webnovel

1147 จากแม่น้ำแห่งการลืมเลือน

ตอนที่ 1147 จากแม่น้ำแห่งการลืมเลือน

เปลวเพลิงสีฟ้าดำกระแทกใส่ร่างของชางอู๋จางก่อนติดไฟทันที

“อา”

ชางอู๋จางแผดเสียงกรีดร้องสั้น ๆ ออกมา

กู่ฉิงซานไม่หยุดขณะยื่นกรงเล็บมังกรออกไปตะปบอย่างต่อเนื่อง

ตึงตังตึงตัง!

รอยฟันอันคมปลาบปรากฏบนชุดเกราะศึกของชางอู๋จาง ชุดเกราะศึกทั้งชุดเต็มไปด้วยรู ดูท่ามันกำลังจะถูกทำลายในวินาทีต่อมา

ชางอู๋จางได้สติทันที

นี่คือช่วงเวลาที่ตัดสินความเป็นความตายแล้ว!

แทบจะไม่ต้องคิด เขาประสานมือเข้าด้วยกันเพื่อร่ายวิชาด้วยความเร็วสูงที่สุดในชีวิต

ยันต์ วิชาแทนที่ความตาย!

แสงสีเขียว เปลวเพลิงมังกร บาดแผลบนร่างของชางอู๋จางล้วนหายไป

เขากลับไปสู่สภาพสูงสุดก่อนแผดเสียงคำรามอันขมขื่นออกมา

“ราชาภูตผียมโลก ข้าจะจำเจ้าไว้ครั้งต่อไป ข้าจะนำกองทัพมา เจ้ารอข้าไว้ได้เลย!”

วินาทีต่อมา ความว่างเปล่าแยกออก ชางอู๋จางตกลงไปในความว่างเปล่าจากเปลวเพลิงก่อนหายไป

“เป็นไปได้ยังไง” กู่ฉิงซานผงะ

ทันใดนั้น มีเสียงกรีดร้องดังมาจากใกล้ ๆ

เขาเห็นว่าวิญญาณชั่วร้ายหลายสิบตนที่กำลังขัดขืนแม่น้ำแห่งการลืมเลือนถูกปกคลุมอยู่ในเปลวเพลิงมังกรก่อนถูกเผาอย่างบ้าคลั่ง

พวกมันรับการโจมตีจากกู่ฉิงซานแทนชางอู๋จาง!

วิญญาณชั่วร้ายหลายสิบตนถูกเปลวเพลิงมังกรเผา จากนั้นถูกกรงเล็บมังกรตะปบ พวกเขาหายไปโดยไม่มีสุ้มเสียงใด ๆ

“หนีจริง ๆ หรือ”

กู่ฉิงซานปล่อยจิตเทพเพื่อตรวจสอบทั่วโลกแก้วหลากสี

เซี่ยเต้าหลิงกล่าวว่า “ไม่ต้องตามหาแล้วล่ะ เมื่อครู่เขาใช้วิชาวิญญาณชั่วร้ายเพื่อสลับเปลี่ยนความตาย ตอนนี้เขาหนีกลับโลกดั้งเดิมแล้ว”

พวกเขาทั้งสองรู้สึกเสียดาย

เป็นความจริงที่อีกฝ่ายเห็นโอกาสเร็วเกินไปหรือวิชาช่วยชีวิตของอีกฝ่ายมันเกินกว่าที่จะคาดคิด

เซี่ยเต้าหลิงครุ่นคิดสักพักแล้วกล่าวว่า “ยันต์แทนที่ความตายนี้ต้องใช้คำสาปพิเศษที่รวมไว้ในยันต์ จากนั้นผู้ฝึกยุทธ์จะใส่มันไว้ในทะเลแห่งความตระหนักรู้เพื่อขัดเกลามันให้กลายเป็นโชคชะตาที่สามารถกระตุ้นได้ทุกเมื่อ”

กู่ฉิงซานถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “ใช้คนอื่นมาตายแทนตัวเอง วิชาของวิญญาณชั่วร้ายช่างเปิดหูเปิดตาข้าจริง ๆ ”

วิถีเซียน คำสาปของหน้ากากและวิชาแทนที่ความตายของวิญญาณชั่วร้ายช่างไร้ที่สิ้นสุดจริง ๆ

เซี่ยเต้าหลิงไม่สนใจเหตุการณ์นี้แล้ว นางมองมังกรดำบนท้องนภาแล้วกล่าวติดตลกเล็กน้อยว่า “ฉิงซาน ความเร็วที่เจ้าพูดเมื่อครู่เกินกว่าที่ข้าคิดเอาไว้อีกนะ”

