webnovel

0722 ความจริงอันน่าหวาดกลัว

ตอนที่ 722 ความจริงอันน่าหวาดกลัว

ภายในกล่อง คลื่นความผันผวน และกลิ่นอายโบราณของสองสิ่งประดิษฐ์เทวะ ปะทะเข้าใส่หน้ากู่ฉิงซาน

หนึ่งเป็นกระดูกยาวที่สาดแสงสลัว

อีกหนึ่งเป็นคู่ดวงตาอันมืดมิด

ยามเมื่อทั้งสองสิ่งนี้ถูกวางเอาไว้อยู่ด้วยกัน พวกมันก็เริ่มบังเกิดปฏิกิริยาตอบสนองทันที

คู่ดวงตาเริ่มดึงดูดแสงสลัวจากกระดูกขาว

ขณะเดียวกัน กระดูกยาวก็เหมือนจะถูกกระตุ้น จากที่แต่เดิมสาดเพียงแสงสลัว บัดนี้ยิ่งนาน มันก็ยิ่งพร่างพราว

เป็นผลให้คู่ดวงตายิ่งได้รับพลังเพิ่มมากกว่าเดิม

กู่ฉิงซานบังเกิดความรู้สึกประหลาดใจอย่างลับๆ

เขาอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปแตะพวกมัน เพื่อหมายจะได้รับข้อมูลจากระบบเทพสงคราม

แต่ใครจะรู้ ทันทีที่มือของเขายื่นออกไป ก็ดันถูกขวางไว้ด้วยพลังที่มองไม่เห็น สกัดไม่ให้เข้าถึงสิ่งประดิษฐ์เทวะทั้งสอง

นี่ฉันไม่สามารถแตะต้องมันได้งั้นเหรอ?

ระหว่างกำลังสงสัย เห็นแค่เพียงเส้นแสงหิ่งห้อยจำนวนหนึ่งปรากฏขึ้นบนหน้าต่างเทพสงคราม

“พลังที่ห่อหุ้มอวัยวะทั้งสองนี้ ได้ตัดขาดวิธีการตรวจสอบทั้งหมด ดังนั้น ระบบจึงไม่สามารถได้รับข้อมูลเพิ่มเติมได้”

ท่ามกลางความมืดมิดเบื้องบน คลื่นความผันผวนแปลกๆ พลันปรากฏขึ้น

คล้ายกับว่าบางสิ่งบางอย่างบนท้องฟ้าสูง สามารถรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของสองสิ่งนี้

ซึ่งเหนือท้องฟ้าไปย่อมไม่มีสิ่งอื่นใด แต่เป็นเจ็ดร่างแสงซึ่งเป็นตัวแทนของเทพวิญญาณนั่นเอง

จากนั้น คล้ายกับว่ากำลังจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น

กู่ฉิงซานไม่รีรอ เร่งฉกมือเอื้อมไปปิดกล่องทันใด

หากในตอนแรก ตัวกล่องสามารถเก็บซ่อนสิ่งประดิษฐ์เทวะเหล่านี้ไว้ได้โดยไม่ถูกค้นพบแล้วล่ะก็ นั่นหมายความว่า พลังในการตัดขาดโลกภายนอกของมันย่อมต้องทรงประสิทธิภาพมากแน่นอน

เขาไม่คิดอะไรแล้ว ตอนนี้หวังแค่เพียงว่าจะสามารถผนึกสิ่งประดิษฐ์เทวะทั้งสองนี้ลงให้ได้อีกครั้ง!

ช่วงเวลาที่ฝากล่องถูกปิดลง คลื่นความผันผวนทั้งหมดก็หายไป

กู่ฉิงซานเดาถูก

เขาถอนหายใจยาว

ตอนนี้ มันยังมีเรื่องน่าสงสัยมากเกินไป ตัวเขาจึงไม่เต็มใจที่จะปลดปล่อยสิ่งประดิษฐ์เทวะออกมา

“ฉันว่ามันแปลกอยู่นะ เดิมทีฉันคิดว่ามันจะเป็นการรังสรรค์ที่ดูประณีตอะไรซะอีก แต่ใครจะรู้ ว่าจริงๆ แล้วมันกลับกลายเป็นแค่ชิ้นส่วนอวัยวะ” กู่ฉิงซานพึมพำ

