webnovel

0648 ดอกไม้บนคมกระบี่

ตอนที่ 648 ดอกไม้บนคมกระบี่

ท่านอาจารย์บอกว่าศิษย์น้องหญิงทั้งสองจะมารับ นี่หมายความว่านิกายของเรามีศิษย์ใหม่แล้วอย่างงั้นเหรอ?

สมองของกู่ฉิงซานมึนงงอยู่ครู่หนึ่ง แต่สุดท้ายเขาก็เลือกที่จะทำตามคำสั่งของนางเซียนไป่ฮั่ว เฝ้ารออยู่ในสถานที่เดิมอย่างเงียบๆ

ไม่นานนัก ก็เริ่มปรากฏถึงเงาของเรือเหาะขึ้นบนเส้นขอบฟ้า

เรือเหาะตรงมายังจุดที่เขาอยู่อย่างรวดเร็ว โดยมีหลายสิบผู้ฝึกยุทธ์ติดอาวุธ คอยประจำตำแหน่งอยู่ตามสองฟากฝั่ง

กู่ฉิงซานเฝ้ามองดูฉากนี้ด้วยความแปลกใจ

ในครั้งอดีต เขาเคยลอบแอบออกมากับเซี่ยวโหลว เพื่อหาสถานที่ดื่มกิน ช่วงเวลานั้นในนิกายยังแทบจะไม่มีผู้ฝึกยุทธ์คนใดอยู่เลย แถมเรือเหาะก็ยังไม่ใหญ่โตเช่นนี้อีกด้วย

แล้วนิกายของเขายิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

เรือเหาะแม้จะยังคงอยู่ห่างไกล แต่เสียงคำรามของมัน กรีดแทงผ่านอากาศ ดังสะท้อนมาถึงทั่วทั้งทะเลสาบ

“เจ้าเป็นใครกัน ถึงได้กล้าตัดผ่านขอบเขตในโลกใบนี้ โดยไม่แจ้งให้ผู้ใดทราบล่วงหน้า?”

เมื่อได้ยินประโยคดังกล่าว กู่ฉิงซานจึงรู้ทันทีว่าเขาเข้าใจผิดไป

คนเหล่านี้มิใช่คนของนิกาย แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นหน่วยลาดตระเวน

กู่ฉิงซานตอบสวนกลับไป “ข้าเป็นสาวกของนิกายร้อยบุปผา ส่วนในเรื่องการข้ามผ่านโทษทัณฑ์โดยไม่ได้บอกกล่าวผู้ใด ข้าต้องขออภัยจริงๆ”

“สาวกนิกายร้อยบุปผา? มีนามว่ากระไรกัน?”

“ผู้น้อยกู่ฉิงซาน”

เมื่อประโยคนี้หลุดออกไป อีกฝ่ายหนึ่งก็เงียบงันไปทันที

กระทั่งเรือเหาะที่กำลังลดระดับลงมาจอดก็ยังหยุดนิ่ง มิคิดเฉียดเข้ามาใกล้เขาอีกเลย

เสียงของผู้ฝึกยุทธ์คนเมื่อครู่ตะโกนขึ้น “ส่งสัญญาณ!”

“ขอรับ!”

สองผู้ฝึกยุทธ์รับคำและปฏิบัติตาม

เห็นแค่เพียงสัญญาณฉุกเฉินทางทหารพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า ลอยฟุ้งเป็นควันกลางอากาศอยู่หลายลมหายใจ

เมื่อสัญญาณถูกส่งออกไป ผู้คนบนเรือต่างก็เริ่มผ่อนคลายลง แต่พวกเขาก็ยังไม่ก้าวออกมาข้างหน้า ทำแค่เพียงคอยป้องกันจากระยะไกล

ในสมองของกู่ฉิงซานลองทบทวนเกี่ยวกับฉากนี้ เขาเริ่มเข้าใจเหตุการณ์ขึ้นมาบางส่วนแล้ว

เดิมทีคนเหล่านี้ตกใจกับการข้ามผ่านข้ามโทษทัณฑ์โดยไม่มีการแจ้งเตือน พวกเขาจึงมาเพื่อตรวจสอบสถานการณ์

อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เหมือนกับว่าจะร้ายแรงกว่าเดิม เพราะพวกเขาอาจจะกำลังคิดว่ากู่ฉิงซานเป็นตัวปลอม!

