webnovel

0514 กลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง

ตอนที่ 514 กลับมาปรากฏตัวอีกครั้ง

กู่ฉิงซานออกจากโลกเดิม

หลังจากนั้นสิบวินาทีต่อมา

ณ กองบัญชาการพันธมิตรโลก

เทพธิดากงเจิ้งได้ปรากฏขึ้นที่นี่พร้อมกับบอกกล่าวถึงคำพูดที่กู่ฉิงซานทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง

ซางหยิงฮ่าว เย่เฟย์หยู เหลียวฮัง ประธานาธิบดี จักรพรรดินีเวโรน่า และเทพนักสู้ซางซ่งหยางได้มารวมตัวกันอยู่ที่นี่

พวกเขาจ้องมองบนจอม่านแสง ต่างคนต่างตกลงสู่ห้วงความคิด

เพราะสิ่งที่อยู่บนจอม่านแสง มันเหนือล้ำกว่าจินตนาการของพวกเขามากเกินไป

อาจจะกล่าวได้เลยว่า คำที่อยู่ตรงหน้า มันผิดแผกไปจากสถานการณ์ปัจจุบันโดยสมบูรณ์

เห็นแค่เพียงหนึ่งบรรทัดตัวอักษรบนจอม่านแสง

“เกมราชันสงครามไง! นายคือบอสตัวสุดท้าย!”

ไม่มีใครสามารถทำใจเชื่อได้ว่านี่คือกลยุทธ์ตอบโต้ที่กู่ฉิงซานทิ้งเอาไว้

“ตามคำบอกเล่าของเทพธิดากงเจิ้ง ประโยคนี้ถูกส่งตรงมายังเย่เฟย์หยู” ซางหยิงฮ่าวกล่าว

เย่เฟย์หยูยืนนิ่งอยู่หน้าจอม่านแสง โดยไม่เอ่ยอะไรออกมาสักคำ

ดูเหมือนว่าเขาจะจมอยู่ในความคิดบางอย่างอันลึกล้ำ

“เฟย์หยู ไอ้ประโยคนี้มันหมายความว่าอย่างไรกัน?” ซางซ่งหยางอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

แต่เย่เฟย์หยูก็ยังไม่ตอบเขา

เหลียวฮังอธิบาย “ราชันสงคราม เป็นเกมต่อสู้ที่โด่งดังมาก แกไม่เคยเล่นหรอกเหรอ?”

ซางซ่งหยางส่ายหัว

เขาหันไปมองคนอื่นๆ ในห้อง

“ข้าเองก็ไม่รู้ ข้าไม่เคยคิดจะแตะเกมอะไรแบบนี้เลย เพราะมันน่าเบื่อ” เวโรน่ากล่าว

“ครั้งสุดท้ายที่ฉันเล่นเกมอะไรแบบนี้ ก็น่าจะเป็นช่วงที่ยังเรียนอยู่ในมหาวิทยาลัย” ประธานาธิบดีกล่าวทำนองเดียวกับอีกฝ่าย

ช่วงเวลานี้ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคน พวกเขาต่างเค้นสมอง คิดไตร่ตรองอย่างหนัก

ทั้งห้องจมลงสู่ความเงียบไปชั่วขณะ

ขณะที่ทุกคนกำลังเงียบ เสียงถอนหายใจของเย่เฟย์หยูก็ดังขึ้น

ทุกคนหันไปมองเขาเป็นสายตาเดียว พร้อมด้วยแววตาที่สาดประกายแห่งความคาดหวัง

“นายเข้าใจแล้วใช่ไหมว่ากู่ฉิงซานหมายถึงอะไร?” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถาม

“ไม่หรอก แต่ฉันพอจะคิดอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ และมันก็เป็นเรื่องสำคัญมากซะด้วย”

เย่เฟย์หยูหันไปกล่าวกับคนทั้งหมดอย่างจริงจัง

อีกเรื่องงั้นเหรอ?

ในหัวใจของทุกคนบังเกิดความประหลาดใจ

เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการถอดรหัสคำเหล่านี้ แต่ทำไมเจ้าเด็กนี่มันถึงไปคิดเรื่องอื่นกัน?

“นายกำลังหมายถึงอะไร” ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถาม

“ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่มันรู้สึกแบบว่า...”

เย่เฟย์หยูกลั้วลำคอของเขาให้น้ำเสียงมันคมชัดขึ้นและกล่าวอย่างใจเย็น “ในความเป็นจริง บางครั้ง…ฉันก็คิดจริงๆ นะว่าชีวิตมันก็เหมือนกับละคร”

ทุกคนที่กำลังตั้งใจฟังคำพูดของเขา ต่างก็เผยสีหน้าสับสนออกมา

ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการอธิบาย แต่เจ้าเด็กนรกนี่มันกำลังพูดบ้าอะไรออกมา?