ซีน้อย “ในตอนแรกเทพวิญญาณก็มักจะใช้สิ่งประดิษฐ์เทวะที่มีรูปร่างคล้ายคลึงกับอวัยวะพวกนี้นี่แหละ แต่จนกระทั่งหลายปีต่อมา พวกเขาจึงค่อยๆ พัฒนาทักษะการรังสรรค์มากขึ้นเรื่อยๆ และทยอยละทิ้งวิธีการใช้พลังงานอย่างหยาบๆ แบบนี้ไป”

“แล้วอวัยวะพวกนี้มันมาจากอะไร?” กู่ฉิงซานถาม

ซีน้อยกล่าวอย่างไม่ยี่หระ “ย่อมเป็นชิ้นส่วนซากศพของมอนสเตอร์มิติในสมัยบรรพกาล”

กู่ฉิงซานอุทานด้วยความประหลาดใจ “เมื่อก่อนเทพวิญญาณใช้ชิ้นส่วนร่างกายของมอนสเตอร์มิติเป็นอาวุธอย่างงั้นเหรอ?”

ซีน้อย “ใช่แล้ว เพราะมอนสเตอร์มิติในยุคบรรพกาล มีความแข็งแกร่งมาก แข็งแกร่งชนิดที่ว่ามอนสเตอร์บางตน แม้กระทั่งเทพวิญญาณก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน”

กู่ฉิงซานฝืนยิ้ม “แม้กระทั่งในยุคสมัยนี้ ก็ยังไม่มีใครสามารถรับมือกับมอนสเตอร์มิติที่น่ากลัวที่สุดได้เหมือนกัน”

เขาเก็บกล่องทั้งสองใบ

“งั้นต่อไป พวกเรามาช่วยกันคิด”

ขณะกล่าว จู่ๆ แสงสวรรค์โดยรอบจากค่ายกลก็เริ่มปั่นป่วนวุ่นวายอย่างกะทันหัน

หลากหลายจุดแสงรวมกลุ่มกัน และทะยานขึ้นไปยังเบื้องบนเพดานห้องอย่างรวดเร็ว

กู่ฉิงซานปิดปากเงียบ เงยหน้าจ้องมองไปยังจุดแสงเหล่านั้น

นี่คือการตรวจจับความเปลี่ยนแปลงของค่ายกล ที่กำลังแสดงให้เห็นถึงพลังงานจากภายนอก

ในเวลาเดียวกัน จู่ๆ จุดแสงหลายสิบที่ส่งกลิ่นอายน่าสะพรึงก็ปรากฏขึ้นบนพื้นดิน

จากนั้น ก็มีเสียงกระซิบเล็กๆ น้อยๆ ดังขึ้น

“พวกเราจะช่วยใครดี?”

“ไม่ต้องช่วยหรอก ปล่อยพวกมันซัดกันเอง ส่วนพวกเราก็เริ่มออกค้นหาเถอะ”

“คนอื่นๆ จงมากับข้า ข้ารู้ที่ตั้งของสิ่งประดิษฐ์เทวะแล้ว รอก่อนเถอะ เรากษัตริย์จะต้องบรรลุขึ้นเป็นกึ่งเทพให้จงได้!”

“เหอะ! อาศัยเพียงเจ้าน่ะหรือ?”

“เร่งมือออกตามหาเร็วเข้า ไม่ต้องไปสนใจพวกเขา!”

สีหน้าของกู่ฉิงซานแปรเปลี่ยนกลับกลาย

“คนจากในตลาดมืดมาถึงซะแล้ว”

เขาพึมพำเสียงต่ำ

พักหนึ่ง กู่ฉิงซานก็จำต้องออกมาจากห้องเก็บของ และบินกลับขึ้นไปตามทางอุโมงค์

แน่นอน ว่าพอตัวตนแข็งแกร่งจากตลาดมืดทยอยกันมาแล้ว หลังจากนั้น พวกเขาคงกระจายกันเข้ามาในเขาวงกต และเริ่มออกค้นหาร่องรอยของสิ่งประดิษฐ์เทวะ

ใจกลางของเขาวงกต ราชาแมงป่องดำกำลังต่อสู้กับยักษ์อย่างดุเดือด

ไม่จำเป็นต้องคิดว่ายักษ์มาจากไหน เพราะมันมิแคล้วเป็นร่างสิงใหม่ของมอนสเตอร์

กู่ฉิงซานออกจากใต้ดินอย่างรวดเร็ว

เขามองหาตึกรอบๆ ที่ยังไม่พังทลาย เอนกายพิงกำแพง และปลดปล่อยจิตสัมผัสเทวะเพื่อสำรวจสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างเงียบๆ