ไม่น่าแปลกใจเลยว่าเหตุใดท่านอาจารย์ถึงบอกเขาว่าให้อยู่นิ่งๆ อย่าวิ่งเถลไถลไปไหน!

ระหว่างที่เขากำลังขบคิด สถานการณ์ก็แปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

หลายสิบผู้ฝึกยุทธ์พร้อมกับดิสก์ค่ายกลในมือของพวกเขาบินมาจากฟากฟ้าอันห่างไกล

พวกเขาร่อนลงเหนือหัวเรือเหาะ เผชิญหน้ากับกู่ฉิงซาน และเริ่มร่วมมือกันประสานค่ายกล

ชั้นแสงสวรรค์สว่างไสวผุดออกมาจากดิสก์ค่ายกล ควบรวมกันเป็นอักษรรูนลึกลับ ผลุบหายเข้าไปในความว่างเปล่า

คิ้วของกู่ฉิงซานขมวดเข้าหากัน

เขามิได้เห็นการจัดตั้งค่ายกลที่งุ่มง่ามและเชื่องช้าเช่นนี้มานานมากแล้ว

ใช่แล้วล่ะ เพราะคุณสมบัติที่โดดเด่นที่สุดของโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ในครั้งอดีตก็คือ มันเป็นโลกที่อุดมไปด้วยทรัพยากรอันสมบูรณ์ ในขณะที่โลกเทวะจะโดดเด่นทางด้านวิธีการหลอมกลั่นอาวุธและชุดเกราะ

แต่กู่ฉิงซานได้เดินทางไปยังโลกล่องเวหา เขาได้เรียนรู้ค่ายกลทุกแขนงจากโลกใบนั้น

โลกที่ซึ่งโดดเด่นที่สุดในด้านการจัดวางค่ายกล!

หลังจากผ่านพ้นการต่อสู้ในโลกล่องเวหา ก่อนจะออกจากโลกใบนั้นไป กู่ฉิงซานก็ได้ทำการเรียนรู้ค่ายกลทั้งหมดด้วยแต้มพลังวิญญาณของตนเอง

ส่งผลให้ด้วยความสามารถของเขาในตอนนี้ เจ้าตัวจึงถือได้ว่าเป็นมือหนึ่งในด้านค่ายกลของโลกล่องเวหา!

แต่จะว่าไปแล้ว เมื่อลองมองย้อนกลับไป เขาแทบจะไม่เคยเห็นค่ายกลขนาดใหญ่ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์มาก่อนเลยนี่นา ดูเหมือนว่าทางฝั่งนี้เอง ด้านค่ายกลก็ยังพัฒนาขึ้นบ้างเหมือนกัน

บนท้องฟ้า การเคลื่อนไหวของปรมาจารย์ค่ายกลแต่ละคน ในแต่ละรายละเอียดการจัดวาง มันถูกคำนวณโดยเขาอย่างเงียบๆ จนเจ้าตัวสามารถเห็นถึงเงื่อนงำของมันได้ในที่สุด

นี่คือค่ายกลขนาดใหญ่ บทบาทของมันคือการจองจำ และห้ามไม่ให้ศัตรูที่อยู่ภายในสามารถใช้พลังวิญญาณได้