ตอนที่พูดเร็ว กู่ฉิงซานอายเล็กน้อย

หมอกสีดำจางหาย เขากลับมาเป็นร่างมนุษย์อีกครั้งก่อนเคลื่อนลงมาอยู่ข้างเซี่ยเต้าหลิง

“ใช่ นั่นคือพลังเหนือธรรมชาติของมังกรฟ้า ข้าบังเอิญได้มาจากอาจารย์ แถมยังรู้อีกว่าคำสาปนี้ช่างน่าอายจริง ๆ ปกติแล้วข้าไม่อยากต่อสู้ด้วยวิธีนี้” กู่ฉิงซานปกป้องตัวเอง

เซี่ยเต้าหลิงจำฉากเมื่อครู่ได้จนอดที่จะยกมุมปากขึ้นไม่ได้ก่อนกล่าวว่า “ฟังนะ หน้าคำสาปของวิญญาณชั่วร้ายทรงพลังมาก วิญญาณชั่วร้ายสามารถใช้วิญญาณคนตายของอสุราและนกอมตะเพื่อร่ายคาถาทรงพลังและหลบหนีได้ แถมยังใช้ชีวิตของอื่นเพื่อกระตุ้นวิชาได้อีกด้วย นับว่ารับมือได้ยากมาก”

“อาจารย์อยากจะพูดอะไรหรือ”

“ฉิงซาน เจ้าต้องไม่ใช้อารมณ์ร่วมกับความสามารถอื่น ๆ เจ้าต้องเลือกวิธีที่เหมาะสมในการต่อสู้อย่างสงบยามเผชิญหน้ากับศัตรูแข็งแกร่ง เพราะคำสาปนี้ใช้ง่าย เจ้าไม่ต้องกำหนดเป้าหมายในอนาคต เจ้ายังต้องใช้มันยามที่ต้องการ”

กู่ฉิงซานกล่าวว่า “ศิษย์ได้รับการชี้แนะแล้ว ศิษย์จะฝึกฝนวิชานี้ตลอดไปในอนาคต”

เซี่ยเต้าหลิงทำหน้าเครียดก่อนพยักหน้า “อืม ใช่แล้ว นี่สิคือรูปแบบของร้อยบุปผา”

ความจริงการชี้แนะนี้นับว่าถูกต้อง ไม่ได้ผิดแต่อย่างใด

ผู้ฝึกยุทธ์ต้องใคร่ครวญถึงวิชาของตัวเองทั้งหมดแล้วหาทางคลี่คลายปัญหาให้เร็วที่สุด

คำสาปของเงามังกรฟ้านั่นกระจายตัวจนมองไม่เห็น ทำให้ไม่สามารถป้องกันได้ชั่วคราว ที่จริงมันสามารถนับว่าเป็นคำสาปช่วยต่อสู้ที่ยอดเยี่ยมได้

เพียงแต่ว่า…

เซี่ยเต้าหลิงนึกถึงฉากที่กู่ฉิงซานกลายเป็นมังกรแล้วพยายามพูดออกมาอย่างยากลำบาก ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่สามารถควบคุมสีหน้าเอาไว้ได้

ทันใดนั้น นางประหลาดใจก่อนกล่าวอย่างช้า ๆ ว่า “ข้าจำได้แล้ว…พลังของเผ่ามังกรส่วนใหญ่ต้องพึ่งภาษามังกร วิชาที่สร้างโดยภาษามังกรคล้ายกับทำให้เกิดผลมากมาย เป็นการยากที่จะขัดขืน เจ้าจะต้องเผชิญกับมังกรอีกในอนาคต ระวังเอาไว้ด้วย”

กู่ฉิงซานไม่มีทางเลือกนอกจากแสดงสีหน้าจนใจออกมา

ระวังหรือ

ถ้างั้นมังกรตัวอื่นก็ต่อสู้แบบที่เขาทำเมื่อครู่งั้นหรือ

หรือก็คือถ้ามังกรต่อสู้กันก็จะกลายเป็นว่า…

มังกรสองตัวบินวนอยู่ในท้องนภาแล้วร้องเพลงแร็พงั้นหรือ

ฉากแบบนั้น…ดูงดงามพิลึก…

กู่ฉิงซานลอบสบถอยู่ในใจว่าครั้งต่อไปถ้าอยากสู้กับมังกร เขาจะสวมบทบาทเป็นนักฆ่าเพื่อไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายได้พูดเด็ดขาด