ซีน้อยมองเขา และเห็นถึงความกังวลบนใบหน้าที่ยิ่งนาน ก็ยิ่งหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ

“กู่ฉิงซาน นายเป็นอะไรไปกันแน่?” เธอถาม

กู่ฉิงซาน “ฉันรู้สึกว่ามีหลายเรื่องที่มันผิดปกติน่ะสิ”

พอได้ยิน ซีน้อยที่เปลี่ยนกลับเป็นไพ่ ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่เป็นไรหรอก มีฉันอยู่ทั้งคน ดังนั้นไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ไหน ฉันก็จะปกป้องนายเอง”

ขณะทั้งสองกำลังสนทนา เสียงกรีดร้องสาปแช่งก็ดังมาจากในระยะไกล

“ระยำเถอะ! ไม่มีสิ่งประดิษฐ์เทวะอยู่ที่นี่!”

กู่ฉิงซานอดไม่ได้ที่จะหันมอง

เห็นแค่เพียงสองหรือสามคนกำลังกึ่งนั่งกึ่งหมอบลงกับพื้น ท่ามกลางซากปรักหักพังของห้องสมุด ควานหาอะไรบางอย่าง อย่างบ้าคลั่ง

อีกหลายคนเองก็กำลังวิ่งวนอยู่รอบซากปรักหักพังของหอนาฬิกา

พวกเขาสามารถถอดรหัสที่ตั้งของสิ่งประดิษฐ์เทวะจากกวีพยากรณ์ได้จริงๆ!

ผู้คนมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ กำลังค้นหาสิ่งประดิษฐ์เทวะ

และแน่นอน ว่าฉากทั้งหมดนี้ย่อมอยู่ในสายตาของมอนสเตอร์ในร่างยักษ์

มันเปล่งเสียงร้องคำรามด้วยความโกรธ กระตุ้นพลังจนไฟลุกโชติช่วง ระเบิดโจมตีเต็มกำลังเข้าใส่ราชาแมงป่อง

ตูม!

ผืนดินสั่นสะท้าน

สายลมอันดุร้ายจากกำปั้นนี้ หนุนเสริมเปลวไฟจนลุกโชติช่วงขึ้นไปถึงเมฆหนาเบื้องบน

หิมะถึงขั้นหยุดตกไปพักหนึ่ง

พายุรุนแรงแผ่วเบาลง

ใจกลางเขาวงกต แมงป่องดำถูกซัดเปรี้ยง! ด้วยหมัดหนัก ปลิวกระเด็นไปหลายร้อยเมตร

เขากลิ้งไถลไปกับพื้น และตูม! กระแทกเข้ากับโบสถ์ จนตัวโบสถ์พังทลายลง จึงค่อยหยุดร่างตนได้

ราชาแมงป่องกระอักเลือดคำโต พยายามฝืนยืนลุกขึ้น แต่เจ้าตัวกลับพบว่าไม่อาจรอดเร้นกำลังออกมาได้

ยักษ์ใหญ่ยังคงยืนหยัดอยู่กลางสวน

เกล็ดหิมะที่ลอยล่องอยู่ก่อนแล้ว ยามเมื่อร่วงโรยกระทบกับตัวเขา พวกมันก็ส่งเสียงฉ่าๆ สลายกลายเป็นไอน้ำพวยพุ่งไปทั่ว

ยักษ์ใหญ่สูดหายใจลึก ปากอ้าตะโกนด้วยความโกรธ “...!”

เสียงคำรามของมันช่างดูโดดเดี่ยว ขณะเดียวกันก็อ้างว้างและเต็มไปด้วยความโศกเศร้า

กระทั่งตัวตนทรงอำนาจก็ยังอดประหลาดใจไม่ได้กับพลังของยักษ์ใหญ่ ทว่าพวกเขาก็ไม่คิดหยุดมือ ตรงกันข้าม กลับเร่งค้นหาสิ่งประดิษฐ์เทวะยิ่งกว่าเดิม

กู่ฉิงซานพอได้ยินเสียงคำรามของยักษ์ใหญ่ เขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

นั่นเพราะแม้ตนจะเรียนรู้ภาษามาหลากหลายแล้วก็ตาม แต่ภาษานี้ กู่ฉิงซานไม่เคยได้เห็น ได้ยินมันมาก่อนเลย

คาดว่านี่น่าจะเป็นภาษาหลักดั้งเดิมของเจ้ามอนสเตอร์

ในสถานการณ์เช่นนี้ ช่วงฉุกละหุกที่มันอาจจะถูกผนึกได้ตลอดเวลา เจ้าตัวจึงละทิ้งภาษาอื่นจนสิ้น และเผลอพลั้งปากภาษาถิ่นของตนออกมา

ขณะเดียวกัน นี่ก็หมายความว่ามอนสเตอร์ตนนี้ลดความระแวงลงแล้วเช่นกัน

…และคาดว่าประโยคเมื่อครู่มันต้องสำคัญมากแน่ๆ!