ซึ่งค่ายกลนี้ถูกจัดตั้งมาครึ่งทางแล้ว และอีกสองสามลมหายใจมันก็จะเสร็จสมบูรณ์

เมื่อเวลานั้นมาถึง มันคงจะมีปัญหาตามมาแน่ๆ

กู่ฉิงซานเลิกคิดเกี่ยวกับมัน เขาตบลงในถุงสัมภาระ และหยิบดิสก์ค่ายกลออกมา

ดิสก์ค่ายกลจากโลกล่องเวหา

สองมือของเขาพรมลงบนดิสก์ค่ายกลอย่างรวดเร็ว

ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจผิดหรือว่าอะไรก็ตาม เจ้าตัวก็ไม่ยินดีจะยอมอยู่เฉยๆ ให้จับตัว

ถ้านี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด เอาไว้ค่อยมาขอโทษกันทีหลังก็ได้

แต่ถ้านี่มันไม่ใช่เรื่องเข้าใจผิด หากเขายืนอยู่เฉยๆ จนตกอยู่ในค่ายกลของอีกฝ่าย เขาก็คงจะไม่สามารถตอบโต้อะไรได้อีกแล้ว

ชั่วเวลานี้ ทั้งสองฝ่ายต่างอยู่ในสถานะจัดวางค่ายกล

เมื่อปรมาจารย์ค่ายกลหลายสิบคนเสร็จสิ้นการจัดวาง กู่ฉิงซานเองก็จัดวางได้พอดีในเวลาเดียวกัน

ทั้งสองฝ่ายต่างทำการกระตุ้นค่ายกล

“จงเปิดออก ค่ายกลสี่ทิศกักวิญญาณร้าย!”

หลายสิบปรมาจารย์ค่ายกลตะโกนขึ้นพร้อมกัน

แสงสวรรค์เรืองรอง ขับเคลื่อนจากดิสก์ค่ายกลอย่างช้าๆ

ทางฝั่งกู่ฉิงซาน เขาเอื้อมมือออกไป และกดลงบนดิสก์ค่ายกลเพื่อทำการกระตุ้นพลังวิญญาณ

บนดิสก์ค่ายกล บังเกิดแสงสวรรค์กะพริบไหวขึ้นพร้อมกัน

“จงเปิดออก ค่ายกลปัดเป่าหมื่นวิญญาณมลายสูญ!”

แสงสวรรค์จากทั้งสองทิศทางแผ่กระจายไปทั่วทั้งสวรรค์และโลก ก่อนจะปะทะเข้าหากัน

นี่คือการต่อสู้ระหว่างค่ายกลกับค่ายกล!

เปรี้ยง!

สองแสงสวรรค์ยื้อกันไปมาอย่างต่อเนื่อง แต่ในที่สุดก็สลายหายไปในความว่างเปล่าในเวลาเดียวกัน

สีหน้าของผู้ฝึกยุทธ์ซีดเซียวลงทันที

เห็นได้ชัดว่าพวกตนเป็นฝ่ายเริ่มจัดตั้งค่ายกลก่อน แต่กลับไม่สามารถใช้มันเอาชนะอีกฝ่ายได้

ทั้งๆ  ที่อีกฝ่ายมีเพียงลำพัง และเริ่มเปิดใช้งานค่ายกลหลังพวกเขาตั้งครึ่งทางแล้ว การจัดตั้งค่ายกลที่รวดเร็วเช่นนี้ ไม่เคยได้เห็นและได้ยินมาก่อนเลย

แถมค่ายกลที่ว่า ยังสามารถต่อต้านค่ายกลกักวิญญาณ ที่ฝ่ายตนนับสิบร่วมกันจัดวางขึ้นมาได้อีก

จักต้องเป็นผู้ที่แตกฉานในด้านค่ายกลถึงเพียงใดกัน จึงจะสามารถทำอะไรที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้!