นี่คือวิธีในการรับมือเผ่ามังกรอย่างถูกต้อง

ตอนนี้พวกเขาสองคนพลันสัมผัสถึงบางสิ่งได้ก่อนมองไปทางท้องนภาพร้อมกัน

นางฟ้าที่ถือกระจกค่อย ๆ กลายเป็นภาพมายาก่อนหายไปจากท้องนภา

เซี่ยเต้าหลิงสะบัดมือก่อนเก็บกระจก

“ของจากสวรรค์ ไม่คิดเลยว่าจะตกไปอยู่ในมือของวิญญาณชั่วร้าย…” นางพึมพำกับตัวเอง

ในการต่อสู้นี้ ชางอู๋จางเพียงหลบเลี่ยงเขาแล้วหนีกลับไปหากลุ่มวิญญาณชั่วร้าย

วิญญาณชั่วร้ายทั้งหมดตายแล้ว

จากนั้น วิถีเซียนกระจกพันฟุตแตกสลาย

วิชาของแม่น้ำแห่งการลืมเลือนตกลงมาในที่สุด

เรือโดดเดี่ยวลำนั้นล่องไปตามแม่น้ำก่อนค่อย ๆ เข้ามาที่นี่

ผู้หญิงร่างผอมที่นั่งอยู่บนหัวเรือนั่งร้องเพลงเบา ๆ ท่ามกลางสายหมอก

“ยมโลก กระแสน้ำพัดพา ทำให้เจ้าขอพรได้สามครั้ง จากนั้นแม่น้ำแห่งการลืมเลือนจะไม่มีวันกลับมา”

เซี่ยเต้าหลิงปั้นหน้าขรึมก่อนประสานมือให้กับเรือลำเล็กแล้วกล่าวว่า “ทุกสิ่งในครั้งนี้จบลงแล้ว ขอให้ท่านเดินทางกลับอย่างหายห่วงได้ หวังว่าท่านจะอภัยให้กับบาปที่ข้าก่อ”

ผู้หญิงกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ข้าไม่ปรากฏตัวยังจะดีกว่า ข้าไม่โจมตียังจะดีกว่า”

นางพลันมองกู่ฉิงซานก่อนถามว่า “ราชาภูตผียมโลก แผนต่อไปของเจ้าคืออะไร”

กู่ฉิงซานงุนงงแต่ก็เข้าใจทันทีก่อนตอบว่า “ข้าต้องก้าวข้ามภัยพิบัติก่อน จากนั้นฆ่าบางคน ถ้าในอนาคตข้ามีโอกาส ข้าต้องหาทางฆ่าวิญญาณชั่วร้ายให้ได้”

“โห ทำไมล่ะ” ผู้หญิงถาม

“ข้าได้เห็นเศษเสี้ยวยมโลกมาแล้ว” กู่ฉิงซานกล่าวขณะรำลึกถึง “มีภูตผีและเทพบางส่วนในโลกนั้นที่มีความสัมพันธ์อันดีกับข้า แต่เศษเสี้ยวโลกนั้นถูกวิญญาณชั่วร้ายใช้เป็นคุก ทำให้โลกใบนั้นเป็นสถานที่จองจำ อีกอย่าง วิญญาณชั่วร้ายบุกเข้ามาในที่ที่ข้าอยู่แล้วเล่นงานคนรอบข้างข้าซ้ำไปมา ไม่ช้าก็เร็ว ข้าจะเผชิญหน้ากับพวกมันเพื่อจบเรื่องราวนี้”

ผู้หญิงเงียบไปสักพักแล้วถามว่า “เจ้าเคยเห็นวิญญาณชั่วร้ายมาแล้ว แล้วถ้ำหมื่นอสูรล่ะ”

กู่ฉิงซานส่ายหน้า

ผู้หญิงถามอีกครั้งว่า “ยุคศึกนิรันดร์ของอสุราล่ะ”

กู่ฉิงซานยังคงส่ายหน้า

ผู้หญิงยังคงถามต่อว่า “ตำหนักเซียนล่ะ”

กู่ฉิงซานยังคงส่ายหน้าเหมือนเดิม

ผู้หญิงมองเซี่ยเต้าหลิง จากนั้นมองกู่ฉิงซาน

“ทั้งสองคนช่างน่าเวทนานัก” นางถอนหายใจ

จิตของกู่ฉิงซานขยับ

น่าเวทนา…

ไม่สิ น้ำเสียงบริบทและความหมายของประโยคนี้ล้วนแตกต่างจากที่ได้ฟังมาจากซากศพขนาดใหญ่

ตอนนี้ดูท่าทั้งสองคนจะไม่ได้พูดเรื่องเดียวกัน

กู่ฉิงซานผิดหวังเล็กน้อย แต่เขาถามว่า “ท่านกับข้ามาจากยมโลก แล้วทำไมท่านถึงพูดกับข้าด้วยน้ำเสียงเสียดายแบบนั้นล่ะ”

“เพราะข้าสงสารเจ้าและเทพในยมโลกทั้งหมดยังไงล่ะ”

