webnovel

0731 ยุคโบราณอันไกลโพ้น

ตอนที่ 731 ยุคโบราณอันไกลโพ้น

เปิดตาขึ้น

กู่ฉิงซานค้นพบว่าตัวเองยืนอยู่ท่ามกลางคลื่นแห่งความมืดมิดอีกครั้ง

เขาตายลงอีกซะแล้ว

กู่ฉิงซานจมลงสู่ห้วงความคิด

เมื่อครู่นี้ เต่ายักษ์ได้กล่าวกับเขาว่าไม่อาจเข้าสู่วังสวรรค์ได้

ด้วยเหตุนี้เอง มันจึงสังหารเขาลงด้วยความเมตตา

นี่หมายความว่ามันเป็นการยากจริงๆ หากจะต้องการรอดชีวิตอยู่ภายนอกวังสวรรค์ใช่หรือไม่?

อย่างไรก็ตาม ใบหยกพิทักษ์กายาก็พังทลายลงแล้วโดยสิ้นเชิง ดังนั้นหากจะให้เขาใช้วิชายุทธเทพสงครามเพื่อคัดลอกใบหยก ก็คงจะทำไม่ได้

งั้นตอนนี้ควรจะทำอย่างไรดี?

ร่างแสงทมิฬกล่าวกับเขา “เจ้ายังเหลือโอกาสอีกเจ็ดร้อย-”

กู่ฉิงซานขัดจังหวะ “ผมไม่อยากจะรู้ว่าเหลืออีกกี่ครั้ง”

“ก็ได้ ตามใจเจ้าปรารถนา”

ว่าจบ ร่างแสงทมิฬก็ยกขาไก่ขึ้นมานั่งแทะ

กู่ฉิงซานคว้าขวดไวน์จากบนพื้นขึ้นมา เปิดจุกมัน แล้วกระดกหงายศีรษะขึ้นดื่ม

ร่างแสงทมิฬมองเขาและกล่าว “รสนิยมของเจ้าช่างเป็นเอกลักษณ์”

“ทำไมจู่ๆ ถึงพูดแบบนั้น?” กู่ฉิงซานถาม

“เพราะสิ่งที่เจ้าดื่มมันเผ็ด ร้อนแรงเกินไป และมันไม่อร่อยเลย” ร่างแสงทมิฬกล่าว

“เอาไว้หลังจากที่คุณออกไปภายนอก แล้วพบเผชิญกับสิ่งต่างๆ ที่รุมเร้าเข้ามา เดี๋ยวคุณก็จะชอบรสชาติของมันเอง” กู่ฉิงซานอธิบาย

เขาวางขวดไวน์ลงกับพื้น และสูดหายใจลึก ปากอ้าตะโกน “มาลองกันอีกครั้ง”

“จัดไป!”

กระแสคลื่นแห่งความมืดมิดโถมทับ โอบเขาจมลงสู่ห้วงเวลาอันมืดมิด

รับดิสก์ค่ายกลจากนิกายร้อยบุปผา

ย้ายมิติกลับไปยังสมาคมกำปั้นเหล็ก

กลับมายังโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์

กู่ฉิงซานยืนอยู่บนก้อนเมฆ ย้อนคิดถึงกระบวนการทั้งหมดที่ผ่านมาอีกที

เขาเดินไปยังขอบเมฆ กระโดดลง โบยบินไปตามสายลม

จนกระทั่งกลับมาถึงเบื้องล่างของภูเขาที่อยู่ห่างไกล กู่ฉิงซานก็หยุดอยู่เบื้องหน้าเมฆ

ในมือเขาจีบออกด้วยวิชาลับอีกครั้ง

สายลมแรงพัดเป่ามวลเมฆ เผยให้เป็นถึงร่างของเต่ายักษ์ที่คอยแบกรับขุนเขา

เมื่อเมฆกระจายตัวออก เต่ายักษ์ก็รู้สึกตัวแล้ว

มันค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ

กู่ฉิงซานประสานสองกำปั้นของเขา “ท่านอาวุโส ข้าคือผู้นำนิกายวังสวรรค์เมฆาวิเวกในรุ่นนี้ ได้โปรดช่วยนำพาข้าเข้าไปยังวังสวรรค์ด้วยเถอะ”

เต่ายักษ์มองเขาและกล่าว “เจ้ามีใบหยกพิทักษ์กายาหรือไม่?”