ทุกคนตระหนักถึงสถานการณ์ในปัจจุบันทันที

ทันใดนั้นสัญญาณอีกดวงหนึ่งก็ถูกยิงขึ้นสู่ท้องฟ้า

คราวนี้มันเป็นสัญญาณสีแดงเข้มที่ดูเด่นสะดุดตา บ่งบอกชัดเจนว่าสถานการณ์กำลังทวีความอันตรายยิ่งขึ้น

หลังจากส่งสัญญาณไป ฝูงชนต่างก็เริ่มสบถด้วยความโกรธ

“เจ้าไม่ใช่กู่ฉิงซาน!”

“ถูกต้อง! กู่ฉิงซานมิใช้ค่ายกลในการต่อสู้!”

“กู่ฉิงซานเป็นผู้ฝึกดาบ แต่เจ้าไม่เหมือนกับเขา เจ้ามันเป็นตัวปลอม!”

ชายผู้นี้เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ร้าย เพียงแค่ถูกต้องสงสัยและจับกุมตัว เขาก็เร่งร้อนเปิดเผยสถานะปรมาจารย์ค่ายกลของตนออกมาทันที

“วายร้าย! เจ้ามาจากโลกใดกัน จงบอกข้ามา!”

เมื่อต้องเผชิญกับการสาดเสียเทเสียเหล่านี้ กู่ฉิงซานก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่นและไร้หนทาง

ดูเหมือนว่าความกังวลของท่านอาจารย์จะสมเหตุสมผลจริงๆ

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เถลไถลไปรอบๆ แต่เขาก็ทำการตัดผ่านขอบเขตทันทีที่กลับมา ดังนั้นมันจึงเกิดเสียงดังเป็นธรรมดา

ซึ่งในจุดนี้ เขาลืมที่จะอธิบายรายละเอียดของมันให้แก่อาจารย์ไป

กู่ฉิงซานชูมือของเขาขึ้นไปในอากาศ โบกไปมาและตะโกนว่า “ทุกท่านโปรดสงบใจลงก่อน ข้าสามารถอธิบายเรื่องนี้ได้”

ขณะเดียวกัน จู่ๆ ก็ได้ยินถึงเสียงอันเย็นชาของหญิงสาวดังมาจากระยะไกลออกไปในความว่างเปล่า

“จำต้องอธิบายอะไรอีกหรือ? กู่ฉิงซานมิได้แตกฉานในเทคนิคค่ายกล เพียงเท่านี้ก็สรุปได้แล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องพ่นคำใดอีก!”

พร้อมกับคำกล่าวนี้ การแสดงออกของเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ต่างก็เผยถึงความสุขทันที

“เป็นท่านนายพล!”

“ท่านนายพลมาที่นี่ด้วยตนเอง!”

“เจ้าหนู เวลานี้ต่อให้อยากจะหนี เจ้าก็ไม่สามารถหนีได้แล้ว!”

ท่ามกลางเสียงโห่ร้อง ปรากฏถึงกระแสแสงตัดผ่านเส้นขอบฟ้า บินเข้าหากู่ฉิงซานอย่างรวดเร็ว

วินาทีถัดมา

กู่ฉิงซานก็ตระหนักได้ทันทีว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น

“แบบนี้ไม่เข้าท่าแล้ว!”

ปากอ้าร้องเสียงกระซิบ

ในเวลาเดียวกัน ก็ได้ยินถึงเสียงอันคมชัดของอากาศที่ถูกแหวกออก

เห็นถึงคมกระบี่ที่สาดประกายแสงขึ้นมาทันใด

และไม่ว่าคมกระบี่นี้จะตัดผ่านไปที่ใด อากาศบริเวณนั้นก็จะถูกแหวกออก เผยให้เห็นถึงรอยร้าวสีดำในความว่างเปล่า

ใบกระบี่สีขาวนวลที่สามารถก่อให้เกิดรอยร้าวของมิติตกลงมาจากฟากฟ้า

กระบี่ยาวจ้วงแทงลงบนหัวของกู่ฉิงซานโดยตรง!

ช่างเป็นกระบี่ที่รวดเร็วและดุร้ายอะไรเช่นนี้!

