคุณเซนอยู่ข้างล่างค่ะ"

เชี่ย! กำลังพูดถึงคุณฝน คุณฝนก็มาทันที ไรกันวะเนี่ย! ฉันเห็นตาเรียวนั่นเป็นประกายอ่อนโยนขึ้นมาอีกหนึ่งแวบ

"ครับ ขอบคุณครับ ผมคุยธุระกับคุณลลินเสร็จพอดีครับ คุณวารุณีช่วยล่วงหน้าไปบอกคุณฝนเลยครับว่าผมกำลังจะลงไป"

น้องน้ำหวานหันมาทางฉันพลางส่งสายตาเห็นใจ ก่อนจะหันหลังเดินออกจากประตูห้องไป

"เอาไว้รอลินใจเย็นๆก่อน แล้วค่อยคุยกันใหม่นะครับ" คนตัวสูงพูดพลางเก็บโน้ตบุ๊คพลาง เหมือนว่าเรื่องที่เราเพิ่งจะคุยกันมันไม่มีความหมาย

แล้วเขาก็ลุกขึ้นมองหน้าฉันหนึ่งแวบด้วยใบหน้าเรียบเฉย ก่อนจะเดินตามน้องน้ำหวานออกจากห้องไปท่ามกลางสายตาที่จับจ้องมาทั้งออฟฟิศ ฉันยืนนิ่งมองตามท้ายทอยขาวๆอันน่าหลงใหลนั้นไปด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ทั้งอัดอั้นน้อยใจคุณเซน ทั้งสับสนที่ไม่ได้ดั่งใจตัวเอง

ทำไมเรื่องราวมันกลับกลายมาเป็นอย่างนี้ได้หนอ…

กิริยาอาการหอบถุงขนมพะรุงพะรังของลุงยุทธ์ขึ้นมาที่ครัวนั้นทำให้เกิดการแตกตื่นไปถ้วนทั่ว เหล่าหนุ่มสาวออฟฟิศพากันอยากรู้อยากเห็นอยากดูหน้าสาวสวยคนที่อาจหาญเอาขนมมาให้คุณเซนถึงที่ทำงาน ทุกคนแอบหันมามองหน้าฉันก่อนจะค่อยๆผลัดกันแอบย่องออกไปที่ระเบียงกระจกโปร่งชั้นสองที่สามารถมองลงไปเห็นด้านล่างตรงส่วนรับแขกได้

"แฟนเก่าของพี่เซนเค้าค่ะ"

น้องพลอยโน้มตัวมากระซิบที่ข้างหูของฉันหลังจากกลับออกมาจากการไปแอบดู 'สาวอีกคนของคุณเซน' เหมือนคนอื่นๆ ฉันกำลังทำเป็นนั่งทำงานยุ่งอยู่ที่โต๊ะด้วยสีหน้าปกติ แต่สีหน้าของน้องพลอยกลับดูเย็นยะเยือกกว่าปกติ และสายตาเยาะเย้ยหยันนั้นก็พุ่งเป้ามาที่ฉันโดยตรง

เรื่องของแฟนเก่านั้นฉันพอจะเดาได้ ไม่น่าตกใจอะไรนัก ก็ท่าทางของคุณเซนกับคุณฝนตอนเจอกันเค้าแปลกประหลาดซะขนาดนั้น คงต้องเคยมีซัมธิงรองกันมาก่อนแน่ล่ะ แล้วอันที่จริง คนอย่างคุณเซนก็น่าจะมีแฟนเก่ามานับไม่ถ้วนแล้ว

แต่ประโยคถัดมาที่น้องพลอยกระซิบด้วยเสียงนุ่มๆนี่สิ ทำเอาฉันหัวใจกระตุกและเสียวสันหลังวาบ

"เค้าเคยรักกันมากๆด้วย"

รักกันมากๆด้วยงั้นหรือ…

ฉันรีบผุดลุกยืนขึ้นจากเก้าอี้ทันที หันซ้ายแลขวาเห็นปลอดคนในระยะรัศมีห้าเมตรแล้วจึงโน้มตัวไปกระซิบถามเบาๆที่ข้างหูของน้องฝน

"แล้วคุณฝนเค้าใช่แม่ของเจ้าเรนหรือเปล่า"

แล้วฉันก็หันหูข้างขวาของตัวเองไปจ่อที่ปากของน้องพลอย รอฟังคำตอบด้วยใจระทึก แต่ก็ต้องผิดหวัง

"เรื่องนี้พี่ลินต้องไปถามพี่เซนดูเอาเองค่ะ ไปกินขนมดีกว่า" น้องพลอยพูดก่อนจะเดินไปทางห้องครัวที่ตอนนี้ทุกคนกำลังมะรุมมะตุ้มกินขนมของฝากจากคุณฝนอยู่ คุณฝนเธอมาได้จังหวะเวลาดีมาก บ่ายแก่ๆอย่างนี้ใครๆก็อยากหยุดพักการทำงานด้วยกาแฟสักถ้วยและขนมอร่อยๆสักถุง