กู่ฉิงซานกล่าว “มันถูกส่งผ่านมาถึงรุ่นก่อนหน้า ทว่าได้แตกสลายลงแล้วอย่างสิ้นเชิง อย่างไรก็ตาม ข้าสามารถพิสูจน์ถึงสถานะของข้า เพื่อยืนยันความจริงแก่ท่านได้”

แล้วเขาก็ใช้ออกด้วยสวรรค์ล่มสลาย , ย่นระยะเหลือเพียงหนึ่งนิ้ว ตามต่อด้วยตัดแบ่งขุนเขาไร้ตัวตนอย่างกะทันหัน

นี่คือสกิลเทวะที่นางเซียนไป่ฮั่วล้วนได้รับมาจากวังสวรรค์เมฆาวิเวก

ต่อมา กู่ฉิงซานก็ตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบเอากล่องหยกยาวออกมา

เขาเปิดกล่องหยกอย่างระมัดระวัง เผยโฉมดาบพิภพที่แตกร้าวให้เต่ายักษ์ดู

เต่ายักษ์จ้องเขม็งดาบพิภพ ปากเอ่ยพึมพำ “ข้าสามารถรับรู้ได้ว่ามันเสียหายร้ายแรง แต่ไม่คิดเลยว่าแตกร้าวถึงเพียงนี้…”

“ใช่ ดังนั้นการที่ข้ามายังโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ในครั้งนี้ ก็เพื่อออกตามหาดาบนภา มีเพียงดาบนั่นเท่านั้นจึงจะสามารถช่วยซ่อมแซมมันได้” กู่ฉิงซานกล่าว

เต่ายักษ์มองกู่ฉิงซานด้วยแววตาซับซ้อน “ฐานวรยุทธ์ของเจ้าสูงกว่าคนที่มาในคราวก่อน ทว่ายังคงอ่อนแอเกินไปหากมิได้ครอบครองใบหยกพิทักษ์กายา ไร้ซึ่งใบหยก เจ้าก็ไม่สามารถมีชีวิตรอดอยู่ที่นี่ได้”

กู่ฉิงซานประสานกำปั้นของเขา “อาวุโสได้โปรดชี้แนะหนทางด้วย ข้าต้องการช่วยเหลือดาบพิภพจริงๆ”

เต่ายักษ์กล่าว “เจ้ายังคงต้องกลับไปอยู่ดี ระดับต่ำอย่างสุดขีดความว่างเปล่านั้น ไม่อาจอยู่รอดที่นี่ได้โดยง่าย”

กู่ฉิงซานประสานกำปั้นโค้งกายลงให้แก่อีกฝ่าย และกล่าวอย่างจริงใจ “ยามนี้เผ่ามารรุกราน เทพวิญญาณก็ตกตายลง ความชั่วร้ายจากบรรพกาลเริ่มทยอยกันฟื้นตื่นจากห้วงนิทรา โลกนับล้านๆ กำลังถูกทำลาย ย้อนกลับไปผู้น้อยก็ต้องพานพบกับความตายเช่นกัน ฉะนั้นสู้เสี่ยงตกตายที่นี่ดีกว่า อาวุโสโปรดมอบโอกาสในการช่วยเหลือดาบพิภพให้แก่ผู้น้อยด้วย”

เต่ายักษ์ถอนหายใจ “ยากเย็นนัก! ช่างยากเย็น! ยากเหลือแสน! แม้ว่าเจ้าจะมีหัวใจที่จริงใจ แต่หากไร้ซึ่งใบหยก เจ้าก็ไม่สามารถอยู่รอดที่นี่ได้ มิต้องกล่าวถึงการออกตามหาดาบนภาเพียงลำพัง”

กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยความสงสัย “จำเป็นต้องมีแค่ใบหยกเท่านั้นหรือท่าน จึงจะสามารถอยู่รอดในโลกสวรรค์ดึกดำบรรพ์ได้?”

เต่ายักษ์ “ด้วยใบหยก มันจะสามารถช่วยให้เจ้าอยู่รอดในวังสวรรค์ได้ อย่างน้อยนี่ก็เพื่อช่วยชีวิตเจ้า”

กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “พอจะมีวิธีอื่นที่จะช่วยให้อยู่รอดได้หรือไม่?”

