webnovel

1170 ข้าติดหนี้พวกมัน

ตอนที่ 1170 ข้าติดหนี้พวกมัน

“ท่านคือภูตเหยากวงเก้าวัน เพราะเป็นห่วงถึงความทนทุกข์ของทุกชีวิตในอาณาจักรเบื้องล่าง ท่านจึงปะปนอยู่รวมกับมนุษย์ หลังจากผ่านภัยพิบัติมากมาย ตอนนี้ท่านจึงกลับมา”

“ต่อไป”

“ขอให้ทูตศักดิ์สิทธิ์ชำระแท่นบูชาห้าอาณาจักรกลับสวรรค์ หลังจากนั้น ให้ดูแลตำหนักสวรรค์ สร้างความตกตะลึงให้กับหกวิถี”

“เดี๋ยวๆ ! พวกเขาล้วนเป็นเซียนและนักบุญ ทำไมข้าถึงเป็นทูตล่ะ”

กู่ฉิงซานลดเสียงลงแล้วตอบว่า “ท่านทูตจะลืมก็ไม่แปลก ที่จริง ในบรรดาผลประโยชน์ของหกภพ ทูตคือผู้ที่น่ายินดีที่สุด เป็นผู้ที่ได้ผลประโยชน์มากที่สุดในตำหนักสวรรค์”

ผู้ชายเข้าใจความคิดของอีกฝ่ายก่อนรีบกล่าวว่า “ถ้าเป็นแบบนี้ก็รีบเลือกข้าเข้าตำหนักสวรรค์เลย”

“ได้”

“…ต่อไป”

“สหายเต๋า เดิมท่านคือราชานักบุญคนแรกของสามภพ เพราะเป็นห่วงถึงความทนทุกข์ของทุกชีวิตในอาณาจักรเบื้องล่าง ท่านจึงปะปนอยู่รวมกับมนุษย์ หลังจากผ่านภัยพิบัติมากมาย ตอนนี้ท่านจึงกลับมาได้สำเร็จ”

“ต่อไป!”

“ใกล้หมดหรือยัง” กู่ฉิงซานถาม

ไปจั่วและชางยูลี่ดูเหมือนกับคนโง่

ผ่านไปสักพัก มีเจ็ดสิบถึงแปดสิบคนเข้าสู่ตำหนักสวรรค์

เมื่อมีคนเหล่านี้มาเพิ่ม ตำหนักสวรรค์ก็เริ่มสั่นสะเทือน

หมู่เมฆและหมอกเหล่านั้นค่อยๆ เป็นปึกแผ่นก่อนเปลี่ยนรูปทรงช้าๆ ตำหนักสวรรค์กำลังจะปรากฏขึ้นมา

มีเสียงอึกทึกแปลกประหลาดดังขึ้น

สีหน้าของไป่จั่วเปลี่ยนไป

“สหายเต๋ากู่ ขุนเขาศักดิ์สิทธิ์ชื่นชอบวิธีการของเจ้าและพึงพอใจกับเรื่องนี้มาก” ไป่จั่วกล่าว

กู่ฉิงซานยิ้มแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นมาทำสิ่งต่อไปกัน…ตราบที่คลี่คลายสองปัญหาได้ พวกเราก็สามารถก้าวข้ามภัยพิบัติขุนเขาเซียวหมีได้ นี่นับเป็นเรื่องที่ดี”

ไป่จั่วปรบมือ ในที่สุดก็ปรี่เข้าไปหาชางยูลี่ “เรียนรู้ไว้หน่อยนะ”

ทั้งสองหายไปจากตำหนักสวรรค์ทันที

เดิมชางยูลี่เป็นทูตของตำหนักสวรรค์ที่ทำหน้าที่หาคน “เหอะ ก็แค่เรื่องง่ายๆ ยังต้องเรียนรู้อะไรอีก…ข้าแค่คาดไม่ถึงเฉยๆ เท่านั้นเอง” เขาพึมพำ

ทันใดนั้น ใครบางคนที่อยู่ด้านหลังตบเขา

เมื่อหันมองกลับไป เป็นสองคนที่เพิ่งเกิดในตำหนักสวรรค์

“มีอะไรหรือ” ชางยูลี่ถาม

คนแรกตอบว่า “ข้าคือจักรพรรดิที่มีพละกำลังแก่กล้าสามสิบสามวัน”

มนุษย์อีกคนตอบว่า “ข้าคือเฉวียนจุนผู้พิชิตเก้าสวรรค์และสิบภพ”

ทั้งสองถามพร้อมกันว่า “ใครมีสถานะสูงกว่ากัน”