“ชีวิตเหมือนละคร? อะไรของแก ช่วยพูดให้มันตรงประเด็นจะได้ไหม” เหลียวฮังเริ่มหงุดหงิด

“แน่นอน ก็นี่แหละตรงประเด็นเลยล่ะ ที่ฉันต้องการจะพูดก็คือ บางครั้งฉันรู้สึกเหมือนกับว่าชีวิต ตัวเองกำลังเล่นละครอยู่”

“ก็แล้วมันหมายความว่าอย่างไรกันแน่?”

“บางทีมันอาจจะเป็นภาพยนตร์ บางทีก็อาจจะเป็นซีรีส์ในโทรทัศน์ แม้กระทั่งนิยายหรืออะไรสักอย่าง ฉันรู้ว่าชีวิตมันเป็นเพียงภาพลวงตาและพวกเราก็เป็นนักแสดงที่กำลังเล่นอยู่ในละครเรื่องนี้อยู่เท่านั้น”

พอได้ฟัง ผู้คนก็กะพริบตาปริบๆ และหันไปมองคนอื่นๆ

กำลังเล่นละครชีวิตอยู่?

สมองเจ้าเด็กนี่ท่าจะมีปัญหาซะแล้ว!

ทว่าเหลียวฮังกลับเผยสีหน้าขบคิดอย่างลึกซึ้ง ปากเอ่ยกล่าว “ที่แกรู้สึกแบบนั้น มันคงเป็นเพราะว่าแกเคยรับหน้าที่เป็นเพชฌฆาตตัวตลกอยู่ช่วงหนึ่งรึเปล่า จิตสำนึกเลยคิดว่าตัวแกกลืนกับบุคลิกนั้นไป”

ซางหยิงฮ่าวมองไปยังเย่เฟย์หยู น้ำเสียงท่าทีแสดงความชื่นชม “นั่นอาจจะเป็นความสามารถพิเศษของนายก็ได้ อย่างพวกพรสวรรค์โดยกำเนิดน่ะ”

เย่เฟย์หยูเผยท่าทีจริงจัง กล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “แต่นับจากวันนี้ไป ฉันจะไม่คิดว่ามันเป็นภาพยนตร์ เป็นซีรีส์ในโทรทัศน์ หรือแม้กระทั่งนิยายอีกต่อไป”

“เพราะอะไร?”

เหลียวฮังอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถาม

เย่เฟย์หยูหันไปทางเขาและยิ้มออกมา

“เพราะไม่ว่าจะภาพยนตร์ ซีรีส์ หรือนิยายเรื่องไหนๆ ในช่วงเวลาสำคัญที่สุดอย่างการที่โลกกำลัง จะถูกทำลายลงในเร็วๆ นี้ ก็มักจะมีผู้กอบกู้ปรากฏตัวออกมา”

เย่เฟย์หยูกล่าวต่ออย่างจริงจัง “และผู้กอบกู้ก็จะต้องช่วยเหลือโลก นี่คือกฎเหล็กไม่ว่า จะเป็นเรื่องราวไหนๆ ก็ตาม”

ทุกคนแข็งค้าง ทั้งคนทั้งร่างตะลึงงัน

“ไอ้ที่ว่ามาคงจะเป็นกู่ฉิงซานใช่ไหม แต่ตอนนี้มันวิ่งหางจุกตูดไปแล้วเนี่ยสิ” เหลียวฮังกำหมัดแน่นและกล่าว

“ใช่ ดังนั้นคราวนี้เขาจึงไม่ใช่ผู้กอบกู้โลก นี่มันจึงไม่ใช่ภาพยนตร์ของเขา” เย่เฟย์หยูกล่าวด้วยน้ำเสียงกระจ่างชัด

“ฟังดูมีเหตุผลดีนี่นา! ฉันชอบข้อสรุปนี้ของแกนะ”

เหลียวฮังเหวี่ยงกำปั้น ชกแตะเบาๆ ใส่เย่เฟย์หยู

ฝูงชนโดยรอบปิดปากเงียบ

‘สองบักหำนี่มันเริ่มจะเลอะเทอะเกินไปแล้ว!’

ทั้งหมดลอบพูดอย่างลับๆในจิตใจ

“เอาล่ะๆ ท่านทั้งสองได้โปรดช่วยบอกผู้บัญชาการรบแสนโง่เขลาผู้นี้ด้วยเถอะ ว่าไอ้ตัวประโยคบ้านี่ จริงๆ แล้วมันหมายถึงอะไรกันแน่” ซางหยิงฮ่าวกล่าวประชดประชัน ชี้ไม้ชี้มือไปบนจอม่านแสง

เห็นแค่เพียงหนึ่งบรรทัดตัวอักษรที่ถูกทิ้งเอาไว้โดยกู่ฉิงซาน

“เกมราชันสงครามไง! นายคือบอสตัวสุดท้าย!”

