webnovel

1032 หากภูเขาไม่ยอมมาหา ข้าก็จะทำให้ภูเขามาหาเอง

ตอนที่ 1032 หากภูเขาไม่ยอมมาหา ข้าก็จะทำให้ภูเขามาหาเอง

“ยิงได้!”

ใครบางคนตะโกนเสียงต่ำ

เพียงชั่วพริบตา สามสิ่งเกิดขึ้นพร้อมกัน

อย่างแรก งูยาวสีดำและงูยาวสีขาวพลันปรากฏขึ้น พวกมันล้อมกู่ฉิงซานเอาไว้ พุ่งขึ้นจากฝ่าเท้าของเขาก่อนโอบรัดตัวอย่างรวดเร็ว

อย่างที่สอง กู่ฉิงซานชูดาบยาวขึ้นก่อนแทงไหล่อย่างแรงจากล่างขึ้นบน

อย่างที่สาม หนอนตัวเล็กบนไหล่ของเขาหายไป

นี่คือการเคลื่อนย้าย!

ที่ปลายนิ้ว

ชายชราพลันปรากฏขึ้นบนไหล่ของกู่ฉิงซาน

ดาบยาวแทงใส่ร่างของชายชรา ออกแรงบิด จากนั้นเพียงพริบตา ชายชราถูกผ่าครึ่งทันที

“อา ช่วยด้วย”

จนกระทั่งถูกตัดศีรษะ เสียงกรีดร้องของชายชราจึงดังขึ้น

เมื่อได้ยินเสียงของเขา กลับกลายเป็นว่านี่คือคนที่สั่งให้โจมตี

น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถส่งเสียงได้อีกแล้ว

ช่างเป็นวิชาดาบที่รวดเร็วยิ่งนัก!

กู่ฉิงซานเงยหน้าขึ้นมองรอบข้าง มองเห็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์สามคนที่ล้อมเขาเอาไว้เป็นวงกลม

กู่ฉิงซานยกมือขึ้นเพื่อเตรียมจะหยิบดาบออกมาอีกครั้ง

ทว่า งูยาวสีดำและงูยาวสีขาวเข้ามารัดเขาอย่างสมบูรณ์แล้ว

งูทั้งสองพลันกลายเป็นผู้หญิงชุดดำและผู้หญิงชุดขาวก่อนหายเข้าไปในร่างกายของเขาอย่างช้าๆ

นี่ทำให้กู่ฉิงซานรู้สึกไม่สบายใจยิ่งก่อนหยุดการกระทำทันที

อีกคนเดินออกมาจากกลุ่มคนก่อนหัวเราะเสียงดัง “ผู้หญิงแฝดอมตะนั่นคือสกิลวิเศษอันดับห้าของโลก มันจะใช้ความตายของเจ้าเพื่อชุบชีวิตผู้อาวุโสฉาง!”

กู่ฉิงซานถูกผู้หญิงสองคนพัวพันขณะยืนนิ่ง

เมื่อถูกงูแฝดอมตะสองตัวจับตัวได้ก็ไม่มีเหตุผลที่จะรอดชีวิต

ผู้ฝึกยุทธ์รอบข้างมองอยู่หลายอึดใจก่อนค่อยๆ ผ่อนคลายลง จากนั้นหันมาสังเกตผู้ฝึกยุทธ์อย่างละเอียด

การสนทนาเริ่มต้นขึ้น

“เจ้าคิดว่าคนคนนี้ดูเหมือนกู่ฉิงซานหรือเปล่า”

“นั่นสิ ดวงตาของเขาน่าจะเจ็บอยู่นะ”

“อายุก็มากนิดหน่อย”

“แต่หน้าตาเหมือนจริงๆ”

คนเหล่านี้พูดไม่หยุด

พวกเขาค่อยๆ หันมาสนใจสหายคนหนึ่ง

กู่ฉิงซานหนุ่ม

ตอนนี้ กู่ฉิงซานที่มีงูแฝดอมตะอยู่ในร่างพลันหายไปจากที่ที่เคยอยู่

เขากลายเป็นดาบยาว

ร่างดาบสงบนิ่งราวกับน้ำสารท

ด้ามดาบจับพอดีมือ

ความยาวของดาบเล่มนี้ยาวกว่าดาบยาวธรรมดาหลายนิ้ว แต่มันไม่ได้มีความเรียวเลย

ผู้หญิงแฝดอมตะเคลื่อนไหวรอบดาบยาวสักพัก ทันใดนั้น พวกนางแผดเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ก่อนกลับมาเป็นงูสองตัวแล้วพุ่งขึ้นสู่ท้องนภาอย่างไร้จุดหมาย

ดาบขุนเขาศักดิ์สิทธิ์หกภพ

พลังวิเศษ อมตะ!