ชางยูลี่ตกตะลึง

ด้านหลังทั้งสอง “จอมปราชญ์ห้าภพ” “นักบุญคนแรกของสามภพ” และ “ราชาอมตะประตูใต้” ต่างมองมาด้วยความอยากรู้เช่นกัน

ชางยูลี่ปาดเหงื่อจากหน้าผากแล้วยิ้มอย่างไม่เต็มใจ “พวกเจ้าสองคน…รอเดี๋ยวก่อนนะ ข้าจะหาคนมาตอบให้”

สิ้นเสียงตะโกน

กู่ฉิงซานปรากฏขึ้นอีกครั้ง

“ทำไมถึงให้ข้ากลับมาอีกล่ะ” เขาถาม

ชางยูลี่รู้สึกเหมือนกับพ้นโทษก่อนก้าวมาข้างหน้าแล้วกล่าวเสียงต่ำ

กู่ฉิงซานมองกลุ่มเซียน คิ้วยักขึ้นแล้วกล่าวว่า “สถานะใครสูงกว่าหรือ ของแบบนี้ต้องสู้กันก่อนถึงจะรู้ไม่ใช่หรือ”

ทุกคนตกตะลึงขณะนึกย้อน

ใช่แล้ว…

…ถ้าเอาชนะไม่ได้ แล้วจะมามีสถานะสูงกว่าได้อย่างไร

กู่ฉิงซานเสริมว่า “เอาเถอะ ถึงทุกท่านคือเซียน แต่ถ้าในอนาคตที่ได้พบกันใหม่แล้วพวกท่านเงยหน้ามองขึ้นมา นั่นหมายความว่าพวกท่านเสียตัวตนในฐานะเซียนไปแล้วหรือเปล่า”

“ข้าแนะนำว่าให้พวกท่านสร้างตำหนักด้วยกัน ใครที่ทำคุณงามความดีมากกว่าย่อมเป็นที่โปรดปรานของขุนเขาศักดิ์สิทธิ์มากกว่า ไม่คิดอย่างนั้นหรือ ขุนเขาศักดิ์สิทธิ์”

มีเสียงแปลกประหลาดระหว่างสวรรค์และปฐพีราวกับเห็นด้วยในคำพูดของกู่ฉิงซาน

ท่ามกลางเมฆหมอก แผ่นหยกค่อยๆ ปรากฏขึ้น ประกอบด้วยภารกิจการสร้างและความดีมากมาย

สิ่งเหล่านี้มีผลที่สอดคล้องกัน หากทำสำเร็จ ไม่เพียงแค่ตำหนักสวรรค์จะสร้างได้ไวเท่านั้น แต่ผู้คนจะค่อยๆ แยกตัวออกจากร่างโลกีย์จนกลายเป็นผู้อยู่อาศัยของอาณาจักรสวรรค์

สมกับเป็นเซียนอย่างแท้จริง…

แต่หนทางช่างยาวไกล

ผู้คนมองแผ่นหยกคนแล้วคนเล่าขณะเลือกรายละเอียดที่เหมาะสมกับตัวเอง

ไม่มีใครสร้างปัญหาอีก

“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าขอตัวก่อน” กู่ฉิงซานกล่าวกับชางยูลี่

ชางยูลี่ถอนหายใจด้วยความโล่งอกขณะมองสีหน้าสงบของกู่ฉิงซานจนอดที่จะถามไม่ได้ว่า “สหายเต๋ากู่ ก่อนหน้านี้เจ้าเป็นอะไร”

กู่ฉิงซานตอบอย่างเคร่งขรึมว่า “ผู้ใช้ดาบ”

“ข้าไม่เคยเห็นผู้ใช้ดาบเช่นเจ้ามาก่อน…”

“ปัญหาเล็กคลี่คลายแล้ว ตอนนี้เหลืออีกหนึ่งปัญหาใหญ่” ไป่จั่วกล่าว

“ว่ามาเลย” กู่ฉิงซานกล่าว

“ขุนเขาศักดิ์สิทธิ์ถึงกับไม่อยากตระเตรียมให้หกวิถีเป็นเช่นนี้ มันเป็นเรื่องที่สิ้นหวังจริงๆ ”

“ทำไมล่ะ”

“เพราะอยู่ในอาการย่ำแย่มานาน ทำให้ไม่สามารถฟื้นฟูได้สักพัก ส่งผลให้ขุนเขาศักดิ์สิทธิ์ขาดแหล่งกำเนิดพลังโลกเพื่อรักษาหวนคืนชาติภพหกวิถีให้เป็นปกติได้” ไป่จั่วกล่าว