ซางหยิงฮ่าวกล่าว “กู่ฉิงซานดูเหมือนจะบอกความลับกับพวกเราเป็นนัยๆ ว่า นายคือบอสตัวสุดท้ายที่จะโค่นล้มเทพกับผีร้ายลงได้”

เกมราชันสงคราม เป็นเกมต่อสู้ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก

บอสตัวสุดท้าย คือศัตรูที่ทรงพลังที่สุด ที่ผู้เล่นจะต้องเผชิญเมื่อมุ่งหน้าเข้าสู่ฉากสุดท้าย

หลายคนหันมามองหน้ากันและกัน

ทุกคนไม่เข้าใจ ว่าทำไมกู่ฉิงซานจึงทิ้งข้อความเกี่ยวกับเกมๆ นี้เอาไว้

เหลียวฮังยกสองแขนของเขาขึ้นกอดอกและกล่าว “ฉันเองก็เคยเล่นเกมนี้เหมือนกัน แต่ฉันเล่นไม่จบ เพราะไม่สามารถชนะบอสตัวสุดท้ายได้”

“ส่วนฉันเคลียร์มันไปเป็นที่เรียบร้อยตั้งนานแล้ว แถมยังได้เรียนรู้วิธีลับในการปรับเกมอีกด้วย” เย่เฟย์หยูกล่าว

“ปรับเกม? งั้นแกพอจะรู้วิธีปรับเปลี่ยนระดับความยากบ้างไหม?” เหลียวฮังเอ่ยถาม

เย่เฟย์หยู“ไม่ ถ้าปรับระดับความยากลงมันก็ไม่สนุกสิ ตอนนั้นฉันเลือกที่จะเรียกบอสตัวสุดท้ายออกมาตรงๆ และจัดการกับมันเพื่อเคลียร์ด่านไปเลยน่ะ”

“งั้นพอจะมีวิธีอื่นอีกไหม บอกฉันทีเผื่อฉันจะผ่านมันได้ ใช่สูตร ขึ้นๆ ลงๆ ซ้ายขวา ซ้ายขวาบีเอรึเปล่า?” ดวงตาของเหลียวฮังเปล่งประกาย

“ไม่ใช่หรอก” เย่เฟย์หยูส่ายหัว “แต่จะบอกก็ได้ เพราะถึงอย่างไรมันก็ไม่มีประโยชน์กับคุณอยู่ดี มีเพียงผู้เข้าแข่งขันระดับแพลทินัมในการประลองครบรอบยี่สิบปีของเกมราชันสงครามเท่านั้นแหละ ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิ์เปลี่ยนแปลงตัวละคร”

“นี่แกเป็นผู้เล่นแพลทินัมงั้นเหรอ?” เหลียวฮังอุทานอย่างไม่อยากจะเชื่อ “มีแค่คนที่สามารถเคลียร์เกมได้โดยสมบูรณ์เท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติกลายเป็นแพลทินัม!”

สีหน้าของเย่เฟย์หยูเผยถึงความภาคภูมิใจ “ไม่เพียงแค่ได้กลายเป็นแพลทินัมนะ การจัดอันดับโลกในครั้งก่อน ฉันยังอยู่ถึงอันดับเจ็ดของโลกอีกด้วย และตอนนี้ฉันก็ขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งของโลกแล้ว”

เขายืดอกขึ้น และมองไปที่ทุกคน เตรียมพร้อมที่จะน้อมรับสายตาเชิดชูบูชา

แต่น่าเสียดาย ที่นี่เป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ให้ความสำคัญ การเป็นที่หนึ่งในเกมดูจะไม่ควรค่าแก่การ ชื่นชมสักเท่าไหร่

ซางหยิงฮ่าวเอ่ยถาม “แล้วกู่ฉิงซานรู้เรื่องนี้รึเปล่า?”

“แน่นอนเขารู้”

“งั้นเขาก็เป็นมือโปรเกมนี้ด้วยสิ?”