กู่ฉิงซานก้มหน้าลง แต่กลับพบว่าสีหน้าของซีน้อยดูจะผิดแผกไป

“ซีน้อย ทำหน้าแบบนี้ อย่าบอกนะว่าเธอรู้ว่าเจ้ามอนสเตอร์ตัวนั้นพูดว่าอะไร?” กู่ฉิงซานถาม

ซีน้อย “ใช่ ที่มันพูดเมื่อกี้คือภาษาที่เทพวิญญาณหรือมอนสเตอร์ต่างๆ ใช้กันทั่วไปในยุคบรรพกาล แต่ภาษานี้ได้ถูกเลิกใช้ไปนานแล้วโดยทวยเทพ แต่ฉัน เป็นเพราะจะต้องต่อสู้กับพวกมอนสเตอร์ ดังนั้นเทพวิญญาณจึงเคยสอนภาษานี้แก่ฉัน”

ระหว่างกล่าว เธอก็จั่วไพ่ใบหนึ่งออกมา

มันคือไพ่ที่ภายในเป็นรูปหนังสือเก่าแก่

ซีน้อย นาบไพ่ลงบนอกกู่ฉิงซาน “นี่คือภาษาบรรพกาล ที่ใช้กันมานานปีมากแล้ว มันถูกล้มล้างไปโดยเทพวิญญาณ แต่ตอนนั้นฉันกลัวว่ามันจะสูญหายไปเลยเก็บมันไว้ ดังนั้นตอนนี้ นายจงตั้งใจเลือกที่จะยอมรับมัน เก็บไพ่ใบนี้เอาไว้ แล้วจากนั้น นายจะสามารถเข้าใจถึงภาษาที่มอนสเตอร์พูดได้”

กู่ฉิงซานเลือกยอมรับ

ตัวไพ่พลันสาดแสงมรกต มันค่อยๆ ละลายแล้วหลอมรวมเข้ากับร่างกายของกู่ฉิงซาน

สักพักหนึ่ง กู่ฉิงซานก็คล้ายสามารถระลึกได้ ว่าสิ่งที่มอนสเตอร์ตัวเมื่อครู่กล่าวมันแปลว่าอะไร

กู่ฉิงซานเอ่ยพึมพำ “‘หากเป็นเทพวิญญาณก็ว่าไปอย่าง แต่ทำไมกระทั่งเจ้าก็ยังต้องการผนึกข้าด้วย’ …นี่คือสิ่งที่มอนสเตอร์พูดอย่างงั้นเหรอ? ”

“ใช่” ซีน้อยถอนหายใจ ก้มหน้าขบคิด “พอลองมาย้อนนึกดูดีๆ แล้ว มอนสเตอร์ตัวนี้ถูกผนึกไปตั้งแต่แรกเกิดเลย จริงๆ แล้วมันก็น่าสงสารเหมือนกัน นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่เวลามันเจอคำถามยากๆ มันเลยต้องนิ่งคิดอยู่นาน กว่าจะหาคำตอบได้ก็ได้นะ”

กู่ฉิงซานแข็งค้างอยู่ในจุดเดิม หลังจากคำว่า ‘ใช่’ แม้ซีน้อยจะเอ่ยอะไรต่อเขาก็ไม่ได้ยินแล้ว

เพราะบัดนี้ ในหัวใจของเขาบังเกิดความเย็นเยียบบาดลึกเข้ามา

“ไม่ถูกต้อง”

กู่ฉิงซานเปล่งเสียงกระซิบ

ซีน้อย “ไม่หรอก ก็ถูกแล้วนะ ก็เจ้ามอนสเตอร์เห็นกับตาว่ามีคนมากมายบุกเข้ามา แถมพลังเกือบทั้งหมดของมันยังถูกผนึกไว้โดยร่างแสง ดังนั้นการที่มันจะรู้สึกสิ้นหวังก็เป็นเรื่องธรรมดา”