พลังวิเศษ ทำลายกฎเกณฑ์!

“เป็นไปไม่ได้!” ใครบางคนร้องเสียงหลง

หลังจากนั้น ดาบยาวถูกคนคนหนึ่งจับเอาไว้

กู่ฉิงซาน

ครั้งนี้เป็นกู่ฉิงซานตัวจริง แต่ดวงตาของเขาถูกปิดด้วยผ้าสีดำ

ดาบยาวอยู่ในมือของเขา มีเสียงผู้หญิงกล่าวอย่างแผ่วเบา

“นายท่าน ข้าคือดาบแห่งยมโลก สกิลเวรกรรมของพวกนางไม่อาจส่งผลที่แท้จริงกับข้าได้”

“ถึงอย่างนั้นก็เป็นงานหนักอยู่นะ”

กู่ฉิงซานตอบ เก็บดาบไว้ด้านหลังก่อนมองไปที่คนคนหนึ่ง

ก่อนเขาปรากฏตัว สายลมขุนเขาได้พัดมาระลอกหนึ่งแล้ว

กู่ฉิงซานหนุ่มสัมผัสสายลม มองรอบข้างก่อนค่อยๆ เข้าใจ

นอกจากเขาแล้ว ทุกคนยืนนิ่ง

คนเหล่านี้แค่มองกู่ฉิงซานเหมือนกับรูปปั้นดินเผา ไม่ส่งเสียงหรือขยับเขยื้อน

กู่ฉิงซานมองตัวเองในวัยหนุ่มก่อนกล่าวว่า “ขอบใจมากนะ”

กู่ฉิงซานวัยหนุ่มก้าวถอยหลังไป ชี้มาที่ตัวเองแล้วกล่าวว่า “พูดไม่ได้”

เขาทำท่าทางเชือดคอ

ความหมายชัดเจนมาก

เขามีข้อจำกัดในตัวเอง ไม่สามารถสื่อสารได้ ไม่อย่างนั้นจะตาย

กู่ฉิงซานย่อมเข้าใจ

ถ้าไม่ใช่เช่นนี้ ทำไมอีกฝ่ายถึงปล่อยให้กู่ฉิงซานในโลกคู่ขนานไปอัญเชิญเขามากันล่ะ

ความจริง อีกฝ่ายแค่บอกเขาสิ่งหนึ่งด้วยจิตเทพ

โปรดตอบรับคำเรียกขาน

เรื่องนี้ไม่ข้องเกี่ยวกับโลกคู่ขนานที่ตกอยู่ในหุบเหวนิรันดร์ แต่เกี่ยวกับโลกคู่ขนานอีกแห่ง

เขาคิดว่าอาจจะเป็นเพราะความสัมพันธ์นี้ ทำให้สามารถพูดคุยได้

กู่ฉิงซานคร่ำครวญออกมาว่า “เป็นเรื่องยากน่าดูเลยสินะ เจ้าเผยข้อมูลสักเล็กน้อยไม่ได้เลยหรือ”

กู่ฉิงซานหนุ่มมองเขาโดยไม่กล่าวอะไร

กู่ฉิงซานครุ่นคิดสักพักก่อนถามว่า “เจ้าเพิ่งพูดมาสามคำว่า ‘พูดไม่ได้’ แสดงว่าเจ้าพูดได้แค่สามคำนี้หรือ”

กู่ฉิงซานหนุ่มอ้าปากอีกครั้งพร้อมกับเน้นเสียงที่พูดออกมาว่า “พูดไม่ได้”

ถึงแม้จะพูดไม่ได้ แต่ก็พูดออกมาแล้วนี่

คำพูดและน้ำเสียงดังกล่าวแสดงถึงความหมายที่สำคัญอีกแบบหนึ่ง

ไม่ผิดแน่

กู่ฉิงซานตื่นเต้นเล็กน้อย จิตของเขาขยับอย่างรวดเร็ว จากนั้นถามว่า

“นอกจาก ‘พูดไม่ได้’ แล้ว ขอเดาว่าเจ้าไม่สามารถพูดสามคำที่ว่า ‘ข้าไม่รู้’ ได้สินะ”

กู่ฉิงซานหนุ่มประหลาดใจ แววตาค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมา

“คำพูดของเจ้า ข้าไม่รู้ว่าจะตอบกลับอย่างไร”