ผู้หญิงยังคงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชายิ่งว่า “หลังจากหกวิถีถูกทำลาย ยมโลกแตกเป็นเสี่ยง ๆ พลังของเทพนับไม่ถ้วนอ่อนแอจนถึงจุดต่ำสุด หากเศษเสี้ยวยมโลกไม่ถูกรวมเข้าด้วยกัน เทพแห่งยมโลกจะกลายเป็นทาสของผู้อื่นไม่ช้าก็เร็วเหมือนอย่างที่เจ้าเห็นนั่นแหละ”

“และเจ้า ราชาภูตผียมโลก เจ้าไม่เคยเห็นโลกแบบนี้ รวมถึงยุคที่กำลังจะมาถึงด้วย”

เสียงของนางเบาและเชื่องช้า

“ตอนเจ้าได้รับการยินยอมจากไม้เท้า เจ้าก็ไม่ใช่คนธรรมดาอีกต่อไป เจ้าจะยินดีกับการสักการะแห่งความตาย เจ้ายังจะต้องแบกรับความรับผิดชอบและมีภาระผูกพันกับโลกใต้พิภพอีกด้วย”

“ราชาภูตผี เจ้าพัวพันกับชะตากรรมของข้า แต่ตอนนี้ข้าไม่สามารถมาอยู่ข้างเจ้าผ่านวิชาเพื่อช่วยคลี่คลายความยากลำบากให้ได้”

“ดังนั้นเจ้าต้องหาทางมีชีวิตจนถึงวันสิ้นโลก วันที่ยุคใหม่มาถึง”

“เมื่อถึงวันนั้น พวกเราจะได้พบกัน”

กู่ฉิงซานจับคำพูดดังกล่าวไว้แล้วถามทันทีว่า “ยุคใหม่หรือ ยุคใหม่ที่ท่านพูดถึงคืออะไร”

“ยุคที่หกภพจะแย่งชิงพื้นที่จ้าวโลก”

ผู้หญิงกล่าวจบก่อนยืนขึ้นแล้วขยับไม้พายเบา ๆ

เรือลำเล็กล่องผ่านแม่น้ำสายยาว ไม่ช้าก็หายไป

แม่น้ำแห่งการลืมเลือนค่อย ๆ กลายเป็นภาพมายาก่อนหายไปจากท้องนภาของโลกแก้วหลากสี

ทั่วทั้งโลก เหลือเพียงกู่ฉิงซานและเซี่ยเต้าหลิง

กู่ฉิงซานเงยหน้ามองความว่างเปล่าอยู่นาน ในใจรู้สึกหลงทาง

ใช่แล้ว แม่น้ำแห่งการลืมเลือนสามารถใช้ได้โดยผู้หญิงคนนั้นเท่านั้น

เขาไม่สามารถใช้พลังระดับ “แม่น้ำแห่งการลืมเลือน” ได้ เขาไม่สามารถเรียกผู้หญิงงดงามเพื่อช่วยต่อสู้กับศัตรูได้

นี่คือความเวทนาในคำพูดของผู้หญิง

อาจจะมีเหตุผลอื่น แต่กู่ฉิงซานไม่รู้

เซี่ยเต้าหลิงชำเลืองมองกู่ฉิงซานก่อนไอเล็กน้อย “การไม่ได้เป็นผู้หญิงหรือไม่มีสกิลเทพทั้งหมดไม่ใช่เรื่องน่าเวทนาหรอก ใช่ว่าผู้ฝึกยุทธ์หญิงทุกคนจะสามารถทำได้”

กู่ฉิงซานพยักหน้า

เซี่ยเต้าหลิงเปลี่ยนเรื่องแล้วกล่าวว่า “สำหรับพวกเรา สิ่งที่น่าเวทนาเพียงอย่างเดียวคือการปล่อยให้วิญญาณชั่วร้ายหนีไป”

กู่ฉิงซานตอบว่า “ที่จริง ต้องขอบคุณวิญญาณชั่วร้ายเหล่านั้นนะ โชคยังดีพวกมันใช้วิถีเซียนใช้การร่ายวิชานี้ ไม่อย่างนั้น อาจารย์คงได้สละชีวิตไปแล้ว”

เซี่ยเต้าหลิงเม้มริมฝีปากแล้วกล่าวว่า “การต่อสู้นี้กินเวลานาน พวกเราต้องเร่งความเร็วเพื่อพยายามก้าวข้ามภัยพิบัตินี้ให้เร็วขึ้น”

พวกเขาสองคนมองรอบข้าง

อสุราและนกอมตะเหล่านั้นยังถูกแช่แข็ง ไม่สามารถขยับได้

“อาจารย์ ยังต้องนั่งนกอมตะอีกหรือเปล่า”

“ช่างเถอะ นกอมตะไม่เต็มใจแถมนั่งลำบากอีก ไปกันเถอะ”

สองร่างก้าวข้ามท้องนภาก่อนมุ่งสู่ส่วนลึก

..............................