ด้วยเพลงกระบี่ดังกล่าว มันไม่เพียงปิดทางหลบหนีทั้งหมด แต่ยังส่อเจตนาชัดเจนว่าจักสังหารศัตรูตรงหน้าลงให้จงได้อีกด้วย

กู่ฉิงซานตระหนักดีว่าเพลงกระบี่นี้ทรงอำนาจเพียงใด

ช่วงเวลาฉุกละหุก ดาบขุนเขาเทวะหกโลกาก็ถูกคว้าจับไว้ในมือของเขา

เทคนิคลับแห่งดาบ ตัดจันทรา!

ดาบยาวที่สาดรัศมีแสงสีนวลผ่องฟาดสับเข้าต้อนรับเพลงกระบี่ยาว

เคร้ง!

สองโลหะคมกล้าปะทะเข้าด้วยกัน ก่อเกิดเสียงกังวาน เสียดแทงเข้ามาในแก้วหู

ตลอดทั้งสวรรค์และโลกสั่นสะท้าน

ปรมาจารย์ค่ายกลที่มีระดับวรยุทธ์

ไม่มากพอ สัมผัสได้ถึงเหตุไม่สู้ดี พวกเขาจำต้องเร่งถอยหลังไป

“เอ๊?”

เสียงเย็นชาของหญิงสาวเผยถึงความประหลาดใจ

กระบี่ในมือเธอถูกหยุดอย่างไม่คาดฝัน

เมื่อกระบี่หยุด เงาที่โฉบลงมาก็หยุดลงเช่นกัน เผยให้เห็นถึงเรือนร่างของเธอ

กู่ฉิงซานกวาดสายตามอง

เบื้องหน้าเขา คือหญิงสาวที่ใบหน้าของเธอถูกสวมทับไว้ด้วยหมวกเกราะ ส่งผลให้ไม่สามารถกวาดจิตสัมผัสเทวะเข้าไปสำรวจได้

สัดส่วนของเธอเพรียวบาง แม้จะถูกสวมทับด้วยเกราะรบ แต่ก็ยังเผยถึงหุ่นผอมบาง ละเอียดอ่อนอยู่ดี

กระบี่ยาวอยู่ในมือของเธอ

ตลอดทั้งคนทั้งร่างสาดประกายเย็นเยียบและโหดร้าย ส่อชัดเจนถึงเจตนาฆ่า

เป็น หนิงเยว่ฉาน!

ผู้ที่มีเอกลักษณ์เช่นนี้ ในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ นอกเหนือไปจากเธอ ก็ไม่มีใครอื่นอีกแล้ว

กู่ฉิงซานถอนหายใจและกล่าว “เฮ้อ แม้กระทั่งเจ้าก็ยังไม่ทราบว่าเป็นข้ากระนั้นหรือ? นี่มันช่างน่าเสียใจจริงๆ”

แต่หนิงเยว่ฉานไม่สนใจคำกล่าวของเขา เจ้าตัวเอ่ยอย่างเฉยเมย “บนโลกใบนี้ มีหลากหลายวิธีที่จะใช้แสร้งปลอมตัวเป็นเขา แม้ผู้อื่นจะไม่รู้ แต่มันไม่อาจหลอกสายตาของข้าไปได้”

เธอยังคงกล่าวต่อ “ในเมื่อเจ้าสามารถหยุดกระบี่เดียวปลิดชีพของข้าได้ เช่นนั้นจากนี้ไปก็จงเตรียมรับความเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าตกตายเถิด”

กู่ฉิงซานพอได้ฟัง ก็ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

ฟังจากเสียงของเธอ แม้ว่าน้ำเสียงมันจะยังดูสงบ แต่ก็เก็บซ่อนความโกรธเอาไว้ภายในใจ

เธอกำลังจะเอาจริงแล้ว!