เขาพูดแบบนี้เพื่อบอกว่ากู่ฉิงซานเดาผิด

กู่ฉิงซานปรบมือแล้วกล่าวอย่างมีความสุขว่า “ดีมาก คุยกันแบบนี้แหละ”

พูดไม่ได้ ถึงแม้จะหมายถึงไม่พูด แต่เป็นไปได้สูงว่ามีบางส่วนที่จริง หรือก็คือ มันหมายถึงการยืนยันนั่นเอง

ข้าไม่รู้ ปกติแล้วหมายถึงไม่เข้าใจเลย แต่ขณะทั้งสองสนทนา มันกลับสร้างความหมายอีกอย่างหนึ่งขึ้นมา

ปฏิเสธคำพูดของอีกฝ่ายนั่นเอง

การที่กู่ฉิงซานหนุ่มตอบว่า ‘พูดไม่ได้’ และ ‘ข้าไม่รู้’ ไม่ได้เป็นการละเมิดข้อห้ามในร่างกายตัวเอง

แต่ความจริงแล้ว ภายใต้สถานการณ์นี้ สองคำนี้หมายถึงใช่กับไม่ใช่

ด้วยใช่กับไม่ใช่ การสื่อสารจึงสามารถดำเนินต่อไปได้

กู่ฉิงซานยกนิ้วขึ้นแล้วถามว่า “คำถามข้อที่หนึ่ง เจ้าสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูลกับคนในโลกพวกข้าได้ ใช่หรือไม่”

กู่ฉิงซานหนุ่มตอบว่า “พูดไม่ได้”

นี่เป็นความหมายเชิงบวก

“ถ้าอย่างนั้น กฎควรจะเป็นแบบนี้: ปกติแล้วเจ้าสามารถคุยกับพวกข้าแบบปกติได้ แต่เจ้าไม่สามารถเผยตัวตนและสิ่งที่อยู่ในโลกของเจ้าได้ ใช่หรือไม่”

“พูดไม่ได้”

“มาตรฐานพลังต่อสู้ของโลกเจ้าอยู่ในระดับเดียวกับคนเหล่านี้หรือ”

“ข้าไม่รู้”

นี่คือการปฏิเสธ

หรือก็คือ พวกเขามีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งมากอยู่เช่นกัน

“ในเมื่อมีคนที่ทรงพลังกว่าอีกมาก ทำไมถึงไม่ส่งคนที่ทรงพลังมาเลยล่ะ เป็นเพราะพวกเขาต่อสู้กับภัยพิบัติวันสิ้นโลกหรือเป็นเพราะพวกเขายอมจำนนต่อภัยพิบัติวันสิ้นโลก”

“พูดไม่ได้ ข้าไม่รู้”

“…เข้าใจล่ะ คนครึ่งหนึ่งหลบหนีจากวันสิ้นโลก ส่วนอีกครึ่งกำลังต่อสู้อยู่ ใช่หรือไม่”

“พูดไม่ได้”

“เจ้าเป็นศัตรูกับพวกข้าอย่างสมบูรณ์ ใช่หรือไม่”

“พูดไม่ได้ ข้าไม่รู้ พูดไม่ได้ ข้าไม่รู้”

“…มันออกจะซับซ้อนมากไปหน่อยนะ แสดงว่าตอนนี้ยังไม่ชัดเจน ใช่หรือไม่”

“พูดไม่ได้”

“ดีมาก ตอนนี้ข้าอยากรู้ว่านอกจากการฆ่าคนที่ถูกหุบเหวส่งมาแล้ว เจ้ามีหน้าที่อื่นตอนเข้ามาที่นี่ด้วย ใช่หรือไม่”

“พูดไม่ได้”

“ที่นี่คือแหล่งมรดก มีสามสิ่งที่สามารถทำได้ หนึ่งคือเอามรดกของเทพแห่งความตาย สองคือทำลายมรดกของเทพแห่งความตาย สามคือทำลายร่างหุบเหวที่นี่ แสดงว่าเจ้ามาที่นี่เพื่อทำลายร่างหุบเหวอย่างนั้นหรือ”

“ข้าไม่รู้”

“เจ้ามาที่นี่เพื่อทำลายมรดกของเทพแห่งความตาย ใช่หรือไม่”

“ข้าไม่รู้”

“กลายเป็นว่าเจ้าอยากได้มรดกของเทพแห่งความตายที่อยู่ที่นี่ แบบนี้ พวกเจ้าบางคนต้องถูกส่งไปภูเขาลูกนั้นแล้ว ใช่หรือไม่”