“สิ้นหวังงั้นเหรอ?” กู่ฉิงซานทวนซ้ำ

“ใช่ เพราะท้ายที่สุดแล้ว มันสามารถเข้าควบคุมผู้พิทักษ์หุบเหวแห่งบาปได้ทีละคนเท่านั้น แต่ตอนนี้ ยิ่งนาน ผู้คนก็ยิ่งทยอยกันเข้ามาในเขาวงกตมากขึ้น ดังนั้นมันย่อมไม่มีทางไล่ฆ่าพวกเขาได้ทุกคน” ซีน้อยอธิบาย

กู่ฉิงซานส่ายหัวทันใด เอ่ยปฏิเสธ “ไม่ ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น”

“งั้นก็ เดี๋ยวสิ นายเป็นอะไร เกิดอะไรขึ้นกับนาย?” ขณะจะกล่าวต่อ พอหันไปมองกูฉิงซาน ซีน้อยก็เริ่มเป็นกังวล

เห็นแค่เพียงใบหน้าของกู่ฉิงซานที่ซีดเผือด ดวงตาของเขากระเพื่อมเป็นระลอกคลื่น ความสงบเยือกเย็นเสมอมา สลายไม่มีให้เห็นอีกต่อไป

กู่ฉิงซานกล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ฉันไม่รู้นะว่าเธอสังเกตเห็นมันรึเปล่า แต่ตอนที่พูดภาษาถิ่น เจ้ามอนสเตอร์ตัวนั้นมันแหงนหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้า”

“จากท่าทีนั่น แปลความหมายได้ว่า มันไม่ได้กำลังพูดกับพวกเราที่กำลังค้นหาสิ่งประดิษฐ์เทวะ”

กู่ฉิงซานพูดซ้ำอีกครั้ง “มอนสเตอร์ตัวนั้นพูดว่า – หากเป็นเทพวิญญาณก็ว่าไปอย่าง แต่ทำไมกระทั่งเจ้าก็ยังต้องการผนึกข้าด้วย?”

“นี่ …” ซีน้อยนิ่งค้างไปพักหนึ่ง ไม่ทราบว่าจะกล่าวอะไรดี

กู่ฉิงซานพยักหน้าเบาๆ กล่าวเสียงกระซิบ “ใช่ นั่นหมายความว่าตัวตนที่บงการเรื่องราวในครั้งนี้ ไม่ใช่เทพวิญญาณ”

“นะ...นะๆๆ นั่น…!” ซีน้อยเริ่มพูดติดอ่าง แม้จะมีคำในใจ แต่ก็ไม่อาจเปล่งมันออกมาได้อยู่นาน

“ถูกต้อง ถ้ามอนสเตอร์ไม่ได้พูดโกหกแล้วละก็…” กู่ฉิงซานกล่าวต่อ “นั่นหมายความว่าที่ร่างแสงบอกให้จุดประกายต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ แท้จริงแล้วไม่ใช่ประสงค์ของเทพวิญญาณ

“ตอนนี้ ฉันกลัวว่าบางทีเทพวิญญาณอาจจะตายไปแล้วจริงๆ”

“บางอย่างที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังม่านการแสดงทั้งหมดนี้ แท้จริงแล้วกำลังแสร้งแสดงตนเป็นเทพวิญญาณ เพื่อที่จะขึ้นเป็นทวยเทพองค์ใหม่”

น้ำเสียงของกู่ฉิงซานกลายเป็นเย็นเยียบ

นี่มันเป็นเรื่องจริงที่สั่นสะเทือนโลกหล้า

เกรงว่าในตลอดทั้งโลกเก้าร้อยล้านชั้น มันคงจะไม่มีความลับใดน่าขนลุกไปยิ่งกว่านี้อีกแล้ว

กู่ฉิงซานกับซีน้อยมองหน้ากันและกัน สัมผัสได้ถึงความกลัวจากในแววตาของอีกฝ่าย

ทั้งสองเบนสายตากลับไปมองยักษ์ใหญ่โดยมิได้นัดหมาย

เห็นแค่เพียงสีหน้าของยักษ์ที่แปรเปลี่ยนไป

มันเป็นสีหน้าที่ถูกปกคลุมด้วยความสิ้นหวัง พรวดทะยานเข้าหามืออาชีพหลายคนที่อยู่ใกล้ที่สุด

ด้วยกำปั้นเพลิงที่เต็มไปด้วยโทสะ เหล่ามืออาชีพสองสามคนพลันตกตายลงทันที

ยักษ์ใหญ่ตะโกนร่ายเป็นคำยาวออกมา

“เจ้าพวกผู้สมรู้ร่วมคิด อ้ายสุนัข พวกเจ้ามันไม่รู้อะไรเลย ดังนั้นตอนนี้ก็จงตายซะ!”