“ไม่นะ เขาบอกเขาไม่มีกระทั่งเงินจะซื้อรุ่นปกติมาเล่น ดังนั้นเขาเลยมักจะอิจฉาและชื่นชมฉันเสมอ”

ซางหยิงฮ่าวกับเหลียวฮังหันมามองหน้ากันวูบหนึ่ง

เหลียวฮังกล่าว “ถ้าอย่างนั้นแกก็รีบแสดงทักษะของตัวละครออกมาเร็วๆเข้า พวกเราทุกคนจะได้ช่วยกันรีบวิเคราะห์มัน”

“ไม่จำเป็นหรอก” เย่เฟย์หยูกล่าว

เขาเอ่ยปากขณะที่สายตายังคงจ้องมองจอม่านแสง “เพราะข้อความพวกนี้ จริงๆ แล้วเขาทิ้งมันไว้ให้ฉันโดยเฉพาะ”

เย่เฟย์หยูแม้จะยืนอยู่กับที่ แต่ทั้งขาทั้งแขนของเขากลับสั่นไหวไม่หยุด

“ฉันว่าบางที…บางทีนะ ฉันอาจจะรู้แล้วก็ได้ว่าเขากำลังจะสื่ออะไร ใช่ .. ฉันว่าฉันรู้แล้วแน่ๆ”

เย่เฟย์หยูบ่นพึมพำเบาๆ

“รู้แล้วอย่างงั้นหรือว่ากู่ฉิงซานหมายถึงอะไร!?” ทุกคนอุทานออกมาพร้อมกัน

เย่เฟย์หยูเลียริมฝีปากของเขา เริ่มเอ่ยด้วยความตื่นเต้น “ใช่ ฉันคือตัวตลก ฉันคือคนที่โค่นเกมแห่งชีวิตนิรันดร์ลงได้ ฉันคือบอสตัวสุดท้าย!”

เย่เฟย์หยูส่งสัญญาณมือไปทางจอม่านแสง

เทพธิดากงเจิ้งกล่าว “มิสเตอร์เย่เฟย์หยู เกราะรบพร้อมแล้ว คุณแน่ใจหรือไม่ว่าต้องการที่จะออกไป”

“ฉันแทบจะอดใจรอไม่ไหวแล้ว”

“รับทราบ” เทพธิดากงเจิ้งตอบรับ

บังเกิดเสียงไดรฟ์จักรกลดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับเกราะรบที่สาดประกายเย็นเยียบผุดออกมาจากใต้พื้น

นี่คือชุดเกราะรบขับเคลื่อนที่มีความสูงราวๆสองเมตร

ตลอดทั้งร่างของมันเป็นสีดำหมึก แม้ทั้งหุ่นทั้งร่างจะแลดูบอบบาง แต่มันก็สาดประกายมืดมน และเย็นชาออกมาตลอดเวลา

ส่วนสิ่งที่น่าแปลกที่สุดบนชุดเกราะนี้ก็คงจะไม่พ้นเกราะหมวก

เป็นเพราะตรงส่วนเกราะหมวกนี่แหละ ที่ส่งผลให้เกราะรบขับเคลื่อนสื่ออารมณ์ความรู้สึกแปลกๆ ออกมา

นัยน์ตาของมันดูว่างเปล่า สีหน้าของมันแข็งค้าง ตรงจมูกเป็นจะงอยยาวแหลม ขณะเดียวกันตรงมุมปากกลับยิ้มเย็นชากว้างจนเกินพอดี

แม้มันจะดูราวกับกำลังพยายามที่จะทำให้ใครสักคนรู้สึกพอใจ แต่หากคุณได้เฝ้ามองมันอย่างใกล้ชิด คุณจะพบว่ารอยยิ้มของมันนั้นมิใช่รอยยิ้มด้วยเสียงหัวเราะเลย แต่มันดูเหมือนเป็นรอยยิ้มสยองขวัญที่อยากจะทำให้ผู้คนรู้สึกผวาเสียมากกว่า

เย่เฟย์หยูก้าวไปข้างหน้า และกดมือของเขาลงบนชุดเกราะ

บนเกราะรบขับเคลื่อน ปรากฏประกายแสงสีฟ้าสาดออกมา

“คลื่นสมองส่วนบุคคลได้รับการยืนยันแล้ว”

“เริ่มสวมใส่ได้”

เกราะรบขับเคลื่อนแยกตัวออกเป็นสัดเป็นส่วน แต่ละชนิดบินออกมาประกบลงตามตัวของเย่เฟย์หยู ทีละชิ้น ทีละชิ้น จนสมบูรณ์

บัดนี้ เย่เฟย์หยูมิได้อยู่บนโลกใบนี้อีกต่อไป

แต่เป็นเพชฌฆาตตัวตลกที่เข้ามาแทนที่ และปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน

“อา...ห่างหายกันไปนานมากเลยจริงๆ แต่ในที่สุดกระผมก็ได้กลับมายังโลกสวนสนุกแห่งนี้อีกครั้งแล้ว”

เพชฌฆาตตัวตลกประกาศกร้าวออกมาด้วยน้ำเสียงกระเส่าทุ้มลึก

…………………………………..........