กู่ฉิงซานถามว่า “แหล่งกำเนิดพลังโลกหรือ ข้าเกรงว่าจะไม่สามารถช่วยได้นะ”

ไป่จั่วตอบว่า “อย่าเพิ่งบอกว่าช่วยไม่ได้สิ ที่จริง โลกที่แตกสลายนอกเมืองเทียนจูก็เคยรวมเข้ากับขุนเขาศักดิ์สิทธิ์มาก่อน แต่น่าเสียดาย หลังจากเสาหลักแห่งสวรรค์พังทลายลง พวกมันไม่สามารถหลอมรวมเข้ากับขุนเขาศักดิ์สิทธิ์ได้ ส่งผลให้เกิดความล่าช้า”

“ตอนนี้เสาหลักแห่งสวรรค์พร้อมแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าว

“โลกเหล่านั้นอ่อนแอเกินไป พวกเราต้องหาทางนำพวกมันมาหาขุนเขาศักดิ์สิทธิ์” ไป่จั่วกล่าว

กู่ฉิงซานถามอย่างจริงจังว่า “พวกมันล้วนมีเจตจำนงเป็นของตัวเอง มันจะไม่เกิดผลกระทบหลังจากหลอมรวมเข้าด้วยกันใช่หรือเปล่า”

ไป่จั่วตอบว่า “ไม่นะ ที่จริง พวกมันต้องการที่อยู่อาศัย ไม่อย่างนั้นก็ทำได้เพียงร่อนเร่ไปเรื่อย”

กู่ฉิงซานเงียบ

ใช่แล้ว เจตจำนงโลกที่เหลืออยู่ต่างหวังให้สิ่งมีชีวิตสามารถเข้าสู่โลกตัวเองเพื่อขยายตัวตนของพวกมัน

พวกมันทำธุรกิจนอกเมืองด้วยหวังจะได้สมบัติทรงพลังเพื่อเพิ่มพลังเพียงเล็กน้อย

พวกมันอยู่ด้วยกันเพื่อความอบอุ่นในถิ่นทุรกันดารที่ไม่มีใครสนใจ

กู่ฉิงซานเปิดปากแล้วกล่าวว่า “เอาเถอะ ถ้าเป็นแบบนั้น ข้าจะเลือกพวกมันเอง”

ไป่จั่วกล่าวว่า “เดี๋ยวนะ ไม่มีทางที่จะพาเจตจำนงและจุดกำเนิดโลกได้หรอก เจ้าวางแผนจะพาพวกมันมายังไง”

กู่ฉิงซานชำเลืองมองไป่จั่ว

ไป่จั่วสับสน

“เอาล่ะ ถ้าเป็นเรื่องอื่น ข้าก็ไม่กล้ารับประกัน แต่ถ้ามาหาข้าเพราะเรื่องนี้ เจ้าก็มาหาถูกคนแล้ว” กู่ฉิงซานดีดนิ้วก่อนกล่าวต่อว่า “ส่งข้าลงไป”

“เจ้าแน่ใจหรือ”

“แน่ใจ”

“จำเอาไว้ เจ้าคือคนที่ก้าวข้ามภัยพิบัติ ด้วยพลังของขุนเขา เจ้าสามารถออกไปได้ชั่วคราวหนึ่งครั้ง…หรือก็คือ เจ้ามีโอกาสหนึ่งครั้ง โปรดใช้มันให้คุ้มค่าด้วย”

แสงวูบไหว

กู่ฉิงซานเคลื่อนย้ายพริบตาออกจากขุนเขาเซียวหมี

โลกเทียนจู

หลังจากออกมาแล้ว เวลาในตอนนี้ก็เป็นกลางคืน

กู่ฉิงซานเหาะไปตามสายลม เขายืนอยู่บนกำแพงเมืองขณะมองออกไป

ฉากอันรุ่งเรือง

แสงและเงาของโลกนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นแห่งแล้วแห่งเล่าขณะสะท้อนให้เห็นการเจรจาของแต่ละเมือง

แถวหิ่งห้อยปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

“โปรดทราบว่าการบูชายัญของเทพปฐพีคราวที่แล้ว ทำให้ท่านใช้พลังเจตจำนงไปจนหมด ทำให้ไม่สามารถทำการเต้นบูชายัญเป็นครั้งที่สองได้ในเวลาอันสั้น”

กู่ฉิงซานถอนหายใจ มือยกขึ้นแล้วกำหมัด

เขายืนนิ่ง พลังที่อธิบายไม่ได้เคลื่อนลงมาหาเขา

พรจากอดีต!