นี่คือภาษาถิ่นที่ยักษ์ใหญ่พูด

ครานี้ กู่ฉิงซานบังเอิญเกิดความเข้าใจในที่สุด

จากนั้น ยักษ์ใหญ่ก็วิ่งเข้าหามืออาชีพอีกกลุ่มหนึ่งต่อ

แม้จะมีผู้แข็งแกร่งมากมาย ร่วมมือกันดิ้นรนต่อต้าน ทว่าพลังของยักษ์ใหญ่เหนือล้ำมากเกินไป

ต้องรู้นะว่า ยักษ์ใหญ่ตนนี้คือผู้พิทักษ์ที่ทรงพลังที่สุดในหุบเหวแห่งบาป!

ยักษ์ใหญ่เริ่มล่าสังหาร

บางคนรู้สึกหวาดกลัวในความตาย ทว่ามันมีไม่กี่คนเท่านั้นที่ตัดสินใจวิ่งหนีออกจากเขาวงกต

เพราะบัดนี้ ในหัวใจของทุกคนมันปริ่มเปรมไปด้วยความกระหายในโชคลาภอย่างคลั่งไคล้!

เพราะตราบใดที่พวกเขาสามารถค้นพบสิ่งประดิษฐ์เทวะ พวกเขาก็จะได้กลายเป็นกึ่งเทพ!

ไม่ว่าจะชื่อเสียงหรือเงินทอง หากต้องการได้มามันก็ต้องมีเผชิญกับอันตรายกันบ้างทั้งนั้น!

ดังนั้น โอกาสอันหาได้ยากยิ่งเช่นนี้ จะไม่สู้เพื่อมันได้อย่างไร!

ฝูงชนยิ่งมาก็ยิ่งคลั่งไคล้ ไล่ล่าควานหาสิ่งประดิษฐ์เทวะไม่หยุดยั้ง

ตลอดทั้งเขาวงกต มีเพียงกู่ฉิงซานกับซีน้อยที่มิได้เคลื่อนไหว

“แล้วพวกเราจะเอายังไงกันดี?” ซีน้อยสูญสิ้นน้ำเสียง

“หนี ก่อนอื่นรีบหนีออกไปจากที่นี่!” กู่ฉิงซานกล่าวเฉียบขาด

เขากำลังจะคว้ามือซีน้อย และใช้ออกด้วยความลี้ลับของทุกสรรพชีวิต แต่ทันใดนั้นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นเสียก่อน

“ฮ่าๆๆ ฉันเจอแล้ว! ฉันเจอสิ่งประดิษฐ์เทวะแล้ว!!”

เห็นแค่เพียงชายแก่คนหนึ่งที่ยืนอยู่บนหลังคาตึก ตะโกนราวกับคนคลุ้มคลั่ง

โดยมีกล่องสมบัติใบหนึ่งอยู่ในมือของเขา

สีหน้าของกู่ฉิงซานแปรเปลี่ยน เขาเร่งตะโกน “ไม่นะ! อย่าเปิดมัน!”

ทว่าก็สายไปเสียแล้ว

ขณะที่หลายคนต่างเร่งกระโจนเข้าใส่ชายชรา

ชายชราก็ไม่คอยท่า เปิดฝากล่องสมบัติออกอย่างรวดเร็ว

กลิ่นอายโกลาหลพรั่งพรูออกมาจากกล่องสมบัติ โผทะยานขึ้นไปกระทบกับอากาศเบื้องบน

ชายชราเงยหน้าขึ้นมองเจ็ดรังสีแสงร่างเงามนุษย์ เปล่งวาจาลั่น “ท่านเทพวิญญาณ ข้าคือผู้ศรัทธาที่ซื่อสัตย์ของท่าน ยามนี้ ข้าได้ค้นพบสิ่งประดิษฐ์เทวะแล้ว ได้โปรดท่านช่วยดลบันดาลให้ข้าได้กลายเป็นกึ่งเทพด้วยเถอะ!”

............................................