เต่ายักษ์ “ตัวข้า ในฐานะอสูรวิญญาณ ยังต้องพึ่งพาพลังศักดิ์สิทธิ์ของตนเองถึงสามารถอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้ ส่วนมังกร หงส์ และกิเลน ล้วนทยอยกันตกตายลง ยามนี้เหลือเพียงร่องรอยจิตวิญญาณ ความหวังที่เจ้าจะอยู่รอดย่อมย่ำแย่ยิ่งกว่า ต่อให้ข้าละทิ้งชีวิตเพื่อช่วยเหลือเจ้า มันก็ยังเปล่าประโยชน์”

กู่ฉิงซานสงสัย “แต่ตอนนี้ผู้น้อยก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้...”

เต่าเงียบไปสักพักเลย ก่อนจะกล่าว “มันกำลังใกล้เข้ามาแล้ว”

มันมองมาทางกู่ฉิงซานด้วยความเวทนา จากนั้นก็หดหัวและขาทั้งสี่กลับเข้าไปในกระดอง

เสียงของเต่ายักษ์ดังขึ้นในห้วงความคิดของกู่ฉิงซาน

“หากเจ้าสามารถรอดชีวิตต่อไปได้อีกหนึ่งชั่วยาม เจ้าก็จักมีโอกาสอยู่รอดท่ามกลางความโหดร้ายนี่ได้ ถึงเวลานั้นจงมาพบข้าอีกครั้ง แล้วข้าจะช่วยเจ้าไป ‘ขโมย’ ใบหยก”

ว่าจบ เต่าก็นิ่งงัน ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ อีกต่อไป

กู่ฉิงซานตกตะลึง

บอกให้เขารอดให้ได้ในหนึ่งชั่วยาม

แล้วจากนี้ไปมันจะเกิดอะไรขึ้นกัน?

ไม่ทันจะได้มีเวลาคิดเกี่ยวกับมัน พลันปรากฏคลื่นความผันผวนที่ไม่รู้จัก กวาดไปทั่วทั้งโลก

กู่ฉิงซานรู้สึกว่าได้แค่เพียงแรงกดดันทางวิญญาณที่มิอาจแข็งขืน ตกลงมาจากท้องฟ้า

เขาถูกแรงกดดันทางวิญญาณนี้โถมทับจนร่วงตกจากฟ้า มิอาจต้านทานได้

ร่างของกู่ฉิงซานค่อยๆ ร่วงตกลง จนกระแทกกับพื้นดิน

แต่กลับมิได้รับบาดเจ็บใดๆ

แรงกดดันทางวิญญาณเริ่มอ่อนโยนลง และกลายเป็นมั่นคง มันเพียงบังคับให้เขาลงสู่พื้นดินเท่านั้น

กู่ฉิงซานถอนหายใจอย่างหมดหนทาง

ตามถ้อยแถลงของท่านอาจารย์ สถานที่ภายนอกวังสวรรค์เมฆาวิเวก อันตรายนับหมื่นเท่า

เต่ายักษ์เองกระทั่งบอกว่า ต่อให้มันแลกชีวิตช่วยเขา ก็ยังไร้ประโยชน์ เว้นเสียแต่ว่า เขาจะสามารถรอดชีวิตต่อไปได้หนึ่งชั่วยาม มันจึงค่อยคุ้มค่าให้ช่วยเหลือ

แต่ว่า…

ไม่ใช่ว่านี่เขาแค่กำลังยืนอยู่ในที่รกร้างว่างเปล่าหรอกหรือ?

หลังจากผ่านมาหลายร้อยล้านปี อันตรายเหล่านั้นคงตกตายลงไปหมดแล้วกระมัง

ขณะกำลังคิด ภาพตรงหน้ากู่ฉิงซานก็กลายเป็นพร่ามัว

ดินแดนแห้งแล้งได้หายไป

ยามเมื่อวิสัยทัศน์กลับมากระจ่างชัด

กู่ฉิงซานก็ค้นพบว่าตนเองกำลังยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนนับไม่ถ้วน

เขาเงียบ ลอบหันไปมองรอบกาย

เห็นแค่เพียงผู้ฝึกยุทธที่อยู่รอบตัวเขา ทั้งหมดล้วนสวมชุดเกราะ สีหน้าการแสดงออกของทุกคนช่างร้ายแรงนัก

กู่ฉิงซานสัมผัสได้ถึงคลื่นความผันผวนทางพลังวิญญาณจากในตัวของพวกเขา และค้นพบว่า คนที่อ่อนแอที่สุด ในที่นี้ ยังแข็งแกร่งยิ่งกว่าท่านอาจารย์ในปัจจุบันซะอีก

อำนาจของคนเหล่านี้ ช่างน่าหวาดกลัวเสียจริงๆ

นี่มันเป็นภาพมายาใช่หรือไม่?