ฉันตัดสินใจเดินช้าๆตามหลังน้องพลอยไปที่ครัว เพราะถ้าฉันยังทำนิ่งอยู่ที่โต๊ะต่อไปเรื่อยๆ หัวข้อการซุบซิบที่ครัวก็น่าจะเข้มข้นเกินไป ฉันรู้ดีว่าเรื่องของฉันและคุณเซนกำลังเป็นวาระแห่งชาติของออฟฟิศ ทุกคนกำลังจับจ้องและเม้าท์แตกกันเรื่อง 'ผู้หญิงของคุณเซน'

ฉันแอบได้ยินตอนไปเข้าห้องน้ำว่าวงการพนันขันต่อได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว แว่วๆมาว่าตอนนี้ฉันกำลังเป็นรอง หลายคนลงความเห็นว่าคุณฝนสวยกว่าฉันแยะ คุณเซนน่าจะชอบคนสวย

แม้เรื่องราวจะเลยเถิดกันไปยกใหญ่ แต่ณ จุดจุดนี้ ยังไงฉันต้องทำท่าหน้าตายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเอาไว้ก่อน ยังดีที่คราวนี้ไม่มีใครกล้ามาถามฉันเรื่องนี้ตรงๆเหมือนอย่างตอนที่ร่ำลือกันครั้งที่แล้วเรื่องฉันกับคุณเซนที่จตุจักร และฉันก็โชคดีที่วันนี้ลูกทีมทั้งหมดของฉันทั้งเยลลี่คิตตี้และสุกรีเขาไปสุมทำงานกันอยู่ที่โรงงาน ก็หลังจากสุกรียื่นใบลาออก คุณเซนเขาไม่มีนโยบายรับพนักงานใหม่มาให้แผนกฉันแน่ๆ ทีมของฉันจึงต้องแบ่งเวลากันไปเรียนรู้งานจากสุกรีให้ได้มากที่สุด ยังไงวันนี้ออฟฟิศก็คนไม่เยอะนัก ฉันคงรับมือไหว แม้ตอนนี้ในใจจะร้อนรุ่มจนแทบคุ้มคลั่ง แต่คงไม่หลุดแสดงอาการผิดปกติอะไรออกมาแน่ๆ

แต่เมื่อต้องเดินผ่านระเบียงใสเพื่อไปยังครัว ฉันก็อดเผลอที่จะมองลงไปข้างล่างนั่นไม่ได้ แล้วก็เห็นภาพที่ไม่อยากจะเห็น ภาพที่ทำให้หัวใจของฉันสั่นไหวและและใบหน้าร้อนวูบ คนหน้าขาวๆปากแดงๆเขากำลังนั่งคุยยิ้มแย้มแจ่มใสกับคุณฝนอย่างใกล้ชิดบนโซฟาตัวเดียวกัน นี่คุณเซนเขากล้าแสดงออกอย่างชัดเจนขนาดนี้ในที่ทำงานเลยหรือ

วินาทีนั้นฉันรู้ตัวเองเลยว่า… ชอบผู้ชายคนนี้มากขนาดไหน อยากจะวิ่งเข้าไปแย่งตัวคุณเซนออกมา อยากกอด อยากซุกหน้ากับแผงอกขาวๆนั่น อยากนั่งอยากนอนมองปากแดงๆนั่นหัวเราะฟันสวยกับฉันคนเดียว

แต่มันสายไปแล้ว… แม่ของลูกเขากลับมาหาเขาแล้ว ครอบครัวของคุณเซนกำลังจะสมบูรณ์แล้ว ไอ้เจ้าเรนกำลังจะมีความสุข กำลังจะมีแม่แท้ๆ! ฉันคิดไปถึงเจ้าเด็กหัวฟ้าแล้วก็อดที่จะยิ้มอย่างเจ็บปวดไม่ได้

เรนกำลังจะมีแม่จริงๆแล้วนะลูก เรนจะมีคนมาดูแลเอาใจใส่แทนแล้ว ป้าลินคงหมดหน้าที่แล้วใช่ไหมลูก…

ไม่ใช่ว่าฉันจะไม่เคยรู้รสความเจ็บปวดจากความรัก แต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนกับทุกครั้งที่ผ่านมา ความรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินมันช่างรวดร้าว ฉันกำลังเป็นส่วนเกินในชีวิตผู้ชายคนนี้ทั้งเรื่องงานและเรื่องครอบครัว

แล้วฉันจะอยู่ที่นี่ต่อไปเพื่ออะไร…