เห็นแค่เพียงหนิงเยว่ฉาน ง้างกระบี่ และเตรียมที่จะโจมตีอีกครั้ง กู่ฉิงซานก็อดไม่ไหว เร่งตะโกนอย่างรวดเร็ว “ช้าก่อน! เมื่อครู่เป็นเจ้าที่ลอบโจมตี ฉะนั้นคราวนี้ต้องเป็นข้าที่เปิดฉากโจมตีก่อนสิ ต้องแบบนี้มิใช่หรือ จึงจะเหมาะสม และเท่าเทียมตามหลักการของผู้ใช้กระบี่ที่เที่ยงธรรมและเที่ยงแท้!”

หนิงเยว่ฉานชะงักไปเล็กน้อย

กู่ฉิงซานเมื่อเห็นถึงช่องว่างนี้ เขาก็เร่งเว้นระยะห่างออกไปไกลทันที

อย่ามาล้อเล่นนะ! สำหรับผู้หญิงที่มีนิสัยทุ่มเต็มกำลัง ชนิดยินยอมแลกชีวิตในการต่อสู้ เขาไม่ต้องการที่จะเข้าไปยุ่งด้วยหรอก!

เขาเค้นสมองอย่างรวดเร็ว และคิดเกี่ยวกับวิธีการที่จะใช้รับมือกับนาง

โชคยังดีที่เขาเคยได้เผชิญกับอันตรายระดับความเป็นความตายมานับไม่ถ้วน ดังนั้นเมื่ออยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกันนี้ สมองของเขาจึงสามารถกลับมาทำงานได้อย่างรวดเร็ว

ขณะที่คิ้วดั่งใบหลิวของหนิงเยว่ฉานยกสูงขึ้น กู่ฉิงซานก็สามารถคิดหาวิธีได้ในที่สุด

กระบี่ยาวกะพริบไหว

หนิงเยว่ฉานเริ่มลงมือแล้ว!

กู่ฉิงซานเร่งถอยห่างออกไปอีกครั้ง เขาตบลงในถุงสัมภาระ รีบหยิบบางสิ่งออกมา

เขาตะโกน “เจ้าเห็นหรือไม่ว่าสิ่งนี้คืออะไร!”

ในมือของเขา กุมไว้ซึ่งดอกไม้สีขาวดอกเล็กๆ

นี่คือดอกไม้น้ำตามังกร ที่มีสรรพคุณดีเยี่ยมในการรักษาจิตวิญญาณ กลิ่นหอมของมันช่างละเอียดอ่อน และสามารถแพร่กระจายกลิ่นไปได้เป็นเวลานาน มันจึงเป็นสิ่งที่เหล่าผู้ฝึกยุทธ์หญิงชมชอบ

แต่น่าเสียดาย ที่ดอกไม้เช่นนี้มันหายากมากเกินไป แม้กระทั่งในโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ที่อุดมไปด้วยทรัพยากรก็ยังแสนหายาก

อย่างไรก็ตาม ในนิกายร้อยบุปผา แท้จริงแล้วกลับเต็มไปด้วยดอกไม้ชนิดนี้

นี่คือดอกไม้ที่นางเซียนไป่ฮั่วใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก ในการค้นหามันตลอดทั้งโลกแห่งผู้ฝึกยุทธ์ แล้วนำมาเพาะปลูกที่นิกาย

เนื่องจากจิตเทวะของซิวซิวได้รับบาดเจ็บจนบอบช้ำตั้งแต่วัยเด็ก นางเซียนไป่ฮั่วจึงมักจะนำดอกไม้ชนิดนี้มาทำอาหารให้เธอกินบ่อยๆ ด้วยความหวังที่ว่าเด็กสาวจะหายดีในไม่ช้า

หลังจากที่นางเซียนเก็บรวบรวมดอกไม้น้ำตามังกร ส่งผลให้ปกติมันก็หายากอยู่แล้ว ยิ่งหายากเข้าไปอีก