…ไม่สิ นี่มันสมจริงเกินกว่าที่จะเป็นภาพมายา

กู่ฉิงซานลอบสังเกตสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างลับๆ

เขาเงยหน้าขึ้นมองไกลออกไปสุดสายตา

เห็นแค่เพียงผู้ฝึกยุทธที่สวมใส่เกราะรบ

พวกเขาชักอาวุธประจำกายออกมา ข้างกายเป็นอสูรวิญญาณ กองทหารตั้งขบวนรบเป็นทิวแถว

ทั่วทั้งผืนดิน คลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกยุทธ มองจากเบื้องบนจะแลเห็นเป็นจุดดำๆ นับไม่ถ้วน

บนท้องฟ้า กระแสแสงของเรือเหาะเคลื่อนที่ไปมาอย่างช้าๆ พวกมันคือป้อมปราการขนาดใหญ่ที่ลอยลำอยู่เหนือกำลังรบของผู้ฝึกยุทธบนสมรภูมิ

ตลอดทั้งสวรรค์และโลกกลายเป็นเงียบงัน

ได้ยินแค่เพียงเสียงของสายลมเท่านั้น

ผู้ฝึกยุทธทั้งหมดเตรียมพร้อม คล้ายกับว่าพวกเขากำลังเฝ้ารอบางสิ่งบางอย่างอยู่

“เตรียมตัว...” บางคนตะโกนขึ้น

“เอ้า ยังไม่รู้เรื่องเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น” กู่ฉิงซานอุทาน

แล้วเจ้าของเสียงตอนแรกก็ตะโกนอีกครา “ทุกคน บุก!”

เหล่าผู้ฝึกยุทธแหกปากพร้อมเพรียง “บุก!!”

อย่างไรก็ตาม ทุกคนยังไม่ทันแม้จะมีเวลาเพียงพอได้บุกไป

เพราะลึกขึ้นไปเหนือท้องฟ้ากว้างไกล พลันปรากฏรังสีแสงสีขาวสาดยิงลงมายังทิศทางของกู่ฉิงซาน

เปรี้ยง!!!

แสงสีขาวระเบิดเข้ากลางสมรภูมิ

พื้นที่ทั้งหมดถูกกวาดด้วยอำนาจมหึมา

ผู้ฝึกยุทธข้างกายกู่ฉิงซานที่ตกอยู่ภายใต้การโจมตีของแสงสีขาวนี้ ถูกลบ ละลายหายไปโดยตรง

กู่ฉิงซานแน่นอนย่อมไม่มีเวลาที่จะทันได้ตอบสนอง เขาเพียงถูกสะเก็ดคลื่นนี่แค่เพียงเล็กน้อย ทั้งคนทั้งร่างของเขาก็กระเด็น ลอยคว้างไปกลางท้องฟ้า

และก่อนที่ตนจะทันได้เสียชีวิตลง เขาสามารถเห็นถึงหัวใหญ่โตที่ปกคลุมไปด้วยดวงตา ค่อยๆ หยดย้อยลงมาจากเหนือผืนนภาอย่างช้าๆ

และแล้ววิสัยทัศน์ก็มืดบอด

ลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้ง

กู่ฉิงซานค้นพบว่าตนเองกำลังยืนอยู่ท่ามกลางกระแสคลื่นแห่งความมืด

“คราวนี้ถูกฆ่าตายกลับมาหรือ?” ร่างแสงทมิฬที่อยู่อีกด้าน หันมามองเขาและกล่าว

“อืม เหมือนกับว่าผมจะไปเจอตัวแปลกๆ เข้า” กู่ฉิงซานถอนหายใจ

ทันใดนั้นเอง เขาก็พลันตระหนักได้ถึงบางสิ่ง เอ่ยถามออกไป “ช้าก่อน ไม่ใช่ว่าทุกครั้งคุณสามารถมองเห็นได้หรอกหรือ ว่าผมตายได้อย่างไร?”

“ก็ใช่นะ” ร่างแสงทมิฬตอบรับ

“งั้นเมื่อครู่...”

“เมื่อครู่เจ้าถูกส่งไปยังยุคโบราณอันห่างไกลด้วยอำนาจบางอย่าง และเกือบจะไม่ได้กลับมาแล้ว”

น้ำเสียงของร่างแสงทมิฬ ฟังดูร้ายแรงอย่างที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน

................................................