“พูดไม่ได้”

“คนที่เจ้าส่งไปต้องเก่งกว่าสองคนในโลกพวกข้าที่น่าจะรับมรดกอยู่ ใช่หรือไม่”

กู่ฉิงซานหนุ่มครุ่นคิดสักพักก่อนตอบว่า “พูดไม่ได้”

“ตอนนี้การต่อสู้เป็นยังไงบ้าง พวกเขากำลังสู้กันอยู่หรือเปล่า”

“พูดไม่ได้”

กู่ฉิงซานรู้สึกแน่นหน้าอก

เริ่มต่อสู้กันไปแล้ว

หลินได้รับบาดเจ็บสาหัส แอนนาเหนื่อยล้า ตอนนี้พวกนางสู้กับศัตรูจากโลกคู่ขนานอยู่ แบบนี้ไม่เท่ากับเจอทางตันหรอกหรือ

กู่ฉิงซานไม่ถามอะไรอีก เพียงแค่กล่าวว่า “เจ้าวิ่งหนีสุดชีวิตได้เลย ที่เหลือให้ข้าจัดการเอง”

กู่ฉิงซานหนุ่มมองเขา หยิบแผ่นค่ายกลออกมาแล้วตรวจสอบ

ทั้งสองประสานมือเป็นกำปั้นให้กัน

กู่ฉิงซานหนุ่มถูกปกคลุมในกลิ่นอายของค่ายกลก่อนหายไปต่อหน้ากู่ฉิงซาน

หลังจากหายไปแล้ว กู่ฉิงซานลงมือสังหาร

สายลมภูเขาที่พัดเอื่อยเฉื่อยพลันกลายเป็นพายุดาบรุนแรงก่อนกระหน่ำใส่ปฐพี

ในพายุดาบ ผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมดระเบิดเป็นกลุ่มหมอกโลหิตในพริบตา เปลี่ยนจากกลุ่มหนาเป็นกลุ่มบางในพายุดาบอันบ้าคลั่งก่อนค่อยๆ หายไป

กลายเป็นว่าทันทีที่กู่ฉิงซานเคลื่อนย้าย เขากลับคืนร่างจากการเป็นหนอนตัวเล็กก่อนเปิดใช้ค่ายกลดาบไท่อี่

พละกำลังของผู้ฝึกยุทธ์เหล่านี้ไม่ได้แข็งแกร่งมาก มีเพียงผู้อาวุโสที่เป็นผู้นำเท่านั้นที่อยู่ระดับสามพันโลกเหมือนกับเขา

ด้วยเหตุนี้กู่ฉิงซานจึงถามเขาตอนหนุ่มว่าคนที่ทรงพลังจริงๆ อยู่ที่ไหนบ้าง

กู่ฉิงซานหันศีรษะ ปล่อยจิตเทพออกมาแล้วกวาดไปทางภูเขาสีดำ

นั่นคือยอดเขาที่มีมรดกของเทพแห่งความตาย มันช่างสูงตระหง่านและชันยิ่งนัก

การจะปีนเขาลูกนี้ได้ต้องใช้พลังงานมหาศาล เผชิญกับอันตรายมากมายและใช้เวลามากจึงจะสามารถตามหาแอนนาและหลินเจอ

แต่แบบนั้นมันจะสายเกินไป

แอนนาและหลินกำลังสู้กับศัตรูอยู่ แถมศัตรูแข็งแกร่งกว่าพวกนาง

กู่ฉิงซานไม่ลังเลอีกต่อไปก่อนหยิบดาบพิภพออกมาจากความว่างเปล่า

เสียงของดาบพิภพเหมือนกับขุนเขา “ถ้ามัวแต่ค่อยๆ หาจะสายเกินแก้ ท่านจะทำยังไงล่ะ”

“แดนศักดิ์สิทธิ์” กู่ฉิงซานตอบ

“กี่เท่าล่ะ” ดาบพิภพถาม

แดนศักดิ์สิทธิ์คือพลังวิเศษของดาบพิภพ ทำให้ดาบพิภพมีน้ำหนักมากกว่าศัตรูที่เผชิญหน้าได้ตั้งแต่สองเท่าถึงหนึ่งพันเอ็ดเท่าเมื่อทำการโจมตี

“หนึ่งพันเอ็ดเท่า” กู่ฉิงซานใช้วิชาดาบก่อนกระซิบว่า “หากภูเขาไม่ยอมมาหา ข้าก็จะทำให้ภูเขามาหาเอง”

…………………………….