ดังนั้นการที่กู่ฉิงซานนำดอกไม้ดอกนี้ออกมา มันจึงพอที่จะใช้ยืนยันตัวตนได้

ก่อนหน้านี้ ช่วงที่อสูรวิญญาณก่อกบฏ หนิงเยว่ฉานเคยได้รับคำขอร้องจากกู่ฉิงซาน ว่าให้ไปรับตัวเขากลับมา

ในเวลานั้น กู่ฉิงซานนั่งอยู่บนเรือเหาะของหนิงเยว่ฉาน และมอบดอกไม้น้ำตามังกรให้แก่เธอ

และเรื่องนี้ มีเพียงเขาและเธอสองคนเท่านั้นที่รู้

ซึ่งต่อให้เป็นคนจากพันธมิตรผู้ฝึกยุทธ์ ที่ได้ลอบเข้ามาทำการค้นวิญญาณจากผู้ฝึกยุทธ์ในโลกใบนี้ ก็ย่อมไม่มีทางทราบถึงเรื่องดอกไม้ได้

หนิงเยว่ฉานเป็นตัวตนเช่นไร?เธอย่อมสามารถเข้าใจถึงความหมายของดอกไม้นี้ได้อย่างแน่นอน

ด้วยดอกไม้น้ำตามังกร มันก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ได้ว่ากู่ฉิงซานไม่ใช่ตัวปลอม!

วินาทีต่อมา

คมกระบี่ก็หยุดลงจริงๆ

คมกระบี่ที่สาดแสงร้ายกาจเป็นประวัติการณ์พลันชะงักงัน ใบกระบี่ค่อยๆ ยื่นออกไปสัมผัสดอกไม้สีขาวอย่างช้าๆ

ใบกระบี่สัมผัสกับกลีบดอกไม้อย่างอ่อนโยน ราวกับคมกล้าทั้งหมดของมันถูกเก็บกลับคืน

หนิงเยว่ฉานคลายวิชาลับออก ปลดเกราะหมวกของเธอ เปิดเผยถึงใบหน้าที่งามล่มเมือง

เจตนาฆ่าได้หายไปแล้ว

คู่ดวงตาดั่งเม็ดอัลมอนด์ จ้องมองดูกู่ฉิงซาน คล้ายกับว่ามีหลายพันคำต้องการจะเอ่ยออกมา

แต่ในสถานที่ที่มีผู้คนมากมายเช่นนี้ เธอจะสามารถเอ่ยมันออกมาได้อย่างไร?

หญิงสาวก้มลงมองดูรอยฉีกบนก้านของน้ำตามังกร ปากเอ่ยถามอย่างอ่อนโยน “เหมือนจะมีส่วนที่ขาดออกไปนะ นี่คงจะเป็นดอกไม้จากกิ่งก้านเดียวกันใช่หรือไม่?”

“อืม ในวันนั้นที่ได้มอบ ข้าได้มอบมันให้แก่เจ้าเพียงหนึ่ง แต่แท้จริงแล้วยังมีอีกก้านหนึ่งที่แยกออกมา” กู่ฉิงซานกล่าว

หลังจากขบคิดสักพัก เขาก็เอ่ยออกมาอีกครั้ง “และดอกนี้ ข้าก็ขอมอบมันให้แก่เจ้าเช่นกัน”

ดอกไม้สีขาวเล็กๆ ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ชวนให้จิตใจของผู้คนรู้สึกสงบออกมา

หนิงเยว่ฉานเก็บกระบี่กลับคืน

เธอก้าวเข้ามา และรับดอกไม้ไปอย่างระมัดระวัง อังใต้จมูก สูดดมกลิ่นอย่างมันอย่างแผ่วเบา

“สองดอกแล้วสินะ ก็ได้ ข้าจะรับมันไว้ จะเก็บพวกมันให้อยู่เคียงคู่กัน”

หญิงสาวเอ่ยกระซิบอย่างนุ่มนวล

…………………………………………….