พลังนี้กระจายไปทุกทิศทางก่อนจะถูกสังเกตเห็นโดยเจตจำนงของโลกที่เหลืออยู่

เพียงพริบตา แสงและเงาทั้งหมดของโลกและกำแพงเมืองทั้งหมดหายไป

อีกภาพปรากฏขึ้นตรงหน้ากู่ฉิงซาน

ตัวตนที่แตกสลายร่างแล้วร่างเล่า…

ร่างมีขนาดใหญ่ แขนขาเรียว ไร้หน้า คล้ายกับมนุษย์

จิตวิญญาณที่เหลืออยู่ของโลก

พวกมันทั้งหมดคือโลกที่ถูกทำลายโดยเรนี่โดล เหลือเพียงจิตวิญญาณที่หลงเหลืออยู่น้อยนิดที่ซ่อนอยู่ในโลกเทียนจู

พวกมันเพียงกล้าปรากฏตัวตอนกลางคืนเท่านั้น เชื่อมต่อเข้าหากันด้วยพลังของตัวเอง กระตือรือร้นที่จะแสวงหาพลังเพื่อให้ตัวเองมีตัวตนอยู่ได้นานอีกสักนิด

กู่ฉิงซานสะบัดมือแล้วกล่าวว่า “นานมากแล้วที่ข้าได้พบพวกเจ้า ข้าคิดว่าจะไม่มีทางคลี่คลายปัญหาได้ก็เลยไม่ได้มาหาอีก แต่ใครจะนึกล่ะว่าข้าหาทางได้แล้ว”

จิตวิญญาณที่ยังเหลือรอดจำนวนมากจากทุกภพมองเขาเงียบๆ

เขาชี้ตาซ้ายของตัวเองแล้วกล่าวว่า “ตอนนี้มีโอกาสที่จะเข้าขุนเขาเซียวหมีเพื่อลี้ภัย มันคือสถานที่ที่พวกเจ้าจะหาทุกสรรพสิ่งและอยู่ร่วมกับขุนเขาได้…ฟังนะ ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้า ข้าไม่รู้ว่าพวกเจ้าคิดอะไรอยู่ แต่ถ้าเต็มใจ เช่นนั้นก็มาอยู่ในดวงตาข้า ข้ามีโลกสองใบอยู่ในนี้ ทำให้สามารถเก็บพวกเจ้าได้ชั่วคราว”

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “ถ้าพวกเจ้าไม่เต็มใจก็ไม่มีใครบังคับให้พวกเจ้าไปได้อยู่แล้ว”

หลังจากรอหลายอึดใจ

สิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่เหล่านั้นพยักหน้าร่างแล้วร่างเล่า

พวกมันกลายเป็นจุดแสงนับไม่ถ้วนก่อนลอยไปมารอบกู่ฉิงซาน

“ขอบ…คุณ…”

เสียงดังขึ้นในหูของกู่ฉิงซาน

จุดแสงทั้งหมดลอยเข้าดวงตาของเขาก่อนรวมตัวเข้าด้วยกันราวกับดวงอาทิตย์ร้อนแรงที่สาดส่องด้วยแสงเจิดจ้านับไม่ถ้วน

แถวคำพูดพลันปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงคราม

“ดวงตาของท่านเต็มไปด้วยวิญญาณโลกมากเกินไป มันจะส่งผลให้เกิดความเจ็บปวดแสนสาหัส โปรดให้พวกมันออกไปเดี๋ยวนี้”

กู่ฉิงซานสั่นสะท้านไปทั่วร่าง เหงื่อเย็นยังคงหลั่งออกมา

เขาเย้ยหยันว่า “นี่หรือความเจ็บปวด กระจอกกว่าพลังมังกรคู่อีก”

แถวหิ่งห้อยปรากฏขึ้นบนหน้าต่างระบบเทพสงครามอีกครั้ง

“โปรดทราบว่าดวงตาของท่านเต็มไปด้วยวิญญาณโลกมากเกินไป หากไม่ปล่อยพวกมันในทันที ดวงตาของท่านจะได้รับบาดเจ็บสาหัส”

โลหิตยังคงไหลออกมาจากดวงตา

กู่ฉิงซานส่ายหน้าแล้วกล่าวว่า “อย่ามาบอกข้า ตอนมาคราวที่แล้ว หากพวกมันไม่บอก ข้าไม่มีทางรู้หรอกว่ามังกรฟ้าซ่อนอยู่ในความมืด”

“ข้าติดหนี้พวกมัน”

เขาเช็ดโลหิตออกจากหางตา ร่างทะยานขึ้นท้องนภาก่อนมุ่งตรงสู่เสาหลักแห่งสวรรค์

..............................